บทที่ 3
ดูดาวบนเกาะ
ดวงอาทิตย์กำลังบอกลาขอบฟ้าเหลือไว้เพียงแสงสีส้มแกมน้ำเงินเข้ม เสียงนกแขวกดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะแต่เพียงแผ่วเบา พวกมันกำลังออกล่าอาหารมื้อค่ำก่อนกลับรังบนต้นไม้ใหญ่ในระแวกเขื่อน
สายลมเย็นในช่วงค่ำพัดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่ที่เปิดแง้มไว้เข้ามา ปลุกให้สองอัลฟ่าบนฟูกสีสะอาดรู้สึกตัวตื่นจากห้วงนิทรา
วีรกานต์ปรือตามองลอดผ่านหน้าต่างออกไป ท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปมากจากความทรงจำครั้งล่าสุดบ่งบอกว่าในขณะนี้เป็นเวลาเย็นย่ำแล้วเขาปิดปากหาวหวอดไปทีจนมีน้ำสีใสฉ่ำรอบดวงตา ตั้งใจว่าจะลุกออกไปชำระล้างร่างกายเสียก่อนที่อากาศภายนอกจะอุณหภูมิต่ำลงมากกว่านี้
อัลฟ่าชากุหลาบกับอากาศหนาวเย็นไม่ใช่สิ่งคู่กัน
แต่ก่อนจะยันตัวขึ้นก็ต้องจัดการพันธนาการที่โอบรอบเอวนี้ไว้เสียก่อน
จากตอนแรกที่ต่างคนต่างเป็นฝ่ายโอบกอดกันและกันก่อนเข้าสู่นิทรา กลับกลายเป็นว่าตอนนี้มีเพียงอัลฟ่าผมสีคาราเมลเท่านั้นที่ถูกวงแขนของเพื่อนตัวดีโอบรัดร่างกายเอาไว้
รัดแน่นเป็นงูเสียด้วย
“พี เย็นแล้ว” อัลฟ่าชากุหลาบเอ่ยกระซิบบุคคลด้านหลังหากแต่ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงการขยับตัวขยุกขยิกเล็กน้อยและเสียงครางฮึมฮัมเป็นสัญญาณตอบกลับมาว่ารับรู้แล้วเพียงเท่านั้น
วีรกานต์ออกแรงดันร่างอัลฟ่าของตัวเองออกมาให้พ้นพันธนาการ แม้อีกฝ่ายจะเป็นอัลฟ่าเหมือนกันกับเขาหากแต่เรี่ยวแรงที่มีนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าให้เทียบก็ตอบได้ทันทีเลยว่าเป็นอัลฟ่ากลิ่นองุ่นที่เหนือกว่าในด้านนี้มาแต่ไหนแต่ไร
อัลฟ่าหรือช้างสารก็ไม่รู้
เพียงไม่นานอัลฟ่าชากุหลาบก็ขืนตัวเองออกมาจากวงแขนงูรัดนั่นได้สำเร็จ เขายกแขนขึ้นกอดอกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่จนทำให้คนบนฟูกรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้พีรยุทธ์เปิดเปลือกตาพร้อมกะพริบมันถี่ ๆ เพื่อปรับโฟกัส จึงได้สังเกตเห็นว่าบุคคลที่เคยอยู่ในอ้อมกอดบัดนี้ย้ายตัวไปยืนจ้องเขม็งกันอยู่ข้างฟูก
“ตื่นนานหรือยังครับ” อัลฟ่ากลิ่นองุ่นเอ่ยถามเสียงเบาพลางพลิกกายไปคว้าเอาโทรศัพท์มาเปิดดูเวลา จากตอนแรกที่มีท่าทีงัวเงียดวงตาก็พลันเบิกกว้างแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่งในทันทีเมื่อตัวเลขบนหน้าจอสมาร์ทโฟนโชว์ว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น
นี่พวกเขาหลับกันไปถึงหกชั่วโมงเชียวหรือ
“ตื่นแล้วก็ลุก กานต์จะไปอาบน้ำก่อน อากาศมันเริ่มเย็นลงแล้ว” ไม่ว่าเปล่า วีรกานต์สาวเท้าไปหยิบเอาผ้าขนหนูมาพาดไว้บนไหล่พร้อมหอบเอาเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนมาไว้บนท้องแขนข้างซ้าย
“โอเคครับ” อัลฟ่าบนฟูกตอบรับไปเพียงเท่านั้น ร่างของเพื่อนอัลฟ่าก็เดินหายไปด้านนอกทันที
