เช้านี้ลลิตราได้ของขวัญเซอร์ไพรส์
หญิงสาวกำลังก้าวไปตามทางเดินหิน ที่ทอดยาวจากด้านข้างของคฤหาสน์ ผ่านแนวพุ่มไม้ตัดเรียบ เพียงแค่ไม่ถึงยี่สิบก้าวก็มาถึงบ้านชั้นเดียวหลังกะทัดรัดสีขาวที่สร้างอยู่ด้านหลังคฤหาสน์หลัก
"พวกหนูเรียกบ้านนี้ว่าบ้านฝรั่งค่ะ"
น้ำตาลที่เดินตามมาด้วยเอ่ย คงเพราะมันออกแบบให้เป็นสไตล์อิงลิชคอทเทจ ในอาณาเขตกว่าสี่ไร่ของบ้านรชต มีตั้งแต่เรือนกระจกปลูกต้นไม้ไปจนถึงสนามเทนนิส สนามพัตกอล์ฟ และบ้านรับรองแขกหลังเล็กอีกหลายหลัง
บ้านเล็กหลังนี้ที่พ่อเลี้ยงของเธอเพิ่งให้กุญแจมาก็เป็นหนึ่งในนั้น
"นี่คุณลุงจะให้ฉันอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอเนี่ย!"
"คุณลูกอมชอบหรือไม่ชอบคะ"
"โอ้โห ไม่ชอบได้ยังไงล่ะ บ้านสวยออกขนาดนี้!"
ลลิตราพูดจากใจ น้ำตาลถอนหายใจโล่งอก
"หนูนึกว่าคุณหนูจะน้อยใจที่ไม่ได้อยู่บ้านใหญ่ แต่ต้องมาอยู่ที่นี่คนเดียว"
'คุณหนู' ของน้ำตาลหัวเราะ
"โถ่ ใครจะไปคิดอย่างนั้น ฉันว่าคุณลุงอรรถใส่ใจมากต่างหากล่ะน้ำตาล ท่านคงเข้าใจว่าฉันคงไม่คุ้นชินกับการอยู่บ้านหลังใหญ่ที่ต้องอยู่รวมกันหลายคน..." หนึ่งในนั้นคือลูกชายของเขา "...แถมฉันก็ยังไปขอใช้ครัวทำขนม ไปเกะกะป้าเดือนอีก ก็เลยให้ฉันมาอยู่ที่นี่เสียเลย"
ลลิตราพยายามบอกตัวเองว่าไม่ควรเคยชินกับความหรูหราที่ได้รับในฐานะลูกเลี้ยงของนายอรรถ รชต
แต่การได้ย้ายมาอยู่ในเรือนหลังเล็กที่สะดวก เป็นส่วนตัว และมีห้องครัวกว้างใหญ่ขนาดนี้มันยากที่เธอจะปฏิเสธได้จริง ๆ!
