วันต่อมา...
~ครืนนนนนนนนนน~ ~ครืนนนนนนนนน~
(ชูใจถึงห้างแล้วเหรอ?) เสียงฟองเบียร์เอ่ยถามดังขึ้นมาจากปลายสาย ก่อนที่เธอจะบ่นฉันออกมาด้วยความเป็นห่วง
(เราบอกแล้วให้รอเราอยู่ที่บ้านเดี๋ยวเราไปรับก็ไม่เชื่อ)
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ค่อยๆ ขับรถนะเดี๋ยวเราหาที่นั่งรอ” ฉันยกยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยบอกกับเธอกลับไปเสียงอ่อน ฉันมองไปรอบๆ พร้อมกับขาเรียวของฉันยังคงก้าวตรงต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย
(30 นาที)
“โอเคจ้า”
ฉันเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าตามเดิม ก่อนที่ขาเรียวของฉันจะหยุดชะงัก ฉันหันไปมองรอบๆ ก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไร ตั้งแต่มาถึงที่นี่ฉันรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองมาที่ฉันอยู่ตลอดเวลา
“คงจะคิดมากไปเอง” ฉันพึมพำออกมาก่อนจะเดินตรงต่อไปโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ที่นี่เป็นห้างของพี่ฮันเตอร์พี่เขยของฉัน ฉันมั่นใจในระบบความปลอดภัยของที่นี่ และอีกอย่างถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันพี่ฮันเตอร์นั่งทำงานอยู่ด้านบนเขาคงไม่ปล่อยให้น้องสาวตาดำๆ อย่างฉันเป็นอะไรไปหรอก
“เดี๋ยวนะ...?” สายตาของฉันมองไปเห็นเงาตะคุ่มที่คุ้นเคยอยู่อีกฝั่งของเสาต้นใหญ่ตรงหน้า ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะออกตัววิ่งหนีเขา
“ชูใจห้ามวิ่ง...” ฉันยังไม่ทันได้ออกตัววิ่งไปไหน เสียงทุ้มที่ฉันคุ้นเคยก็เอ็ดฉันขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของเสียงจะมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของฉัน
“คุณนั่นเองที่ตามชูใจมา ว่างมากเหรอคะ?” ฉันยืนกอดอกพร้อมกับถามร่างสูงตรงหน้าออกไปเสียงเรียบ ก่อนที่ฉันจะเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับหันหน้าหนีเขาไปอีกทาง
“พี่ก็มาตามเลขาส่วนตัวของพี่กลับไปทำงานน่ะสิครับ” พี่สกายหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ก่อนที่เขาจะตอบคำถามของฉันกลับมาเสียงใส สีหน้าทะเล้นของเขาค่อยๆ ยื่นเข้ามาใกล้จนฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขา
“คุณเป็นถึงท่านประธานของบริษัทอสังหาริมทรัพท์ที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ คุณไม่ได้มีฉันเป็นเลขาแค่คนเดียวนี่คะ” ฉันผลักอกแกร่งของร่างสูงตรงหน้าออกห่าง ก่อนที่ฉันจะเอ่ยบอกกับเขาออกไปด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“พูดจาห่างเหินแบบนี้พี่เสียใจนะครับ ไม่ว่าพี่จะมีเลขากี่สิบคนก็สู้หนูคนเดียวไม่ได้หรอกครับ” พี่สกายเอ่ยบอกกับฉันเสียงอ่อยอย่างกับคนที่กำลังน้อยใจ
“ตอนนี้ชูใจลาพักร้อนอยู่ค่ะ”
“งั้นพี่...”
“กลับไปดูแลลูกกับภรรยาของคุณเถอะค่ะ” ฉันพูดแทรกเขาขึ้นมาก่อนที่เขาจะพูดจบ ก่อนที่ฉันจะเดินชนแขนแกร่งเขาออกไป พี่วิชที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาหาเจ้านายของเขา สายตาของคนทั้งคู่จับจ้องมาที่ฉันเป็นตาเดียว...
“ทำไมผู้หญิงถึงชอบประชดประชันจังวะไอ้วิช”
“เธอกำลังโกรธอยู่น่ะครับ”
“เฮ้อ!!! ได้เรื่องแล้วใช่ไหม?”
