[สกาย]
1 สัปดาห์ต่อมา...
ภูเก็ต
“ชูใจหลับไปแล้วเหรอวะ?” ไอ้เพิร์ชเอ่ยถามขึ้นมาก่อนจะหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่ม
“หลับไปแล้ว”
ขณะนี้ครอบครัวของผมอยู่กันที่ภูเก็ต ผมกับชูใจตัดสินใจร่วมกันว่าจะพาลูกที่จากไปของเรามาลอยอังคารที่นี่
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตอยู่กับชูใจตลอดเวลา เรื่องที่เกิดขึ้นผมรู้ดีว่าชูใจคือคนที่เจ็บปวดที่สุด
เธอย้ำกับผมหลายต่อหลายครั้งว่าเราสองคนต้องไปต่อ ‘เธอเชื่อว่าสักวันลูกจะกลับมาเกิดกับเราอีกครั้ง’ เธอทำให้ผมเห็นว่าเธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังคงบอบช้ำกับเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่
“แล้วนี้มึงจะเอายังไงต่อวะ?” ไอ้ฮันเตอร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย ก่อนที่มันจะยื่นเอกสารในมือมาให้กับผม
“โชคดีของพวกมันที่ชิงตายกันไปก่อน ไม่อย่างนั้นกูจะทำให้พวกมันรู้ว่าตายทั้งเป็นเป็นยังไง” ผมอ่านเอกสารผลการชันสูตรพลิกศพในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองยังท้องทะเลที่มืดสนิทตรงหน้าด้วยสายตาที่เรียบเฉย ผมว่างเอกสารลงตรงหน้าก่อนที่เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ
ผมไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดี...ผมแค่ไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ความอดทนของผมสิ้นสุดลง ผมก็จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
สำหรับไนท์กับโมนาผมพยายามที่จะใช้วิธีที่ละมุนละม่อนที่สุดแล้ว และก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของผมเอง ผมประเมินพวกมันน้อยเกินไปทำให้ผมต้องสูญเสียอยู่ตอนนี้ แต่ไม่ว่าเรื่องที่ผ่านมาจะมีบทสรุปอย่างไร มันจะเป็นบทเรียนที่หนักที่สุดในชีวิตของผม และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
“ส่วนเรื่องไนร่ามันเป็นยังไงมายังไงกันแน่วะ?” ผมเอ่ยถามไอ้เพิร์ชออกไปเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปมองหน้ามันอย่างรอคำตอบ
“วันนั้นที่มึงปฏิเสธเธอ กูบังเอิญไปเห็นพอดีท่าทางที่เธอแสดงออกมาเข้าข่ายของคนที่ป่วยเป็นโรคจิตเวช...”
“.../...”
“กูเห็นว่าไนร่าเป็นรุ่นน้องในคณะ และเข้าใจดีว่าเธอป่วยจึงแนะนำให้เธอไปหาหมอ ตอนนั้นด้วยความสงสารกูเลยอาสาพาเธอไปดูแลเธอเท่าที่กูจะทำได้”
“เลือดหมอมันเข้มข้นจริงๆ” ไอ้ฮันเตอร์เอ่ยออกมาพร้อมกับมองมาที่ผมอย่างต้องการจะฟังเรื่องราวต่อจากนี้...
“สรุปง่ายๆ เธอป่วยมานานแล้ว และเธอก็ต่อต้านการรักษา พอรู้ว่าตัวเองผิดหวังอีกครั้งเธอจึงตัดสินใจลาโลกนี้ไป”
“แสดงว่าไอ้ไนท์เข้าใจคิดว่าน้องมันตายเพราะไอ้กาย”
“อืม และจากที่กูฟังชูใจเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถให้ฟัง กูคาดเดาว่าไนท์ก็มีอาการแบบเดียวกัน”
“ไม่ว่ามันจะป่วยหรือไม่ มันก็ไม่มีสิทธิทำร้ายใคร”
“เรื่องนี้ตอบยากพวกเราไม่รู้ว่าสาเหตุของอาการว่ามันเกิดมาจากอะไร...”
“เฮ่อ...!!!”