หญิงสาวเดินเข้าห้องนั้นทะลุไปห้องนี้อย่างเบิกบาน แต่สักพักก็หยุดคิดแล้วนั่งจุ้มปุ๊กลงบนเก้าอี้ที่มีเบาะสีเขียวอ่อนสดใส
"ไม่ชอบตรงไหนหรือคะคุณลูกอม"
น้ำตาลถามอย่างไม่แน่ใจ ป้าอ้อมสั่งให้เธอกับน้ำค้างมาช่วยกันทำความสะอาดล่วงหน้าแล้วหนึ่งวัน แถมยังจัดมุมต่าง ๆ อย่างที่คิดว่าสวยน่ารักน่าจะถูกใจคุณลูกอม
ดังนั้นเมื่อเห็นสีหน้าลลิตราม่อยลง ก็เลยอดใจแป้วตามไม่ได้
"ไม่ใช่ไม่ชอบจ้ะ แต่ฉันแค่เป็นห่วงแม่"
"ห่วงคุณลินดาเรื่องอะไรหรือคะ"
น้ำตาลถามอย่างพาซื่อ ลลิตราคิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่จำเป็นต้องปิดบัง
"แม่ฉันต้องกินยาทุกเช้ากับก่อนนอน ปกติฉันเป็นคนดูแล...เพราะถ้าแม่กินไม่ตรงเวลามันจะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไหร่"
"อ๋อ แค่นั้นเอง หนูช่วยดูให้ก็ได้นะคะเพราะตอนนี้คุณผู้หญิงเรียกหาหนูทุกเช้าอยู่แล้ว"
เด็กสาวบอกอย่างภาคภูมิใจ การได้เป็นคนโปรดของนายถือเป็นความรู้สึกมั่นคงอย่างหนึ่งในหัวใจของลูกจ้างอย่างน้ำตาล
"แม่เลี้ยงหนูที่อยู่ลำพูนต้องกินยาความดันเบาหวานอะไรพวกนี้ทุกวันเหมือนกัน ตอนนั้นหนูก็เป็นคนจัดยาให้แกทุกวัน เรื่องพวกนี้หนูทำได้แน่นอนค่ะ คุณลูกอมไม่ต้องเป็นห่วง"
เมื่อเห็นสีหน้าลลิตรายังไม่ค่อยสบายใจนัก น้ำตาลก็รีบเชียร์ต่อ
"อยู่ที่บ้านฝรั่งนี่ คุณน้ำตาลจะได้ทำงานได้เต็มที่ไงคะ จะได้ไม่ต้องทนฟังอีพี่น้ำค้างมันแซะเรื่อย อย่างกับตัวเองเป็นเจ้าของครัวอย่างนั้นแหละ" น้ำค้างเอ่ยถึงญาติผู้พี่ที่วัยไล่เลี่ยกัน และลลิตราก็ยิ้มขันออกมาได้
นั่นน่ะสิ แม่ของเธอไม่ใช่ผู้ป่วยหนักเสียเมื่อไหร่ แค่เธอย้ายออกมาอยู่เรือนเล็กนี้ที่ห่างออกมาแค่ไม่กี่สิบเมตร เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง คงไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอะไร อีกอย่างแม่ก็รับรู้แล้วด้วย เมื่อเช้าแม่ก็ยังยิ้มและคะยั้นคะยอให้ลูกสาวเดินมาสำรวจบ้าน แสดงว่าแม่ก็ต้องเห็นด้วย
เมื่อตกลงกับตัวเองได้ ลลิตราก็ตบมือเบา ๆ อย่างดีใจ...ได้มีพื้นที่ทำขนมโดยไม่ต้องเกรงใจใคร และไม่ต้องอยู่ใต้หลังคาเดียวกับนายอธิปนั่นด้วย เพราะต้องยอมรับกับตัวเองว่าหลายคืนที่ผ่านมา การที่รู้ว่ามีผู้ชายคนนั้นนอนอยู่ในห้องที่ห่างเธอออกไปแค่นิดเดียว มันทำให้เธอหลับไม่ค่อยจะลง
* * * * *
เวโลร่าจิวเวลรี่
อัปสรที่เป็นเจ้าของร้านออกมาให้บริการลูกค้าวีไอพีของวันนี้ด้วยตัวเอง
"ไม่ได้เจอกันนานเลยคุณสร สบายดีนะครับ"
"สบายดีค่ะคุณอรรถ สรไม่ต้องถามคุณอรรถนะคะเพราะเจอกันทีไรก็หนุ่มขึ้นทุกที"
อรรถหัวเราะ ก่อนหันไปแนะนำลินดา
"นี่ภรรยาผมครับ..."
"คุณลินดา!"
แน่นอนว่าข่าวการแต่งงานใหม่ของเจ้าของสายการบินสยามเจ็ตเป็นที่ทราบกันในวงสังคม แต่ที่อัปสรตื่นเต้นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงของอดีตนางเอกหนังไทยชื่อดังในยุคที่เธอยังเป็นวัยรุ่น
"สรดูหนังที่คุณลินดาเล่นทุกเรื่องเลยนะคะ ยังเสียดายตอนคุณลินดาลาวงการ ตัวจริงคุณลินดาสวยกว่าในจออีก..."