ฉันยืนเลือกของอยู่ไม่ห่างจากพวกเขาเท่าไหร่นัก ทำให้ฉันได้ยินสิ่งที่ทั้งสองกำลังคุยกันได้อย่างชัดเจน แต่ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่เท่านั้นเอง
“เป็นไปอย่างที่นายคิดครับ”
“หึหึ ฉันอยากรู้ให้เร็วที่สุดว่ามันเป็นใคร” พี่สกายเอ่ยบอกกับลูกน้องของเขากลับไปเสียงเรียบ ในขณะที่สายตายังคงจับจ้อมมาที่ฉัน
“...” เราทั้งคู่สบตากันอยู่อย่างนั้นก่อนที่ฉันจะเดินหนีเขาไปร้านอื่น โดยไม่หันกลับไปสนใจพี่สกายอีก ฉันหยุดเดินก่อนจะหันกลับไปมองยังทางที่ฉันเดินมาก็ไม่พบร่างสูงที่ฉันคุ้นเคยแล้ว
‘สงสัยจะไปแล้ว’ ฉันเลือกที่จะไม่สนใจเขาอีก ฉันเดินดูของใช้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฉันมาหยุดอยู่ที่โซนเด็ก
‘เสื้อผ้าเด็กน่ารักจัง’ ฉันเดินดูชุดสีสวยของเด็กแรกเกิดที่ถูกผับอย่างเป็นระเบียบบนชั้นวาง มือของฉันกำลังจะเอื้อมเข้าไปหยิบชุดตรงหน้าขึ้นมาดู แต่แล้วฉันก็ต้องชะงักไปทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกดังมาแต่ไกล
“ชูใจ”
“สมชาย”
“ว๊ายยยย!!! ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะยัยชะนีน้อย” เสียงของสมชายเพื่อนชายหัวใจหญิงเพื่อนรักของฉันอีกคน ฉันกับสมชายเรารู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมต้น แต่หลังจากเรียนจบมัธยมปลายเธอก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ
“ฉันชื่อแซมมี่จ้ะ ไม่ใช่สมชาย”
“หยอกเล่นหรอกน่า”
ฟอด ฟอด ฟอด ฟอด !!!!
“คิดถึงอะ คิดถึง คิดถึง” ร่างบางของฉันถูกแซมมี่ดึงเข้าไปกอดเอาไว้แน่น พร้อมกับหอมแก้มนุ่มนิ่มของฉันซ้ายทีขวาทีจนกว่าเธอจะพอใจ
“แล้วนี่ทำไมถึงได้แต่งตัวแมนขนาดนี้ล่ะ?” ฉันเอ่ยถามเพื่อนรักออกไปด้วยความสงสัย
“คุณพ่อให้แซมมี่มาดูตัวน่ะสิยะ ก็เลยต้อง...ว๊ายยยย!!!”
ฟุบ!! ผัวะ!!
แซมมี่ยังไม่ทันพูดจบเธอก็ล้มลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น ก่อนที่ร่างสูงของพี่สกายจะตามไปขึ้นคล่อมพร้อมกับรัวหมัดใส่แซมมี่อย่างกับคนที่คุมสติตัวเองไม่อยู่
“ซะ แซมมี่ พี่สกาย”
ฉันที่พึ่งได้สติรีบเข้าไปดึงพี่สกายออกมาจากแซมมี่ทันที ถึงแซมมี่จะมีเพศสภาพเป็นผู้ชายและมีรูปร่างที่สมบูรณ์สมชายชาตรี แต่เธอก็ไม่มีแรงมากพอที่จะสู้กับพี่สกายได้ สังเกตจากรอยแตกบริเวณหางคิ้ว ถ้าฉันช้าไปมากกว่านี้แซมมี่ต้องแย่แน่ๆ
“พี่สกายหยุดเดี๋ยวนี้นะ” ฉันตะคอกใส่ร่างสูงตรงหน้าเสียงดังลั่น และมันได้ผลเขาอยู่ชะงักไปทันทีก่อนจะหันกลับมามองหน้าฉันอย่างเอาเรื่อง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัดจ้องมองมาที่ฉันอย่างเอาเรื่อง
“คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย ลุกออกไปเดี๋ยวนี้นะ” ฉันผลักอกแกร่งของเขาออกอย่างแรง แต่แรงอันน้อยนิดของฉันไม่สามารถทำให้เขาสะทกสะท้านไปได้เลย
“มันมากอดหอมเมียพี่ แล้วแบบนี้จะให้พี่ยืนดูอยู่เฉยๆ เหรอ?”