พีรยุทธ์สางเส้นผมที่ปรกลงมาปิดบังทัศนวิสัยการมองเห็นก่อนจะลุกขึ้นจากฟูกสีสะอาดแล้วก้าวออกมาด้านนอกบ้านพัก เขาสูดลมหายใจเข้าไปเสียเต็มปอดเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ กลิ่นน้ำกลิ่นป่าที่ได้รับพาลให้หัวสมองโล่งสบาย
ขายาวของอัลฟ่าก้าวพาตัวเองไปนั่งลงบนเก้าอี้สานข้างบ่อน้ำขนาดเล็กภายในเรือน เขาจับจ้องเข้าไปในบ่อเห็นเพียงปลาที่มีตัวสีขาวตัดส้มแดงเพียงสามสี่ตัวอย่างเลือนลางเนื่องจากมันอยู่ในช่วงมืดค่ำแล้ว
แต่อัลฟ่ากลิ่นองุ่นก็สังเกตเห็นสวิตช์ไฟเล็ก ๆ ในฝาครอบสีใสใกล้กันเขาจึงลองสับสวิตช์เปิดมันดู
เป็นไปตามคาด
ดวงไฟดวงน้อยสว่างขึ้นมาทันที มันเป็นสายไฟราวที่ถูกพันรอบลำต้นของดอกซ่อนกลิ่นไปจนรอบบ่อ พีรยุทธ์ยิ้มมุมปากเล็กน้อยหันมองไปรอบ ๆ เรือนเพื่อหาที่มาของแสงไฟ ในเรือนแพกลางน้ำเช่นนี้แต่มีสายไฟห้อยระยางไว้กลางเรือนก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย แล้วก็ไปเจอกับแผงโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านพักจึงรู้ได้ในทันที
ดู ๆ ไปแล้วที่นี่ก็ออกจะ...โรแมนติกเหมือนกันนะ
ทั้งบรรยากาศรอบตัวและบรรยากาศในเรือนแพ
หากคู่รักมาพักที่นี่คงถูกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“หนุ่มเอ้ย มาเอากับข้าวลูก” เสียงแหลมติดจะแหบแห้งของลุงเบต้าคนเดียวกับที่มาส่งพวกเขาเมื่อเช้าดังเข้ามาในโสตประสาท พีรยุทธ์ลุกขึ้นทันทีแล้วสาวเท้าเดินอย่างเร็วเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรอนาน
อัลฟ่ากลิ่นองุ่นยอบกายลงข้างลำเรือยนต์พลางเอื้อมมือไปรับเอาถาดอาหารที่มีสัตว์ทะเลส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่เต็มไปหมดพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ หนึ่งโถกับน้ำจิ้มที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงรสชาติ
“ขอบคุณครับลุง”
“ไม่เป็นไร ๆ กินให้เต็มที่นะ ถ้าไม่พอก็กดเปิดไฟสีแดง ๆ ตรงนั้นเลย เดี๋ยวลุงเอามาให้เพิ่ม” เบต้าชราชี้นิ้วไปบนเรือนให้อัลฟ่าหนุ่มมองตามจนพบกับเสาไฟอันเล็กข้างบ้านพัก
“แค่นี้ก็เยอะพอแล้วครับ เกรงใจลุง”
“เห้ยไม่ต้องเกรงใจ ที่นี่บริการเต็มที่”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับลุง”
“เออหนุ่ม วันนี้บนเกาะฝั่งนู้นมีงานวัดนะ สนใจพาเพื่อนไปไหมล่ะ มาเที่ยวทั้งทีก็เอาให้สุดไปเลย” คุณลุงเบต้าเอ่ยบอกกึ่งเชิญชวนอัลฟ่าหนุ่มบนเรือน อีกทั้งยังกล่าวเสริมไปอีกว่าห่างออกจากเขตของเขื่อนไปราวครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่บนเกาะ มีผู้คนอยู่อาศัยไม่ถึงร้อยคนหากแต่เป็นทำเลที่ดีในการเรียกนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นให้มาเยี่ยมชม ด้วยเพราะเป็นเขตแนวตะเข็บชายแดนระหว่างประเทศและที่กลางเกาะนั้นก็มีถ้ำหินระย้าที่ส่องประกายสวยงามอยู่
“ถ้างั้นอีกสักสี่สิบนาทีลุงมารับพวกผมได้ไหมครับ” อัลฟ่ากลิ่นองุ่นได้ฟังก็กระตือรือร้นอยากไปชมความสวยงามของธรรมชาติที่นานครั้งคนในเมืองหลวงอย่างเขาและเพื่อนอัลฟ่าจะได้สัมผัส