"ดิฉันอายุมากแล้ว..." ลินดาเอ่ยอย่างขัดเขิน คงเพราะไม่ได้ออกไปเจอผู้คนที่ชื่นชมตัวเองมานาน
"อายุเท่าไหร่ก็สวยค่ะ เป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้รับใช้ วันนี้คุณอรรถพาคุณลินดามาเลือกเครื่องเพชรใช่ไหมคะ เดี๋ยวสรจะแนะนำชุดที่สวยที่เหมาะกับคุณลินดาที่สุดให้เลย"
อรรถหัวเราะเบา ๆ นึกชมในใจที่อัปสรขายของเก่ง
"ใช่ครับ ภรรยาผมยังไม่มีเครื่องประดับออกงานดี ๆ สักชุด ฝากคุณสรช่วยแนะนำด้วยนะ"
ที่จริงก่อนมานี่ ลินดาปฏิเสธของมีค่าราคาแพงที่เขาจะให้ แต่อรรถยืนยันว่าเธอควรจะมีเครื่องประดับดี ๆ สักชุดที่เข้ากัน ไว้ใส่ออกงานบ้างตามสมควร
เมื่อครั้งที่เลิกกับจีรานุช นอกจากเงินสดที่เขาให้เธอก้อนใหญ่และค่าเลี้ยงดูรายเดือนตลอดชีพ พวกเครื่องเพชรและของมีค่ายิบย่อยเขาก็มอบให้เธอทั้งหมด ไม่เรียกคืนเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จีรานุชจะเก็บไว้ให้โอมหรือจะเอาไปทำอะไรก็สุดแต่เธอ อรรถถือว่านั่นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเวลานับสิบ ๆ ปีที่เธอเคยดูแลเขามา
อัปสรนำเสนอเครื่องเพชรแวววาวหรูหราแต่ลินดากลับสนใจชุดไข่มุกน้ำจืดที่สวยงามครบชุดทั้งสร้อยคอ แหวน และต่างหู โดยเฉพาะต่างหูที่เป็นมุกเม็ดโตมีเหลือบสีชมพูอ่อน ๆ ดูเรียบง่ายแต่สวยสง่าสมฐานะ
"ใส่กลับบ้านเลยดีไหม ดูคุณจะชอบมันมากจริง ๆ"
อรรถเอ่ยยิ้ม ๆ เพราะเห็นลินดาจับถูต่างหูอยู่นานไม่ยอมใส่ลงกล่องสักที อดีตนางเอกยิ้มเขินและพยักหน้ารับ อัปสรจึงช่วยใส่ต่างหูให้ทั้งสองข้าง เมื่อลินดาส่องกระจก ดวงตาก็เป็นประกายด้วยความสุข
ระหว่างที่อัปสรให้พนักงานนำสินค้าไปห่อใส่กล่องอย่างสวยงาม เธอก็ขออนุญาตถ่ายรูปคู่กับลินดา อดีตนางเอกตอบรับอย่างเต็มใจ พนักงานในร้านจึงมาล้อมรอบอดีตนางเอกหนังไทยอย่างชื่นมื่น
อรรถถอยไปยืนนอกวง ปล่อยให้สาว ๆ ได้ใช้เวลาร่วมกัน เขามองภาพนั้นด้วยแววตาอ่อนโยนระคนเห็นใจ...