“เอาเถอะ...เรื่องมันจบไปแล้ว กูไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” ผมเอ่ยบอกกับเพื่อนรักออกไปเสียงเรียบ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่ม
“เหล้าไหม?” ไอ้ฮันเตอร์เอ่ยถามขึ้นก่อนที่มันจะยื่นแก้วเหล้ามาให้กับผม ผมยื่นกลับคืนไปให้กับมันทันทีพร้อมกับเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงเรียบ
“กูเลิกแล้วครับ”
“ตัดได้เลยเหรอวะ?” ไอ้ฮันเตอร์เอ่ยถามออกมาอีกครั้งราวกับว่ามันไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่มันพึ่งได้ยิน
“เออ เหล้าพวกนี้ทำลายชีวิตกู กูเลิกขาด...”
“หึหึ / หึหึ”
“ขำเชี้ยอะไรกัน?” มึงหันไปมองหน้าทั้งสองคนอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามมันออกไปด้วยความสงสัย
“ก็ไม่มีอะไร เลิกได้ก็ดีแล้ว”
[ชูใจ]
วันต่อมา...
“พ่อขอโทษนะครับ” พี่สกายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ในขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังท้องทะเลสีใสตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่โทษตัวเอง
“พี่สกาย”
“ครับ?”
“เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะคะ พี่ทำทุกอย่างเท่าที่พี่จะทำได้แล้วไม่มีอะไรต้องโทษตัวเอง” ฉันหันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง มือบางลูบลงที่แก้มขาวเนียนของร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยบอกกับเขาออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“ครับ”
“วันนี้เราพาลูกมาส่งแล้ว วันข้างหน้าเราอาจจะมีโอกาสได้พบกันใหม่” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปอีกครั้ง ก่อนจะยกยิ้มหวานออกมาให้กับเขา
ไม่ใช่ว่าฉันจะทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว ฉันยังคงรู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเสียใจ และยังคงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันอยู่ แต่ความจริงก็คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นชีวิตของพวกเราทุกคนก็ต้องไปต่อ
“ปล่อยให้เวลาเยียวยาพวกเรานะคะ”
“ครับ” พี่สกายเอื้อมมือขึ้นมากุมมือบางของฉันเอาไว้ ก่อนที่ชายหนุ่มตรงหน้าของฉันจะยกยิ้มกว้างออกมาในรอบหลายวัน
“พี่สกาย”
“ครับ?”
“กลับกรุงเทพแล้วเราไปทำบุญกันนะคะ” ฉันหันกลับไปมองท้องทะเลตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยบอกกับชายหนุ่มที่โอบกอดฉันเอาไว้จากทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงที่สดใสอย่างเช่นทุกครั้ง
“ได้สิครับ ทำบุญ 9 วัด 9 วันเลยดีไหมครับ?”
“ดีค่ะ” ฉันยกยิ้มออกมาก่อนจะตอบคำถามของเขากลับไป ม๊าเคยบอกกับฉันว่าปกติต่อให้บังคับ พี่สกายก็แทบจะไม่ยอมเข้าวัดทำบุญเลย แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเขาเป็นคนเสนอเองเลยว่าอยากไปทำบุญ
สัปดาห์ที่ผ่านมาฉันกับพี่สกายพากันออกไปทำบุญทุกวัน ส่วนใหญ่เราจะพากันไปที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า และมูลนิธิต่างที่คอยให้การช่วยเหลือคนยากไร้ และในอนาคตพี่สกายมีแพลนที่จะสร้างมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ต้องการความช่วยเหลืออีกด้วย
“สกาย หนูชูใจลูก...ข้างนอกแดดเริ่มแรงแล้ว เข้ามาด้านในกันดีกว่านะลูก”
“ค่ะม๊า”
ฉันเดินกลับเข้ามาพักภายในห้องรับรองบนเรือยอร์ช อาหารมากมายถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะตัวยาว หลังจากนั้นไม่นานเด็กๆ ที่เข้าไปพักผ่อนในห้องนอนที่อยู่ไม่ไกลจากห้องอาหารก็พากันเดินออกมา
“น้าชูใจคะ” เสียงของฮาญาร้องเรียกฉันดังขึ้นมา ก่อนที่เธอจะรีบเดินเข้ามากอดฉันเอาไว้
“ฮาญารักน้าชูใจนะค”
“เฮคก็รักครับ / ปั้นรักพี่ชูใจที่สุด / ...” เด็กชายทั้งสามคนเดินเข้ามากอดฉันเอาไว้ พร้อมกับบอกรักฉันอย่างออดอ้อน ฉันย่อตัวนั่งลงกอดเด็กทั้งสี่คนเอาไว้แนบอกก่อนจะยกยิ้มออกมาให้กับความน่ารักน่าเอ็นดูของเขา
“ปั้นเสียใจนะครับที่น้องไม่อยู่กับเราแล้ว”
“กำปั้น” เสียงของไต้ฝุ่นเอ็ดน้องชายออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้กับฉัน ฉันลูบลงที่หัวของไต้ฝุ่นอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“นี่เด็กๆ รู้เรื่องกันหมดแล้วเหรอครับ” ฉันเอ่ยถามเด็กน้อยตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัย หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาคงยังไม่รู้เรื่องจึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิมจนกระทั่งวันนี้...