“เมีย?”
“ใครเป็นเมียของคุณ ฉันไม่ใช่...”
“จำไม่ได้เดี๋ยวพี่จะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้เอง” พี่สกายจับข้อมือของฉันเอาไว้แน่น พร้อมกับเอ่ยบอกกับฉันออกมาเสียงเรียบ ตาคมยังคงจ้องเขม็งมาที่ฉันอย่างเอาเรื่อง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ใบหม่อนกับฟองเบียร์รีบวิ่งเข้ามาดูสถานะการณ์ในทันที ก่อนที่ดวงตาของพวกเธอจะเบิกโพรงขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ ทั้งคู่รีบเข้ามาช่วยประคองแซมมี่เอาไว้พร้อมกับโทรเรียกรถพยาบาล
“จะไปกับพี่ดีๆ หรือให้พี่กลับไปกระทืบมัน?” พี่สกายเอ่ยถามฉันออกมาเสียงเรียบ
“ฝากด้วยนะ” ฉันหันไปบอกกับฟองเบียร์และใบหม่อน ก่อนจะหันไปมองแซมมี่ที่นอนจมกองเลือดด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องเป็นห่วง / ระวังตัวด้วยนะชูใจ”
“เราไม่เป็นอะไร”
ฉันเลือกที่จะไปกับพี่สกายเพราะฉันมั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำร้ายร่างกายฉันอย่างแน่นอน ตอนนี้เขาอาจจะกำลังโกรธอยู่พูดอะไรออกไปเขาก็คงจะไม่ฟัง ฉันเลือกที่จะเดินตามเขาออกไปเงียบๆ รอให้เขาใจเย็นกว่านี้อีกสักหน่อยค่อยอธิบายให้เขาฟัง
“ช่วยลดความเร็วลงหน่อยได้ไหมคะ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปเสียงอ่อนพร้อมกับจับเบาะของตัวเองเอาไว้แน่นด้วยความกลัว พี่สกายชายตามามองที่ฉันเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลดความเร็วลงตาที่ฉันบอกอย่างว่าง่าย
“มันเป็นใคร?”
“เพื่อนค่ะ”
“เพื่อนแบบไหนกันถึงได้กอดหอมกันกลางห้างแบบนั้น?”
“แล้วจะให้ชูใจไปกอดหอมกับเขาในโรงแรมเหรอคะคุณถึงจะพอใจ” ฉันนั่งกอดอกตัวเองเอาไว้แน่ พร้อมกับเอ่ยบอกกับเขาออกไปเสียงเรียบ
“ชูใจ”
“ก็จริงนี่...บอกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่เชื่อ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปตามตรง ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันไม่กี่วันปากเก่งขึ้นเยอะเลยนี่ครับ รู้ใช่ไหมเด็กดื้อต้องโดนอะไร” พี่สกายพึมพำออกมาก่อนที่เขาจะเลี้ยวรถเขาไปจอดยังลานจอดรถหน้าคฤหาสน์หลังงามของเขา
“ไม่รู้คะ ไม่อยากรู้ด้วย”
“ขอบคุณมานะคะที่มาส่ง ฉันขอตัวกลับบ้านก่อน” ฉันพูดจบก็รีบเดินลงจากรถทันทีไม่รอฟังในสิ่งที่เขากำลังจะพูดอีกต่อไป...
ฉันรู้ดีว่าพี่เขาพูดออกมาหมายความว่าอย่างไร ถ้าฉันยังอยู่ที่นี่ต่อไปวันนี้ฉันคงไม่ได้กลับบ้าน พี่สกายเป็นคนพูดจริงทำจริงๆ ถ้าฉันช้าฉันอาจจะไม่รอดเงื้อมมือของเขาอย่างแน่นอน
“หนูเป็นคนที่พี่รักพี่ไม่ทำร้ายหนู แต่ถ้าหนูก้าวขาออกจากเขตบ้านหลังนี้เมื่อไหร่...ไอ้หน้าจืดนั่นได้ตายคาตีนพี่แน่นอนครับ”
พี่สกายเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบพร้อมกับจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“เฮ้อ!!” ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปหาเขาอีกครั้ง
เราทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้นก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะคว้าข้อมือบางของฉันไปกุมเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเดินนำฉันเข้าไปในคฤหาสน์หลังงามตรงหน้า
“พี่สกาย…!!”