มันเป็นวิธีที่อรรถมองลินดากับลลิตราโดยไม่รู้ตัวมาตลอด...สงสาร เห็นใจ
กับลูกสาวอย่างลูกอมยังไม่เท่าไหร่ เพราะเด็กสาวคนนั้นแสดงให้เขาเห็นแล้วว่าเธอแกร่ง ดูแลแม่ด้วยตัวเองมาได้หลายปี
แต่ลินดา...เธอเปราะบาง จนเขาไม่อาจปล่อยมือจากเธอได้ และเขาสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลสองแม่ลูกจนวันสุดท้ายของชีวิตพวกเธอ ต่อให้เขาต้องตายวันนี้ ทั้งลินดาและลลิตราก็จะไม่ลำบากเพราะเขาได้ทำประกันชีวิตไว้จำนวนมากโข
ทำไมเขาต้องทำถึงเพียงนี้ บนโลกนี้คงมีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่รู้
* * * * *
"พรุ่งนี้โชมีบินแต่เช้าเลยค่ะคุณอาร์ต ไฟลต์นี้ต้องค้างที่สิงคโปร์ด้วย กลับอีกทีมะรืนเลย"
แม้จะเป็นการคุยทางโทรศัพท์ แต่น้ำเสียงเสียดายของโชติรสก็ยังชัดเจน
"ขากลับ ให้ผมไปรับที่สนามบินมั้ย"
อธิปถามทีเล่นทีจริง โชติรสหัวเราะกลับมา
"แหม อย่าท้านะคะ ถ้าคุณอาร์ตมาจริง ๆ คงฮือฮาแน่"
"ทำไมล่ะ เขาห้ามไม่ให้พวกคุณมีแฟนงั้นหรือ"
"ก็คุณอาร์ตไม่ใช่แฟนโชนี่คะ..."
โชติรสพูดไว้แค่นั้น แต่ก็รู้กันดีว่าหมายความว่าอะไร
อธิปนึกอยากบอกเธอว่าจะให้เขาคบกับเธอก็ได้นะ เพราะตั้งแต่กลับมาเมืองไทยได้สามเดือน เขาเปลี่ยนคู่นอนไปแล้วหลายคนจนจำชื่อแทบไม่ได้... ถ้าจะให้ลองคบใครเป็นตัวเป็นตนเขาก็ไม่ติด
"เอาไว้...กลับมาแล้วเจอกันนะครับ บาย"
สุดท้ายเขาเลือกพูดแค่นั้น ยังไม่แน่ใจว่าอยากผูกมัดตัวเองกับใคร แม้จะเป็นการผูกมัดแบบหลวม ๆ ชั่วครั้งชั่วคราวก็ตามที
สามทุ่มกว่าอธิปจึงกลับถึงบ้าน พ่อของเขาคงแปลกใจที่ลูกชายกลับบ้านได้ตั้งแต่หัวค่ำ ชายหนุ่มขี้เกียจจะคุยเลยตั้งใจจะเดินเลี่ยงไปเข้าประตูด้านข้างที่ใกล้กับห้องนอนของเขามากกว่า กำลังจะเปิดประตูก็เหมือนเห็นแสงไฟทางหางตา
"ใครมาวะ"
อธิปพึมพำกับตัวเองเมื่อเห็นภายใน 'บ้านฝรั่ง' สว่างไสว ปกติไฟสนามด้านนอกจะสว่างทุกคืนเพราะมีแผงโซล่าเซล์ที่ตั้งเวลาทำงานอัตโนมัติ แต่วันนี้ดูเหมือนข้างในจะมีคนมาพัก
อธิปกำลังเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ เขาเลยเดินไปหาเผื่อว่าอาจเป็นเพื่อนพ่อหรือญาติห่าง ๆ ของเขาสักคน แต่ที่แน่ ๆ ต้องเป็นคนที่เขารู้จัก ไม่อย่างนั้นพ่อคงไม่เปิดบ้านฝรั่งให้พักหรอก
แต่บ้านกลับเงียบ เขาเดินขึ้นไปแล้วก็ยังไม่ได้ยินเสียงใคร ได้ยินแค่เสียงพัดลมครางหึ่งเบา ๆ ดังออกมาจากห้องนั่งเล่นเมื่ออธิปก้าวเข้าไปเขาก็ชะงักกึก ใจเต้นแรง บนเก้าอี้ยาวกลางห้อง คนมอมแมมคนหนึ่งกำลังนอนหลับปุ๋ย ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีคนเดินเข้ามาถึงในห้องนี้แล้ว...