“กำปั้นเองครับ” เด็กชายตรงหน้ายกมือขึ้นก่อนจะเอ่ยสารภาพกับฉันเสียงอ่อน
“ปั้นแอบได้ยินคุณพ่อ ลุงกาย และลุงเพิร์ชคุยกันเมื่อคืนครับ”
“เรื่องจริงเหรอคะ?” ฮาญาเอ่ยถามออกมาอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พี่ชายของเธอพึ่งเล่าให้ฟัง เด็กหญิงมองมาที่ฉันอย่างรอคำตอบ
“จริงค่ะ น้าแท้งลูกจากอุบัติเหตุน่ะค่ะ” ฉันเอ่ยบอกกับเด็กหญิงตรงหน้า ก่อนจะลูบลงที่แก้มนุ่มนิ่มของเธออย่างเบามือ
“ฮาญาขอโทษนะคะที่ถามออกมาแบบนี้ ฮาญาเสียใจค่ะ” ฮาญาเอ่ยบอกกับฉันเสียงอ่อนอย่างรู้สึกผิด มือน้อยของเธอประคองมือบางของฉันเอาไว้ไม่ยอมห่าง ฮาญาเดินเข้ามากอดฉันเอาไว้อีกครั้งพร้อมกับมือบางอีกข้างของเธอลูบลงที่แผ่นหลังบางของฉันเบาๆ เพื่อปลอบประโลมฉัน
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ น้ารู้ว่าฮาญาและก็ทุกคนเป็นห่วงน้า”
“ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวอาหารบนโต๊ะจะเย็นหมดนะคะ” ฉันเอ่ยบอกกับเด็กน้อยตรงหน้าเสียงอ่อน พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้กับพวกเขา
“ทานเยอะๆ นะครับ” ไต้ฝุ่นตักต้มยำกุ้งใส่ถ้วยน้อยก่อนจะยืนมาให้กับฉัน เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดแต่เขามักจะแสดงออกมาให้ฉันรับรู้ว่าเขาเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน
“ขอบคุณมากนะครับ”
“มาครับเดี๋ยวพี่ช่วย” พี่สกายยกยิ้มออกมาก่อนที่เขาจะตักกุ้งในถ้วยตรงหน้าของฉันไป ชายหนุ่มค่อยๆ บรรจงแกะเปลือกกุ้งให้ฉันอย่างใจเย็น
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกยิ้มออกมาก่อนจะทานกุ้งที่พี่สกายแกะให้อย่างเอร็ดอร่อย ทุกสายตามองมาที่ฉันพวกที่พวกเขาจะยกยิ้มออกมา ก่อนที่ทุกคนจะหันไปทานอาหารตรงหน้าด้วยกันต่อ เสียงพูดคุยกันดังเจื้อยแจ้วไปทั่วทั้งห้องรับประทานแห่งนี้
“...” ฉันมองไปยังพี่สกายก่อนจะหันไปมองทุกคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะแห่งนี้ พวกเขาคือครอบครัวของฉัน ไม่ว่าฉันจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน ฉันก็จะผ่านไปได้เพราะมีพวกเขาอยู่
“ชูใจขอขอบคุณพี่สกาย และก็ทุกคนมากนะคะ ถ้าไม่มีทุกคนชูใจอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
“พวกเราไม่ทิ้งคนในครอบครัวหรอกนะลูก” ป๊าเอ่ยขึ้นมาเสียงอ่อนพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ฉันอย่างเอ็นดู
“ใช่ครับ”
“หมดทุกข์หมดโศกสักทีนะลูกนะ” ม๊าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้างเอ่ยสมทบขึ้นอีกคน
“ค่ะม๊า”
ช่วงบ่ายของวัน...