แน่นอนว่าเขาคิดเผื่ออีกคนไปแล้ว
วีรกานต์ต้องชอบมากแน่
“ได้ดิหนุ่ม เตรียมตัวเลย ลุงจะพาแว้นเองแปปเดียวถึง” อัลฟ่ากลิ่นองุ่นยิ้มรับจนตาปิดกับคำพูดที่ดูเป็นกันเองของลุงเบต้า ก่อนที่ชายชราจะขับเรือยนต์ออกไปส่งมื้อค่ำให้กับเรือนแพหลังอื่นต่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่อัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมเสื้อสีขาวตัวหนาที่แขนเสื้อยาวเกือบครึ่งแขนกับกางเกงขายาว
เตรียมการมาอย่างดีสำหรับความหนาวเย็น
“คุณลุงเขามาชวนไปงานวัดบนเกาะใกล้ ๆ ไปกันไหมครับ” พีรยุทธ์ยันตัวขึ้นพร้อมกับถาดอาหารในมือ เขายกมันไปวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ บ่อปลาคราฟแล้วเอ่ยชวนอีกคน
“ไปสิ” อัลฟ่าชากุหลาบตอบรับอย่างไม่ลังเลพร้อมรอยยิ้มบางแล้วสาวเท้าเข้ามานั่งบนเก้าอี้สานฝั่งตรงข้ามกับเพื่อนสนิท ฝ่ามือของเขาจับผ้าผืนเล็กที่พาดอยู่บนบ่าขึ้นมาซับหยดน้ำตามเส้นผมสีคาราเมลอย่างลวก ๆ เพียงครู่เดียว ก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหารกลิ่นหอมตรงหน้า
“งั้นรีบเลยครับ อีกสี่สิบนาทีลุงจะมารับ” พีรยุทธ์ดันจานที่ตนตักข้าวสวยร้อนกรุ่นไปให้คนตรงหน้าและจานเปล่าใบเล็กอีกใบสำหรับทิ้งเปลือกหรือของที่ทานไม่ได้
สองอัลฟ่าทานอาหารเย็นอย่างไม่เร่งรีบนักเพราะต่างก็อยากซึมซับบรรยากาศธรรมชาติที่นานครั้งจะได้พบเจอ พร้อมกับพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ไประหว่างมื้ออาหารด้วย แน่นอนว่าเขาทั้งคู่ชื่นชอบอาหารทะเล บวกรวมกับน้ำจิ้มรสเด็ดที่คุณลุงเบต้าเสิร์ฟมาพร้อมกันยิ่งช่วยชูรสชาติของอาหารในมื้อนี้ให้น่าลิ้มลองจนไม่อาจหยุดความอยากอาหารได้
ความชอบก็ส่วนหนึ่ง
ร่างกายจะรับไหวหรือไม่ก็อีกส่วนหนึ่ง
“พี ขอน้ำหน่อย” อัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลเอ่ยขอเครื่องดื่มดับกระหายกับเพื่อนคนสนิท
ใบหน้าแดงก่ำไปจนทั่วเสมือนว่าหลอดเลือดถูกนำมาจัดวางไว้แค่ที่เดียว ปลายจมูกรั้นนั้นก็แดงไม่แพ้กัน ดวงตาสีเฮเซลนัทคู่สวยก็เจือไปด้วยหยาดน้ำใสที่เอ่อคลอหน่วย มันตั้งท่าจะหยดลงมาบนพวงแก้มอยู่รอมร่อ
พีรยุทธ์ส่ายศีรษะกลั้นยิ้มสุดกำลัง
เขานึกเอ็นดูอีกฝ่ายที่ขยันทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมดทุกเวลา
คนที่เอ่ยปากบอกกับเขาว่าไหวเมื่อยี่สิบนาทีก่อนในตอนนี้กำลังเงยหน้าสูดปากเอาลมธรรมชาติมาช่วยดับความแสบร้อนในร่างกาย อยากจะแกล้งแซวให้อัลฟ่าชากุหลาบเหวใส่เล่น ๆ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วอีกคนคงไม่ไหวจริง ๆ
ก็น้ำจิ้มเขามีไว้ให้จิ้ม
แต่เจ้าเพื่อนอัลฟ่าคนนี้ดันตักซดเป็นน้ำซุปเลยนี่สิ
หากไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยคงจะเกินไปหน่อยแล้ว
อัลฟ่ากลิ่นองุ่นรินน้ำส่งให้วีรกานต์ ทันทีที่ได้รับเขาก็กระดกดื่มแบบไม่กลัวสำลักจนหมดแก้วภายในสามอึกใหญ่ หากแต่ความแสบร้อนในช่องท้องและโพรงปากยังไม่ได้ทุเลาลงเลยแม้แต่น้อย
“ขออีกได้ไหม”
“ไม่เอาครับ”
“นะพี...”