ลลิตรารู้แล้วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวไปมากกว่าแรงปรารถนาทางเพศ เพราะมันทำให้เธอและเขาโยนตรรกเหตุผลทุกอย่างทิ้งไป เหมือนโลกนี้เหลือเพียงร่างกายของกันและกันให้เกาะเกี่ยว อธิปโจนจ้วงตักตวงเอาอย่างไม่รู้อิ่ม เสียงร้องของลลิตราแหบแห้ง หมอนใบหนาต้องทำหน้าที่ซับเสียงกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉัน... ฉันไม่ไหวแล้วนะ” เธอพูดขึ้นมาเมื่อเขาทำท่าจะเริ่มโรมรันอีกรอบ ไม่รู้แล้วว่ามันกี่โมงกี่ยาม รู้แค่ว่าอธิปกับเธอแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย มีเพียงภาษากายเท่านั้นที่แสดงออกและตอบโต้กันไปมา “อยู่เฉยๆ ก็ได้ เดี๋ยวฉันทำเอง” “นายไปกินอะไรมา เอาแรงมาจากไหนนักหนา เห็นฉันเป็นที่ระบายอารมณ์หรือยังไง” “เธอไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ แต่ฉันมีอารมณ์เพราะเธอต่างหากลูกอม" ทั้งที่กอดรัดกันมาไม่รู้เท่าไร ลลิตราก็ยังหน้าแดงได้อีกด้วยคำพูดของเขา ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปหยิบของใกล้มือ ก่อนจะสบถออกมา “บ้าเอ๊ย ถุงยางหมดซะได้” เขาลังเลจะลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าตอนนี้ ถ้ากลับไปเอาถุงยางอนามัยที่อยู่บนห้องนอนก็กลัวจะขาดตอน แต่ครั้นจะให้มีอะไรกับเธอโดยไม่ป้องกันก็เสี่ยงเกินไป ไม่คิดว่าลลิตราจะเอื้อมมือสัมผัสเขา เขาสะดุ้งเล
"แต่ถ้ารวมหุ้นของพี่ชลกับแม่เข้ามาด้วยกัน...""ก็ยังไม่พออยู่ดี"ชลธิชาบอก สีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่ได้หวงหุ้นในส่วนของตัวเองอีกแล้ว นาทีนี้การรักษาอำนาจในบริษัทไว้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด"อาชัชคงคิดดักเอาไว้แล้วทุกทางนั่นแหละ เผลอๆ ที่พ่อล้มไป จะเกี่ยวอะไรกับเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้""คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกพี่ชล"โชติรสพยายามเรียกสติ"อาชัชอาจจะขี้อิจฉาก็จริง แต่คงไม่ถึงกับลงมือทำอะไรแบบนั้น...เอาไว้ฉันขอเวลาคิดสักนิด ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไปดี"สองพี่น้องสบตากัน น่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ชลธิชากับโชติรสเพิ่งจะดูเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจริงๆ* * * * * "ปิ่นโตค่ะ"เสียงมะนาวไม่มีน้ำดังขึ้นข้างหลัง ลลิตราที่กำลังตัดแต่งไม้แขวนหน้าเรือนจึงหันกลับมาแล้วก็พบว่าน้ำค้างเป็นคนนำอาหารกลางวันมาให้วันนี้ เด็กสาววางเถาลงบนม้านั่งหน้าเรือนอย่างไม่ใส่ใจ"หนูวางตรงนี้นะ""ขอบใจจ้ะ วันนี้น้ำตาลไปไหนล่ะ"ลลิตราก็ทักถามไปอย่างนั้นเอง ใครจะเป็นคนเอาข้าวมาส่งก็ไม่มีปัญหา ให้เธอเดินไปยกสำรับกับข้าวมาเองยังได้เลยถ้าป้าเดือนไม่ห้ามไว้เสียก่อนแต่เหมือนน้ำค้างรอคำถามนั้นอยู่แล้ว มุมปากเด็กสาวยกยิ้มเล็กน้อ