“พี่รักหนูนะครับ” พี่ที่กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาที่ข้างหูของฉัน ก่อนที่แขนแกร่งจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ทำให้แผ่นหลังบางของฉันแนบชิดกับอกแกร่งของฉันมากกว่าเดิม
“หนูก็รักพี่สกายค่ะ” ฉันตอบชายหนุ่มกลับไป ก่อนจะพิงหัวซบลงกับอกแกร่งของเขา ในขณะที่สายตาของฉันยังคงจับจ้องไปยังท้องทะเลสีครามตรงหน้า
เราทั้งคู่ตัดสินใจคบกันที่ตรงนี้ ถึงวันนี้เราจะกลับมาที่ตรงนี้อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ต่างไป ไม่ว่าจะผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาหนักแค่ไหน เราทั้งคู่ยังรักกันเสมอและจะรักและอยู่เคียงข้างกันแบบนี้ไปตราบนานเท่านาน
“พี่สกายคะ”
“ครับ?”
“พี่สกายคิดว่าเราต้องใช้เวลานานเท่าไหร่เหรอคะ ถึงจะทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นได้?” ฉันเอ่ยถามพี่สกายออกไป ก่อนจะค่อยๆ ขยับหันกลับไปมองหน้าเขาอย่างรอคำตอบ
“ทั้งชีวิตครับ”
“...”
“เราทั้งคู่จะไม่มีใครลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรอกครับ แต่เราต้องอยู่กับเรื่องนี้ให้ได้”
“ทำอย่างไงคะ?”
“ปล่อยว่างครับถึงมันจะยาก แต่เราจะผ่านมันไปได้ครับ”
“ค่ะ ปล่อยให้เวลาช่วยเยียวยาพวกเรา”
“ถูกต้องแล้วครับ”
4 เดือนต่อมา...ห้องคลอด“พี่สกายคะ พี่สกาย”“พี่สกาย”“คะ ครับ” พี่สกายขานรับเสียงเรียกของฉันออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่เขาจะขยับหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าของฉัน“ถ้าหนพูดอะไรซึ้งๆ พี่จะร้องไห้ไหมคะ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ออกไปเสียงอ่อน ในขณะที่คุณหมอกับพยาบาลกำลังทำคลอดให้กับฉัน ฉันเลือกที่จะคลอดลูกด้วยวิธีการผ่าคลอด ฉันยอมรับว่าตัวเองค่อนข้างกลัวฉันจึงขอคลอดลูกด้วยวิธีนี้“ร้องครับ หนูรู้ไหมหัวใจของพี่เต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาได้อยู่แล้ว” พี่สกายเอ่ยบอกกับฉันเสียงสั่น พร้อมกับน้ำตาคลออยู่ที่ตาคมทั้งสองข้างของเขา“หนูได้ยินอยู่ค่ะ” ฉันหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยบอกกับชายหนุ่มตรงหน้าออกไปด้วยน้ำเสียงที่สดใสอย่างเช่นทุกครั้ง“ตอนนี้หนูรู้สึกยังไงบ้างครับ?” พี่สกายเอ่ยถามฉันออกมาด้วยความเป็นห่วง พร้อมยกมือทั้งสองข้างของเขาขึ้นมาจับไหล่เปลือยเปล่าของฉันเอาไว้“หนูรู้สึกว่าตัวเองเหมือนหมูที่กำลังขึ้นเขียงเลยค่ะ”“หมูน้อยของพี่”“หัวอยู่นี้...” เสียงของคุณหมอที่พูดขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายของฉันเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข“ตื่นเต้นครับ หนูตื่นเต้นไหมครับ?”“ตื่นเต้นค่ะ พี่สกายใจเย็นๆ
1 ปีต่อมา...ภูเก็ต“ชูใจเป็นเพื่อน และเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของเบียร์กับหม่อน ชูใจสมควรที่จะมีความสุขที่สุด เพราะชูใจเป็นผู้หญิงที่มีแต่ให้ไม่ว่าจะกับใคร...”