“กินจานนี้แก้เผ็ดไปก่อนครับ ห้ามจิ้มนะ” อัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีรัตติกาลหมุนถาดกลมให้ด้านที่มีเนื้อกุ้งแกะแล้วกับปลาทะเลที่คลายความร้อนออกไปบ้างแล้วให้กับวีรกานต์ พร้อมกำชับว่าห้ามตักน้ำจิ้มอย่างเด็ดขาด
เขาเห็นท่าไม่ดีมาตั้งแต่ที่อีกคนใช้ช้อนตักน้ำจิ้มราดลงบนข้าวสวยแล้ว จึงจัดการเนื้อสัตว์เตรียมไว้เผื่อฉุกเฉิน
แล้วมันก็เป็นจริงเสียด้วย
ฝ่ายอัลฟ่าชากุหลาบบึนปากแล้วถอนหายใจน้อย ๆ ที่โดนขัดใจไม่บ่อยนักที่พีรยุทธ์จะกล้าขัดคำเขาจึงนึกหงุดหงิดในใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมหยิบเอากุ้งและเนื้อปลาเข้าปากพร้อมข้าวสวยคำโตหวังให้ช่วยบรรเทาความทรมานที่ระอุอยู่ภายใน
เป็นเวลาสี่สิบนาทีพอดีหลังจากที่คุณลุงเบต้ามาส่งอาหารให้เรือนแพของพีรยุทธ์ แน่นอนว่าสองอัลฟ่าจัดการกับเหล่าของกินมื้อค่ำและจัดเก็บมันเรียบร้อยแล้ว
เรือยนต์ออกเดินทางจากกลางเขื่อนมุ่งไปที่จุดหมาย หยดน้ำหลายต่อหลายหยดสาดกระเซ็นเข้ามากระทบผิวกายแค่บางเบา
ตอนนี้อัลฟ่าชากุหลาบอยู่ในชุดเสื้อฮู้ดสีเทากับกางเกงขายาวสีดำ แม้คาดว่าอากาศบนเกาะที่กำลังเดินทางไปคงไม่หนาวมากเท่าที่นี่นัก แต่คนที่ไม่ถูกกับความเย็นอย่างเขาก็ต้องเตรียมการไว้ก่อน
ตรงข้ามกับพีรยุทธ์ เขาสวมเพียงเสื้อยืดคอกลมสีดำสนิทและกางเกงคาร์โก้สูงเลยเข่าประมาณคืบหนึ่งเพียงเท่านั้น
เพียงไม่นานสองอัลฟ่าหนุ่มและคุณลุงเบต้าก็มาถึงเกาะที่ว่าชายชราจอดเรือยนต์เทียบที่ท่าน้ำ เมื่อเห็นว่าคนหนุ่มทั้งสองขึ้นไปยืนบนพื้นไม้ได้อย่างมั่นคงแล้วก็จัดการผูกเรือไว้กับเสาที่ท่า ปล่อยให้คนเมืองได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบชาวบ้านโดยที่นัดแนะกันไว้ก่อนแล้วว่าอีกประมาณสองชั่วโมงจะมาเจอกันที่ตรงนี้เพื่อกลับไปพักผ่อนที่เรือนแพ
แสงไฟสีนวลถูกจุดขึ้นล้อมรอบพื้นที่ในเกาะให้ความสว่างคู่ไปกับแสงสีเหลืองของพระจันทร์ เสียงบรรเลงดนตรีพื้นบ้านดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ประกอบกับเสียงเรียกลูกค้าของเหล่าพ่อค้าแม่ขายบนเกาะจึงทำให้บรรยากาศรอบด้านดูครึกครื้น
ในตอนนี้บนเกาะไม่ได้มีแค่ชาวบ้านเพียงร้อยชีวิต แต่มีเหล่านักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติมาแวะชมและดื่มด่ำบรรยากาศไปด้วยกัน
สองอัลฟ่าเดินชมบรรยากาศไปอย่างช้า ๆ แวะซื้ออาหารหรือของทานเล่นมาสามสี่อย่างก่อนจะมองหาที่ทางที่พอจะหย่อนกายลงพักและทานของกินในมือได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอเนื่องจากโต๊ะสำหรับนั่งพักผ่อนที่คนบนเกาะจัดไว้ให้ถูกจับจองจนหมดแล้วจึงตัดสินใจพากันเดินมานั่งที่หาดทรายด้านข้างของเกาะแทน
“นั่งตรงนี้ไปแล้วกันนะ” พีรยุทธ์ยกมือขึ้นเสยเส้นผมสีรัตติกาลก่อนถอดรองเท้าไว้รองนั่งและวางของในมือลงข้างกาย
“ไม่ค่อยได้เห็นดาวเลยเนาะพี” วีรกานต์ทำตามอัลฟ่ากลิ่นองุ่น เขาแหงนใบหน้าขึ้นมองจุดสีขาวเล็ก ๆ นับหมื่นดวงที่ส่องสว่างท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิทแล้วยกยิ้มบางเบา
“แล้วชอบไหม” อัลฟ่ากลิ่นองุ่นเอ่ยถามพลางเอนตัวไปด้านหลังโดยมีลำแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อรองรับน้ำหนักตัวไว้อีกที