"ว่ายังไงนะ"ชัชวาลถามย้ำแต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ค่อยแปลกใจนักหรอกแม้โชติรสจะไม่ได้แสดงความต้องการจะเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท เธอถึงกับออกไปทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ หญิงสาวอาจนึกขึ้นมาได้เอง หรือมีใครมากระซิบบอก ว่าควรจะต้องปกป้องอำนาจของบิดาไว้ปลายสายที่โทรหาชัชวาลย้ำถึงประโยคที่ตัวเองได้ยินที่โต๊ะอาหารกรรมการบริษัทวัยห้าสิบฟังครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามกลับ"แล้วทำไมนายถึงกล้าเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน""ไม่มีอะไรมากไปกว่าผมต้องการเห็นความอยู่รอดของบริษัทครับ ถ้าบริษัทรอดผมก็รอดไปด้วย"ที่แท้คนที่โทรมาคือกิตติทัศน์ เขาพูดอย่างลื่นไหลสมกับที่เคยเป็นพนักงานขายระดับท้อปเซลล์ชัชวาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งยิ้มเหยียดเล็กน้อย แต่ก็ยังถามกลับไปอย่างอารมณ์ดี"แล้วนายคิดว่าใครล่ะที่จะพาบริษัทรอด""ถ้าให้เรียนตามตรง เมื่อก่อนก็ต้องเป็นท่านประธานชาญนั่นแหละครับ แต่ตอนนี้พ่อตาของผมท่านก็ล้มป่วยกะทันหันเสียด้วยไม่ทันได้ฝากฝังอะไรกับใครกว่าจะฟื้นมาเป็นปกติได้ก็คงอีกนานเป็นปีผมเองก็เป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ในเมื่อพ่อตาของผมอยู่ในสภาพแบบนี้ตอนนี้ผมก็ไม่เห็นใครจะเหมาะสมเท่ากับท่า
การล้มป่วยของนายชาญ วรเศรษฐกุลเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิด แม้แต่เจ้าตัวเองก็เช่นกัน แม้อายุจะเกือบเข้าเลขหกแล้วแต่ชาญเป็นคนสุขภาพแข็งแรง ดูแลตัวเองอย่างดีตลอดเวลาทั้งรูปร่างหน้าตาและสุขภาพภายใน ทุกหกเดือนที่ตรวจร่างกายไม่เคยมีสัญญาณความป่วยไข้ใดๆ แม้แต่น้อย เผลอๆ เขายังจะแข็งแรงกว่าวิภาที่เป็นเมียด้วยซ้ำเมื่อเส้นเลือดในหัวใจของเขาแตกและต้องพักฟื้นยาวๆ แบบนี้ ทั้งเมียและลูกก็ถึงกับช็อกกันไปหมด สภาพที่อ่อนแอลงภายในข้ามคืนของสามีทำให้วิภาต้องกลั้นน้ำตาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนสงสารผัวหล่อนเหลือเกิน โชคดีที่หล่อนเป็นคนแข็ง จึงตั้งสติได้ไวโชติรสก็เหมือนจะได้เลือดแม่ด้วยเพราะแม้หวาดกลัวแค่ไหนแต่เธอก็ไม่แสดงออกมากนัก...ไม่เหมือนชลธิชา รายนั้นทำท่าเหมือนชาญอาการเพียบหนักไปเสียแล้ว"พ่อฟื้นก็จริง แต่ก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง..."ชลธิชาทุ่มเถียงกับน้องสาวตอนที่อยู่กันตามลำพัง ท่าทางคนเป็นพี่ทั้งกังวล เครียด และใจเสีย อาจเพราะบิดาคือคนที่ตามใจและเหมือนจะเข้าใจเธอทุกอย่างมาตลอด เป็นไปได้ว่าชลธิชาอาจจะผูกพันและรักพ่อมากกว่าที่ทุกคนเห็น"ก็แค่ช่วยพักฟื้น การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีนะพี
หากเป็นคู่อื่นที่รักกัน ยิ่งหมั้นหมายกันแล้วก็คงจะยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น หวานซึ้งมากขึ้น หรือพูดคุยกันมากขึ้นถึงแผนการในอนาคต...อย่างน้อยๆ ก็อนาคตอันใกล้เช่นเรื่องการแต่งงานแต่นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนที่ชายหนุ่มกับหญิงสาวออกมากินข้าวด้วยกันอธิปเลือกภัตตาคารในโรงแรมที่หรูหราและเชฟเลื่องชื่อ อย่างน้อยเขาก็อยากให้บรรยากาศช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกันเพราะถึงตอนนี้แล้วต่างก็รู้กันดีว่าที่หมั้นหมายอยู่นั้นเป็นเรื่องของหน้าตาทางสังคมล้วนๆแม้อธิปจะคิดถึงตัวเองเป็นใหญ่แต่เขาก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป ชายหนุ่มถามไถ่ถึงเรื่องราวของเธอระหว่างที่ไม่ได้เจอกันเกือบเดือน "โชไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณอาร์ต ร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว ผู้หญิงเรามีร่างกายที่แข็งแกร่งมากกว่าที่คุณคิดนะคะ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพศแม่แล้วก็คลอดลูกกันได้หลายๆ คนในชั่วชีวิตหนึ่งหรอกค่ะ"โชติรสพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากแต่อธิปสีหน้ารู้สึกผิดเรื่องที่เขาเตรียมจะมาพูดกับเธอจึงยังพูดไม่ออกแต่โชติรสเป็นคนฉลาด เธอฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย"กินข้าวกันก่อนนะคะ แล้วมีอะไรค่อยคุยกันก็ได้ เราไม่ได้รีบไปไหนใช่ไหม"เธอพูดถู
"มันพูดงั้นหรือไง โอ้โห นิสัย..."ยลดาตาโตขึ้นอีกเมื่อเพื่อนเอ่ยออกมาแบบนั้น เดาว่าอธิปคงพูดจาหมาๆ เหมือนผู้ชายเห็นแก่ตัวทั่วไป 'แน่ใจได้ยังไงว่าใช่ลูกผม' อะไรทำนองนั้นแต่โชติรสส่ายหน้า"ไม่ใช่ คุณอาร์ตไม่ถามเลยสักคำว่าใช่ลูกเขาหรือเปล่า เขาแค่แสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้...""อ้าว! แล้วที่เมื่อกี้แกบอกว่าไม่ใช่ลูก..."ยลดาถามไม่จบเพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ ขึ้นมาเสียก่อน จ้องหน้าเพื่อนรักอย่างไม่ค่อยแน่ใจ"ยังไงนะโช...""ฉันบอกว่าลูกในท้องที่แท้งไป ไม่ใช่ลูกคุณอาร์ตหรอก"ยลลดาอ้าปากค้างโชติรสพยักหน้าช้าๆ"ฉันกับคุณอาร์ตไม่เคยไม่ป้องกัน หรือต่อให้พลาด...นับวันดูก็ไม่น่าจะใช่"คนพูดยังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอาจเพราะครุ่นคิดเรื่องนี้มานานสักพักแล้ว ตรงข้ามกับคนฟังที่พูดอะไรไม่ออก สีหน้าเหมือนเห็นผีในวัดตอนกลางวันแสกๆนิ่งกันไปสักพักยลดาจึงค่อยหาเสียงตัวเองเจอถาม อึกอักถามออกไป"งั้น...เป็นใคร แกบอกฉันได้ไหม""บอกได้ แต่อย่าด่าฉันนะ...""ทำไมฉันต้องด่า หรือว่า...อย่าบอกนะว่าพ่อของเด็กในท้องคือพี่บอม..."ยลดาถามออกไปด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอมหรือบพิตรเพื่อนสนิทของอธิป คนที่เธอปิ๊งตั้งแต