“ถ้าวันนั้นเบียร์ไม่ได้ชูใจช่วยเอาไว้ วันนี้เราคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ฮึกกกกก พี่สกายโชคดีมากนะคะที่ได้ผู้หญิงที่แสนดีคนนี้ไปครอบครอง ฝากเพื่อนรักของพวกเราด้วยนะคะ”ฟองเบียร์เช็คคราบน้ำตาออกจากแก้มขาวเนียนของตัวเอง พร้อมกับเอ่ยความในใจออกมาเสียงสั่น ใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มของเธอทำให้ทุกคนทราบซึ้งและเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อออกมาเป็นอย่างดี“ขอบคุณค่ะ เราเองก็รู้สึกโชคดีเหมือนกันพี่มีเบียร์กับหม่อนเป็นเพื่อน” ฉันรับกระดาษทิชชูมาจากเจ้าบ่าวของฉันก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มของตัวเองอย่างเบามือ พร้อมกับเอ่ยบอกกับทั้งสองคนออกไปเสียงใสตามความรู้สึกของตัวเอง“ลำดับต่อไปเชิญคุณตะวันค่ะ”“ก่อนอื่นตะวันต้องขอขอบคุณแขกทุกท่านที่ร่วมเดินทางมาไกลถึงภูเก็ต และก็ขอขอบคุณทุกท่านที่รักและก็เอ็นดูชูใจน้องสาวของตะวัน ขอบคุณมากค่ะ”“ชูใจ...เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เราสองคนจำความได้ ไม่ว่าพี่จะมีปัญหาอะไรก็มีน้องคอยช่วยเหลืออยู่
[สกาย]1 สัปดาห์ต่อมา...ภูเก็ต“ชูใจหลับไปแล้วเหรอวะ?” ไอ้เพิร์ชเอ่ยถามขึ้นมาก่อนจะหยิบแก้วน้ำตรงหน้าขึ้นมาดื่ม“หลับไปแล้ว”ขณะนี้ครอบครัวของผมอยู่กันที่ภูเก็ต ผมกับชูใจตัดสินใจร่วมกันว่าจะพาลูกที่จากไปของเรามาลอยอังคารที่นี่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตอยู่กับชูใจตลอดเวลา เรื่องที่เกิดขึ้นผมรู้ดีว่าชูใจคือคนที่เจ็บปวดที่สุดเธอย้ำกับผมหลายต่อหลายครั้งว่าเราสองคนต้องไปต่อ ‘เธอเชื่อว่าสักวันลูกจะกลับมาเกิดกับเราอีกครั้ง’ เธอทำให้ผมเห็นว่าเธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากแค่ไหน แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังคงบอบช้ำกับเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่“แล้วนี้มึงจะเอายังไงต่อวะ?” ไอ้ฮันเตอร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย ก่อนที่มันจะยื่นเอกสารในมือมาให้กับผม“โชคดีของพวกมันที่ชิงตายกันไปก่อน ไม่อย่างนั้นกูจะทำให้พวกมันรู้ว่าตายทั้งเป็นเป็นยังไง” ผมอ่านเอกสารผลการชันสูตรพลิกศพในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองยังท้องทะเลที่มืดสนิทตรงหน้าด้วยสายตาที่เรียบเฉย ผมว่างเอกสารลงตรงหน้าก่อนที่เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบผมไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดี...ผมแค่ไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ความอดทนของผมสิ้นสุ
ห้องพักฟื้น...“ชูใจ” สกายเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างคนรักของเขาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ตรงหน้า มือหนาลูบแก้มขาวเนียนที่บวมช้ำเป็นรอยแดงของร่างบางอย่างเบามือ“พี่ทะนุถนอมหนูมาอย่างดี...พี่ขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มอุ้มมากุมมือบางของคนรักเอาไว้ไม่ยอมห่างสายตาของทุกคนมองไปยังสกายและชูใจเป็นตาเดียวด้วยความสงสารทั้งคู่จับใจ รอไม่นานหมอเจ้าของไข้กับเพิร์ชก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับ“หมอชูใจเป็นยังไงบ้าง?” สกายเอ่ยถามคุณหมอตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะมองไปยังหมอเพิร์ชเพื่อนรักของเขาที่อยู่ไม่ไกลอย่างรอคำตอบ“ไอ้เพิร์ช?”“ตอนนี้คุณชูใจพ้นขีดอันตรายแล้วครับ ...”“ขอบคุณมากครับ ไม่ว่าหมอต้องการอะไรผมจะหามาให้...” สกายยกยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในห้อง เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นมาเป็นระยะ“แต่ผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ผมไม่สามารถช่วยเหลือทารกในครรภ์ของเธอได้ครับ”“มะ หมายความว่ายังไง?” รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มหุบลงทันที ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามหมอหนุ่มตรงหน้าออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ตาคมมองไปยังชายตรงหน้าและเพื่อนรักของเขาสลับกันอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ
รถสปอร์ตหรูชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะพลิกคว่ำต่อหน้าต่อตาของเขา หัวใจของที่แข็งแกร่งดั่งหินผากระตุกวูบเขาทั้งเจ็บปวดทั้งหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ชูใจ!!” เสียงของสกายร้องเรียกคนรักของเขาออกมาเสียงหลง ร่างสูงรีบวิ่งเข้าไปใกล้รถที่เกิดอุบัติเหตุตรงหน้าทันทีด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวที่อยู่ด้านในจับใจ“ชูใจ!! มะ ไม่นะ” ตะวันทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอด้วยความหวาดกลัว ตะวันรู้ดีว่าในรถคันนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ชูใจน้องสาวของเธอเพียงคนเดียว แต่มีหลานสาวของเธอที่อยู่ในครรภ์ของชูใจอีกด้วยที่เธอเป็นห่วง“พี่ตะวัน” เสียงของน้ำมนต์ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ก่อนที่ร่างบางจะกอดตะวันเอาไว้แน่น ในขณะที่เพิร์ชกับฮันเตอร์ และลูกน้องของพวกเขาช่วยสกายดึงประตูรถหรูที่ตอนนี้เหลือเพียงเศษเหล็กออก~~วี้...หว่อ~~ วี้...หว่อ~~ วี้...หว่อ~~“หนูครับ” ทันทีที่ประตูรถเปิดออกสกายก็รีบอุ้มคนรักของเขาออกมาทันที ขายาวรีบก้าวไปยังรถพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลในทันที“หนูครับ ได้ยินเสียงพี่ไหม ฮึกกกก ลืมตาขึ้นมามองหน้าพี่หน่อยนะครับ” สกายมองดูเลือดที่ไหลท่วมร่างบางในอ้อมกอดของเขาด้วยความเจ็บ
“สามคนพ่อ แม่ ลูกงั้นเหรอคะ?” ฉันเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบก่อนจะลืมตาขึ้นมาพร้อมกับมองไปยังชายหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเอาเรื่องมือทั้งสองข้างของฉันจะถูกมัดตรึงเอาไว้ด้านหลัง แต่ตัวของฉันยังคงขยับได้อยู่ ฉันค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับพวกเขา พร้อมกับพยายามแกะเชือกที่มัดมือของฉันออก“ชูใจ!!!”“เธอไม่ได้สลบอย่างนั้นเหรอ?” พี่โมนาเอ่ยถามฉันออกมาด้วยความตกใจ“ใช่ฉันไม่ได้หลับ ฉันได้ยินสิ่งที่พวกคุณคุยกันชัดทุกคำ”“งั้นเธอก็รู้แล้วสินะว่าลูกในท้องของฉันเป็นลูกของไนท์ไม่ใช่ไอ้สกาย” พี่โมนาเอ่ยออกมาเสียงเรียบอย่างไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดเลยสักนิด“ไหนๆ เธอก็ต้องตายอยู่แล้วฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ...”“คืนนั้นไอ้สกายมันเรียกหาแต่เธอ พอฉันพามันมาถึงเตียงมันก็อ้วกใส่ฉันและก็หลับเป็นตาย ฉันไม่ได้มีอะไรกับมันและก็ไม่เคยคิดจะมีด้วย”“พี่ทำแบบนี้ทำไมคะ?”“ไนท์?” ฉันเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าแต่เธอกลับเงียบใส่ฉัน ฉันจึงหันไปเรียกอดีตเพื่อนรักของฉันแทน ฉันมองไปที่ไนท์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง“ไอ้สกายมันทำให้น้องของฉันต้องตาย มันพรากแก้วตาดวงใจไปจากฉันมันก็สมควรได้รับแบบนั้นกลับไปเช่นกัน” ฉันหันมาจ้อง