เขาผินหน้ามองอัลฟ่าหนุ่มข้างกายแล้วลอบอมยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าใสสะอาดไร้ที่ติของเพื่อนสนิทคนนี้ช่างน่ามองชมเสียยิ่งกว่าพระจันทร์หรือดวงดาวบนท้องฟ้าที่กำลังเปล่งประกายแสงอยู่ตอนนี้
บ่อยครั้งที่พีรยุทธ์มักแอบมองใบหน้านั่นโดยไม่ให้อัลฟ่าชากุหลาบรู้ตัว
เขาชอบมันมาก
ชอบทุกอย่างที่เป็นวีรกานต์
“ชอบสิ” วีรกานต์เอ่ยตอบโดยไม่หันมองคนข้างกาย รอยยิ้มละมุนค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทีละน้อย ดวงตาสีเฮเซลนัททอดมองความระยิบระยับบนฟ้า แสงสีขาวบนนั้นเป็นเหตุให้เขายิ้มออกมา
พีรยุทธ์ก้มงุดโดยพลัน เขาซ่อนใบหน้าที่เริ่มซับสีแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อยจากการแอบมองรอยยิ้มหวานของอัลฟ่าข้างกาย
ให้ตายเถอะ
มองบ่อยใช่ว่าเขาจะชินเสียที่ไหน
“เป็นอะไรทำไมหูแดง” เสียงใสของอัลฟ่าชากุหลาบเอ่ยถามเขาพยายามก้มมองเพื่อนตัวดีที่ยามนี้เอาแต่ก้มงุดไปกับเข่าทั้งสองข้าง
อัลฟ่ากลิ่นองุ่นสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่หวังให้มันช่วยคลายอาการใจเต้นรัวดังกลองออกศึกนี่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำสนิท มือแกร่งถูกยกขึ้นมาเสยเส้นผมที่ตกลงมาปิดบังทัศนวิสัยแต่ยังไม่ยอมมองอัลฟ่าหนุ่มข้างกาย
“เปล่าครับ”
“เปล่าก็หันมา” ประโยคบอกเล่ากึ่งคำสั่งถูกเอ่ยออกมาจากอัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีคาราเมล
น้ำเสียงที่เริ่มแข็งขึ้นเล็กน้อยทำให้พีรยุทธ์ไม่กล้าขัด
และเขาไม่เคยขัดใจอัลฟ่าชากุหลาบเลยหากไม่จำเป็น
“เป็นอะไร อยู่ดี ๆ ก็ก้มหน้าลงไปแบบนั้น ตกใจหมด” วีรกานต์คิ้วขมวดมุ่นเป็นปมพลางยื่นมือไปแตะตัวคนข้างกาย อยู่ดี ๆ ตัวก็แดงขึ้นมาไม่มีสาเหตุแบบนี้จะเป็นไข้หรือเปล่าก็ไม่รู้ รายนี้ยิ่งไม่ค่อยออกมาพบเจอโลกภายนอกเสียด้วย
“เมื่อกี้ลมมันพัดมาเฉย ๆ ครับ พีรู้สึกแสบ ๆ ตาก็เลยหลับตาแล้วก้มลงไปก่อน” เขาเอ่ยตอบเสียงเรียบพร้อมรอยยิ้มบางราวกับว่าทุกคำที่พูดออกไปนั้นเป็นเรื่องจริง
“ก็นึกว่าอะไร งั้นไปหาที่นั่งตรงอื่นไหม” อัลฟ่าชากุหลาบเสนอทางเลือก เมื่อเพื่อนตัวดีบอกว่าลมจากสายน้ำข้างหน้ามันทำให้แสบตาจนถึงขนาดนั้นก็น่าจะต้องย้ายที่ทางเสียหน่อย
แม้จะยังนึกเอะใจว่าน้ำจืดทำให้แสบตาได้ด้วยหรือก็ตามที
วีรกานต์เอี้ยวตัวไปด้านข้างเตรียมรวบเอาถุงอาหารและขนมไว้ในมือเพื่อให้สะดวกแก่การย้ายที่นั่ง แต่ก็ถูกคนข้างกายเอ่ยรั้งไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรครับ นั่งตรงนี้แหละ” พีรยุทธ์เอื้อมไปจับที่แขนของอัลฟ่าชากุหลาบเพื่อรั้งคนที่กำลังเตรียมตัวลุกให้นั่งลงดังเดิม อีกฝ่ายทำท่าว่าจะเอ่ยอะไรอีก เขาจึงทำเพียงพยักหน้าขึ้นลงเล็กน้อยเป็นการยืนยันคำพูด เพื่อนอัลฟ่าจึงยอมปล่อยถุงต่าง ๆ ในมือลงที่เดิม
“กินตรงนี้แหละครับ นาน ๆ จะได้นั่งดูดาวสักที”
เป็นอย่างที่อัลฟ่ากลิ่นองุ่นบอก ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่มีแต่ตึกสูงใหญ่มาตั้งแต่เด็ก แม้จะแหงนหน้ามองสูงเพียงใดก็เห็นเป็นเพียงแสงสีขาวประดิษฐ์จากหลอดไฟข้างถนน นาน ๆ ครั้งจะได้มีโอกาสออกจากเมืองมาพักผ่อนเช่นตอนนี้จึงไม่แปลกหากพวกเขาจะอยากเก็บบรรยากาศรอบตัวให้ได้มากที่สุด
วีรกานต์ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรอีก เขาทำเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วหยิบเอาถุงขนมข้างตัวมาหนึ่งถุง มันเป็นขนมสีเหลืองทองที่นุ่มฟูอยู่ในถ้วยใบตองใบเล็กพอดีคำ