“เรียกพี่ได้แล้วเหรอครับ?” ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนที่ฉันคุ้นเคย ก่อนที่เขาจะหันกลับมาถามฉันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เหนือกว่า มุมปากของชายหนุ่มแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา ก่อนที่แขนแกร่งของเขาจะโอบเอวบางของฉันพร้อมกับออกแรงดันเบาๆ เพื่อให้ฉันเดินตามเขาเข้าไปในห้อง
“คุยกันข้างล่างก็ได้นี่คะไม่เห็นต้องขึ้นมาบนนี้เลย”
“ไม่ได้หรอกครับ วันนี้หนูดื้อเราคุยกันในห้องนี่แหละดีที่สุดแล้ว”
“แต่...”
“ไม่มีแต่ครับ” พี่สกายเอ่ยออกมาเสียงเรียบก่อนที่เขาจะอุ้มฉันขึ้นแนบอก ก่อนที่เขาจะวางฉันลงบนเตียงกว้างอย่างเบามือ
“ฟังชูใจอธิบายก่อนค่ะ” ฉันดันอกแกร่งของออกก่อนที่จะเอ่ยบอกับกับร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน
“...” พี่สกายจับข้อมือของฉันขึ้นไปไว้เหนือหัว ก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้กับใบหน้าของฉันจนปลายจมูกของเราชนกัน
“ผู้ชายที่พี่สกายเห็นมีชื่อตามบัตรประชาชนว่า ‘สมชาย’ ค่ะ ชื่อในวงการ ‘แซมมี่’ ถึงภายนอกจะดูเป็นชายชาตรีแต่จริงๆ แล้วแซมมี่เป็นเพื่อนสาวของหนูค่ะ” ฉันอธิบายให้ร่างสูงตรงหน้าฟังอย่างใจเย็น
4 เดือนต่อมา...ห้องคลอด“พี่สกายคะ พี่สกาย”“พี่สกาย”“คะ ครับ” พี่สกายขานรับเสียงเรียกของฉันออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่เขาจะขยับหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าของฉัน“ถ้าหนพูดอะไรซึ้งๆ พี่จะร้องไห้ไหมคะ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ออกไปเสียงอ่อน ในขณะที่คุณหมอกับพยาบาลกำลังทำคลอดให้กับฉัน ฉันเลือกที่จะคลอดลูกด้วยวิธีการผ่าคลอด ฉันยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างกลัวฉันจึงขอคลอดลูกด้วยวิธีนี้“ร้องครับ หนูรู้ไหมหัวใจของพี่เต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาได้อยู่แล้ว” พี่สกายเอ่ยบอกกับฉันเสียงสั่น พร้อมกับน้ำตาคลออยู่ที่ตาคมทั้งสองข้างของเขา“หนูได้ยินอยู่ค่ะ” ฉันหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยบอกกับชายหนุ่มตรงหน้าออกไปด้วยน้ำเสียงที่สดใสอย่างเช่นทุกครั้ง“ตอนนี้หนูรู้สึกยังไงบ้างครับ?” พี่สกายเอ่ยถามฉันออกมาด้วยความเป็นห่วง พร้อมยกมือทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาจับไหล่เปลือยเปล่าของฉันเอาไว้“หนูรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหมูที่กำลังขึ้นเขียงเลยค่ะ”“หมูน้อยของพี่”“หัวอยู่นี้...” เสียงของคุณหมอที่พูดขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายของฉันเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข“ตื่นเต้นครับ หนูตื่นเต้นไหมครับ?”“ตื่นเต้นค่ะ พี่สกายใจเย็นๆ
1 ปีต่อมา...ภูเก็ต“ชูใจเป็นเพื่อน และเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของเบียร์กับหม่อน ชูใจสมควรที่จะมีความสุขที่สุด เพราะชูใจเป็นผู้หญิงที่มีแต่ให้ไม่ว่าจะกับใคร...”