อัลฟ่าชากุหลาบเพลิดเพลินไปกับการดูดาวพร้อมรับประทานขนมหวานไปด้วย สายลมพัดพาความเย็นจากสายน้ำขึ้นมาให้รู้สึกสะท้านวาบหน่อย ๆ เขาโยกตัวไปมาและหลับตาลงดื่มด่ำกับบรรยากาศ
มันช่างเป็นอะไรที่...สบายใจ
“กินไหม” เขาหันไปถามคนข้างกายที่เอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่เมื่อกี้
พีรยุทธ์สะดุ้งเล็กน้อย เขายิ้มเจื่อนพลางยกมือขึ้นเกาหน้าแก้เก้อ ไม่ได้สนใจเลยว่าที่ฝ่ามือตนนั้นมีเศษของดินและใบไม้ติดอยู่ด้วย ในใจนึกกลัวแต่ว่าจะถูกอีกคนจับได้หรือไม่ว่าเขาลอบมองแต่ใบหน้าของวีรกานต์ไม่ละไปไหนเลยสักวินาทีเดียว
“มือพีเปื้อนแล้ว กานต์กินเลยครับ” เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นขนาบตัวให้อัลฟ่าชากุหลาบเห็นว่ามันเลอะเพียงใด เพราะเขาเอาฝ่ามือยันพื้นดินไว้แล้วเอนกายมองเพียงวีรกานต์
อัลฟ่าเจ้าของเรือนผมสีคาราเมลถอนหายใจพลางโคลงศีรษะอย่างเหนื่อยใจ เขาหันมองดูข้างกายเผื่อว่าเมื่อครู่อาจจะซื้อน้ำเปล่าติดมือมาด้วยจะได้นำมาให้พีรยุทธ์ล้างมือแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
“ครับ?” พีรยุทธ์เลิกคิ้วสงสัย เขาเหวเสียงขึ้นสูงเมื่อวีรกานต์นำขนมสีเหลืองในถ้วยใบตองมาจ่อที่ริมฝีปากหนาของตน
“กินสิ เดี๋ยวป้อนเอง” อัลฟ่าชากุหลาบพยักหน้าให้อีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันคำพูด มือข้างที่ถือขนมอยู่นั้นก็ยื่นไปจ่อใกล้ริมฝีปากคนข้างกายมากกว่าเดิม
มาด้วยกัน จะให้กินคนเดียวก็อย่างไรอยู่
อัลฟ่ากลิ่นองุ่นยกยิ้มจนแก้มแถมปริแต่ก็ต้องเก็บอาการเอาไว้แล้วยอมอ้ารับขนมเข้าปาก “อร่อยไหม”
“อร่อยครับ”
วีรกานต์หยิบขนมเข้าปากตัวเองสลับกับป้อนคนข้างกาย จากชิ้นแรกก็มีชิ้นที่สอง ชิ้นที่สามเรื่อยไป ทำให้มีอัลฟ่าคนหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ดวงดาวและดินฟ้าอากาศพร้อมใบหูที่แดงเรื่อขึ้นทุกทีและก้อนเนื้อภายในอกที่เต้นระส่ำไม่พักผ่อน
น่ารักโว้ย
#พีขอโทษ
ไอ้ลูกหมามันเขินเขาใหญ่เลยว่ะ
เจ้ากานต์ก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย~~~
TW : dao_jun000
Special 2 บันทึกของพีและกานต์ _______ตั้งแต่จำความได้เขาก็ตัวติดกับวีรกานต์แล้ว อาจจะเพราะเรียนชั้นเดียวกันและอายุห่างกันแค่ไม่กี่เดือนทำให้พวกเราสนิทกันมากแต่เพราะความเป็นอัลฟ่าทั้งคู่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านเป็นกังวลว่าหากวันใดที่พวกเขาเกิดบาดหมางกันขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากอัลฟ่ามักหวงถิ่นและไม่ค่อยชอบใจนักที่มีอัลฟ่าอีกหนึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ของตนแต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นพีรยุทธ์และวีรกานต์ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางหรือผิดใจกันสักครั้ง อย่างมากก็แค่ออกอาการแง่งอนตามประสาซึ่งแน่นอนว่าส่วนมากมักจะเป็นอัลฟ่าคนน้องหลายครั้งอาจมีการลงไม้ลงมือบ้างแต่ไม่ใช่การทำร้ายกัน เป็นพีรยุทธ์ที่ทำร้ายตัวเองหรือข้าวของต่าง ๆ เพราะอัลฟ่าคนนี้เป็นคนอารมณ์ร้อนมาแต่ไหนแต่ไร และทุกครั้งคนที่ทำให้สงบลงได้ก็เห็นจะมีแค่เพียงอัลฟ่าคนพี่อย่างวีรกานต์เท่านั้นห้องนอนถูกทุบกำแพงทิ้งเพื่อติดตั้งประตูกระจกตามคำเรียกร้องของสองอัลฟ่าวัยอนุบาล ในตอนแรกความคิดนั้นถูกขัดขึ้นมาด้วยเหตุผลต่าง ๆ แต่อัลฟ่าคนน้องก็ปล่อยโฮจนคนเป็นแม่อ่อนใจ คนพี่ก็ไม่คิดเอ่ยขัดน้องมันจึงลงเอยด้วย
Special 1 กานต์อยากให้ทำ _______ ยามนี้ท้องฟ้าถูกระบายไปด้วยสีดำสนิท มีจุดสีขาวแต้มไปทั่วให้ความสว่างควบคู่ไปกับแสงประดิษฐ์บนท้องถนนและตามตึกราต่าง ๆ ภายในห้องนอนของคอนโดใจกลางเมืองมีคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กำลังอยู่ในห้วงนิทรา สองร่างของหนึ่งอัลฟ่าและหนึ่งโอเมก้ากอดก่ายมอบความอบอุ่นให้แก่กันอย่างเช่นทุกวัน ที่ด้านข้างเตียงมีที่นอนขนาดเล็กถูกล้อมไว้ด้วยแผ่นไม้หลายซี่จนกลายเป็นกรงขนาดย่อม ด้านในมีฟูกหนารองรับ หมอนข้างอันเล็กถูกวางกั้นไว้ทั้งสี่ทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กน้อยด้านในกลิ้งกระแทกจนเจ็บตัว ผ้าห่มผืนสะอาดก็คลุมอยู่บนตัวของเด็กชายโอเมก้าวัยห้าเดือนเศษ โอเมก้าน้อยอยู่ในชุดสีครีมนวล มือและเท้าทั้งสองข้างถูกหุ้มไว้ด้วยถุงผ้าขนาดพอดีข้อมือข้อเท้าเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กน้อยซุกซนจิกเล็บบนเนื้อตัวเอง ดวงตาทั้งสองข้างปิดพริ้ม ใบหน้าจิ้มลิ้มที่หากใครได้เห็นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถอดแบบคนเป็นแม่มาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ประกอบกับพวงแก้มคล้ายลูกซาลาเปานั่นยิ่งทำให้โอเมก้าน้อยดูน่าเอ็นดูเป็นไหน ๆ น่าเอ็นดูจนคนเป็นพ่อออกอาการหวงลูกชายตั้งแต่
บทที่ 26 คุณพ่อและคุณแม่ (end)_______การสังสรรค์มื้อค่ำจบลงตอนใกล้เข้าวันใหม่ คุณพ่อคุณแม่ลูกอ่อนช่วยกันเก็บล้างจานชามและสถานที่ทานอาหารด้านหน้าของบ้าน ปล่อยให้หนุ่มสาววัยกลางคนกลับเข้าบ้านไปพักผ่อนก่อนพวกเขาจะตามไปบ้างพีรยุทธ์อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงในห้องของคุณแม่โอเมก้าระหว่างรออีกฝ่ายเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกายดับกลิ่นควันกลิ่นอาหารก่อนเข้านอน ซึ่งเขาอาบน้ำมาแล้วก่อนหน้า เมื่อจัดการตัวเองเสร็จสรรพจึงได้ถือวิสาสะเข้าห้องวีรกานต์มานั่งรอไม่นานจมูกโด่งก็ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่และฟีโรโมนชากุหลาบก่อนดวงตาสีรัตติกาลจะเห็นว่าวีรกานต์กำลังสาวเท้ามาทางตน รอยยิ้มบางผุดขึ้นทันทีแล้วรีบเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรง ท่อนแขนหนาอ้าออกกว้างเพื่อรับเอาคุณแม่โอเมก้ามาไว้ในอ้อมกอดซึ่งอีกฝ่ายก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีวีรกานต์ทรุดกายลงนั่งบนที่นอนนุ่มโดยมีคุณพ่ออัลฟ่าเกาะเกี่ยวอยู่ไม่ห่าง เขาวางกองผ้าที่หอบมาไว้ริมที่นอน จัดการตำแหน่งให้พวกมันโอบล้อมตัวเองตามสัญชาตญาณของคนเป็นแม่ ทั้งหมดนั้นเป็นเสื้อผ้าของพีรยุทธ์ที่เขาขอจากอีกฝ่ายไว้ก่อนหน้า แน่นอนว่าเมื่อครู่เขานำมันเข้าห้องน้ำไปด้วยเพร