“ถ้าวันนั้นเบียร์ไม่ได้ชูใจช่วยเอาไว้ วันนี้เราคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ฮึกกกกก พี่สกายโชคดีมากนะคะที่ได้ผู้หญิงที่แสนดีคนนี้ไปครอบครอง ฝากเพื่อนรักของพวกเราด้วยนะคะ”ฟองเบียร์เช็คคราบน้ำตาออกจากแก้มขาวเนียนของตัวเอง พร้อมกับเอ่ยความในใจออกมาเสียงสั่น ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มของเธอทำให้ทุกคนทราบซึ้งและเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อออกมาเป็นอย่างดี“ขอบคุณค่ะ เราเองก็รู้สึกโชคดีเหมือนกันพี่มีเบียร์กับหม่อนเป็นเพื่อน” ฉันรับกระดาษทิชชูมาจากเจ้าบ่าวของฉันก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มของตัวเองอย่างเบามือ พร้อมกับเอ่ยบอกกับทั้งสองคนออกไปเสียงใสตามความรู้สึกของตัวเอง“ลำดับต่อไปเชิญคุณตะวันค่ะ”“ก่อนอื่นตะวันต้องขอขอบคุณแขกทุกท่านที่ร่วมเดินทางมาไกลถึงภูเก็ต และก็ขอขอบคุณทุกท่านที่รักและก็เอ็นดูชูใจน้องสาวของตะวัน ขอบคุณมากค่ะ”“ชูใจ...เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เราสองคนจำความได้ ไม่ว่าพี่จะมีปัญหาอะไรก็มีน้องคอยช่วยเหลืออยู่
[สกาย]1 สัปดาห์ต่อมา...ภูเก็ต“ชูใจหลับไปแล้วเหรอวะ?” ไอ้เพิร์ชเอ่ยถามขึ้นมาก่อนจะหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่ม“หลับไปแล้ว”ขณะนี้ครอบครัวของผมอยู่กันที่ภูเก็ต ผมกับชูใจตัดสินใจร่วมกันว่าจะพาลูกที่จากไปของเรามาลอยอังคารที่นี่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตอยู่กับชูใจตลอดเวลา เรื่องที่เกิดขึ้นผมรู้ดีว่าชูใจคือคนที่เจ็บปวดที่สุดเธอย้ำกับผมหลายต่อหลายครั้งว่าเราสองคนต้องไปต่อ ‘เธอเชื่อว่าสักวันลูกจะกลับมาเกิดกับเราอีกครั้ง’ เธอทำให้ผมเห็นว่าเธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังคงบอบช้ำกับเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่“แล้วนี้มึงจะเอายังไงต่อวะ?” ไอ้ฮันเตอร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย ก่อนที่มันจะยื่นเอกสารในมือมาให้กับผม“โชคดีของพวกมันที่ชิงตายกันไปก่อน ไม่อย่างนั้นกูจะทำให้พวกมันรู้ว่าตายทั้งเป็นเป็นยังไง” ผมอ่านเอกสารผลการชันสูตรพลิกศพในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองยังท้องทะเลที่มืดสนิทตรงหน้าด้วยสายตาที่เรียบเฉย ผมว่างเอกสารลงตรงหน้าก่อนที่เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบผมไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดี...ผมแค่ไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ความอดทนของผมสิ้นสุ
ห้องพักฟื้น...“ชูใจ” สกายเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างคนรักของเขาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้า มือหนาลูบแก้มขาวเนียนที่บวมช้ำเป็นรอยแดงของร่างบางอย่างเบามือ“พี่ทะนุถนอมหนูมาอย่างดี...พี่ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มอุ้มมากุมมือบางของคนรักเอาไว้ไม่ยอมห่างสายตาของทุกคนมองไปยังสกายและชูใจเป็นตาเดียวด้วยความสงสารทั้งคู่จับใจ รอไม่นานหมอเจ้าของไข้กับเพิร์ชก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับ“หมอชูใจเป็นยังไงบ้าง?” สกายเอ่ยถามคุณหมอตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะมองไปยังหมอเพิร์ชเพื่อนรักของเขาที่อยู่ไม่ไกลอย่างรอคำตอบ“ไอ้เพิร์ช?”“ตอนนี้คุณชูใจพ้นขีดอันตรายแล้วครับ ...”“ขอบคุณมากครับ ไม่ว่าหมอต้องการอะไรผมจะหามาให้...” สกายยกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้อง เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นมาเป็นระยะ“แต่ผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ผมไม่สามารถช่วยเหลือทารกในครรภ์ของเธอได้ครับ”“มะ หมายความว่ายังไง?” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มหุบลงทันที ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามหมอหนุ่มตรงหน้าออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ตาคมมองไปยังชายตรงหน้าและเพื่อนรักของเขาสลับกันอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ
รถสปอร์ตหรูชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะพลิกคว่ำต่อหน้าต่อตาของเขา หัวใจของที่แข็งแกร่งดั่งหินผากระตุกวูบเขาทั้งเจ็บปวดทั้งหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ชูใจ!!” เสียงของสกายร้องเรียกคนรักของเขาออกมาเสียงหลง ร่างสูงรีบวิ่งเข้าไปใกล้รถที่เกิดอุบัติเหตุตรงหน้าทันทีด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวที่อยู่ด้านในจับใจ“ชูใจ!! มะ ไม่นะ” ตะวันทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอด้วยความหวาดกลัว ตะวันรู้ดีว่าในรถคันนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ชูใจน้องสาวของเธอเพียงคนเดียว แต่มีหลานสาวของเธอที่อยู่ในครรภ์ของชูใจอีกด้วยที่เธอเป็นห่วง“พี่ตะวัน” เสียงของน้ำมนต์ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ก่อนที่ร่างบางจะกอดตะวันเอาไว้แน่น ในขณะที่เพิร์ชกับฮันเตอร์ และลูกน้องของพวกเขาช่วยสกายดึงประตูรถหรูที่ตอนนี้เหลือเพียงเศษเหล็กออก~~วี้...หว่อ~~ วี้...หว่อ~~ วี้...หว่อ~~“หนูครับ” ทันทีที่ประตูรถเปิดออกสกายก็รีบอุ้มคนรักของเขาออกมาทันที ขายาวรีบก้าวไปยังรถพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลในทันที“หนูครับ ได้ยินเสียงพี่ไหม ฮึกกกก ลืมตาขึ้นมามองหน้าพี่หน่อยนะครับ” สกายมองดูเลือดที่ไหลท่วมร่างบางในอ้อมกอดของเขาด้วยความเจ็บ
“สามคนพ่อ แม่ ลูกงั้นเหรอคะ?” ฉันเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบก่อนจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับมองไปยังชายหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเอาเรื่องมือทั้งสองข้างของฉันจะถูกมัดตรึงเอาไว้ด้านหลัง แต่ตัวของฉันยังคงขยับได้อยู่ ฉันค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับพวกเขา พร้อมกับพยายามแกะเชือกที่มัดมือของฉันออก“ชูใจ!!!”“เธอไม่ได้สลบอย่างนั้นเหรอ?” พี่โมนาเอ่ยถามฉันออกมาด้วยความตกใจ“ใช่ฉันไม่ได้หลับ ฉันได้ยินสิ่งที่พวกคุณคุยกันชัดทุกคำ”“งั้นเธอก็รู้แล้วสินะว่าลูกในท้องของฉันเป็นลูกของไนท์ไม่ใช่ไอ้สกาย” พี่โมนาเอ่ยออกมาเสียงเรียบอย่างไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดเลยสักนิด“ไหนๆ เธอก็ต้องตายอยู่แล้วฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ...”“คืนนั้นไอ้สกายมันเรียกหาแต่เธอ พอฉันพามันมาถึงเตียงมันก็อ้วกใส่ฉันและก็หลับเป็นตาย ฉันไม่ได้มีอะไรกับมันและก็ไม่เคยคิดจะมีด้วย”“พี่ทำแบบนี้ทำไมคะ?”“ไนท์?” ฉันเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าแต่เธอกลับเงียบใส่ฉัน ฉันจึงหันไปเรียกอดีตเพื่อนรักของฉันแทน ฉันมองไปที่ไนท์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง“ไอ้สกายมันทำให้น้องของฉันต้องตาย มันพรากแก้วตาดวงใจไปจากฉันมันก็สมควรได้รับแบบนั้นกลับไปเช่นกัน” ฉันหันมาจ้อง