บทที่ 25 ช้ากว่าแต่รักเหมือนกัน_______เป็นอีกวันที่หนึ่งโอเมก้าและหนึ่งอัลฟ่านอนกอดก่ายมอบความอบอุ่นให้กันจนเช้า อันที่จริงต้องบอกว่ามันสายสักหน่อยเพราะนี่ก็ใกล้จะถึงมื้อเที่ยงแล้วยิ่งช่วงเช้ามืดที่ผ่านมากว่าจะกล่อมกันนอนได้คุณแม่โอเมก้าก็พูดจนปากเปียกปากแฉะเพื่อปลอบประโลมพีรยุทธ์ที่ยังอยู่ในห้วงของความกังวลและความกลัว กินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงถึงสงบลงได้โดยที่ยังมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้าแต่วีรกานต์ก็ต้องลำบากอีกครั้งเมื่อถูกกอดรัดไว้เสียแน่นไม่ยอมปล่อย แต่หากถามว่าเขายอมหรือไม่ก็ตอบได้ทันทีเลยว่ายอมด้วยความเต็มใจดีเสียอีก...มีกลิ่นฟีโรโมนของพีรยุทธ์โอบล้อมกายทั้งหอมทั้งผ่อนคลาย"...หอมจัง" น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยกระซิบข้างใบหูของวีรกานต์อาจเป็นเพราะเมื่อคืนใช้เสียงกับการร้องไห้ไปมากมันเลยส่งผลมาจนถึงเช้าวันนี้ไม่ว่าเปล่า จมูกโด่งสูดดมกลิ่นหอมของฟีโรโมนชากุหลาบตามลำคอขาวแล้วไล่พรมจูบไปตามลาดไหล่มนที่โผล่พ้นคอเสื้อขึ้นมา ท่อนแขนหนาก็กระชับกอดรัดคุณแม่โอเมก้าไว้แน่น"พอแล้วพี" แม้จะชอบใจที่ถูกกลิ่นองุ่นของพีรยุทธ์โอบล้อมกายแต่ตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว พวกเขาทั้งคู่ควรลุกจาก
บทที่ 24 ปลดล็อคซึ่งกันและกัน______คืนนี้ไม่มีพระจันทร์คอยให้แสงสว่างในยามค่ำคืน มีเพียงแสงไฟประดิษฐ์ที่ประดับประดาอยู่บนท้องถนนและตามตึกสูงใหญ่ เป็นเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหลสักวินาทีเดียวมื้อเย็นวานก่อนผ่านไปได้ไม่ดีนัก พวกเขาทั้งคู่ไม่มีใครอยากทานอาหารต่อ บนโต๊ะอาหารจึงจบลงด้วยการแยกย้ายกันโดยที่พีรยุทธ์เดินไปส่งคุณแม่โอเมก้าเข้าห้องนอนแล้วกลับมาเคลียร์โต๊ะอาหารเมื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วเขาก็เตรียมตัวเข้านอนเช่นกัน แม้จะฟูมฟายเพียงไม่นานแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียเสียจนอยากจะล้มตัวลงนอนมันตรงนั้นมือหนาของอัลฟ่าเอื้อมเปิดประตูแผ่วเบา พยายามอย่างมากไม่ให้มันเกิดเสียงดังรบกวนคุณแม่โอเมก้าที่น่าจะกำลังอยู่ในห้วงนิทราแสนหวานด้านในพีรยุทธ์งับประตูลงแล้วสาวเท้าพาตัวเองมายืนข้างเตียง ดวงตาสีรัตติกาลมองผ่านความมืดไปหาคนบนเตียง บนนั้นมีร่างของคุณแม่โอเมก้านอนอยู่ ข้างกายทั้งสองฝั่งมีกองเสื้อผ้าขนาดย่อมโอบล้อมไว้ ทั้งหมดนั่นเป็นเสื้อที่คุณพ่ออัลฟ่าใส่แล้วทั้งนั้น อีกทั้งในอ้อมแขนยังมีเสื้อเชิ้ตที่เขาเพิ่งใส่เมื่อเช้าถูกกอดรัดไว้จนแน่นอีกด้วยวีรกานต์เป็นแบบนี้มาหนึ่งสัปด
บทที่ 23 ไม่เอาแล้ว_______อัลฟ่ากลิ่นองุ่นกำลังง่วนอยู่กับการทำมื้อเย็นในครัว วันนี้เขาเลือกเป็นผัดผักและต้มจืดวุ้นเส้น เมนูง่าย ๆ ที่เบาท้องแต่ให้สารอาหารครบครันสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนตอนนี้วีรกานต์แยกตัวไปอาบน้ำ เขาจึงรีบเร่งฝีมือทำอาหารให้เสร็จทันก่อนที่อีกฝ่ายจะทำธุระเสร็จ เพราะเขายังรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งเวลาคุณแม่โอเมก้าเข้าไปทำธุระในห้องน้ำเพียงลำพัง กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดแล้วเขาไม่ได้ยินหรือรับรู้เพราะอยู่ด้านนอกก็แค่ความกลัวที่เขาไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้รู้สึกไม่ได้แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาจะทำอะไรช้ากว่าวีรกานต์ไปเสียหน่อย เพราะคุณแม่โอเมก้าเดินเข้าห้องครัวมานั่งลงที่โต๊ะทานอาหารแล้วอีกฝ่ายอยู่ในชุดนอนผ้าลื่นสีอ่อน มันยิ่งขับให้ผิวของคุณแม่โอเมก้าขาวขึ้นมากกว่าเดิม ประกอบกับเรือนร่างที่เริ่มมีน้ำมีนวลก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายน่าเอ็นดูในสายตาของพีรยุทธ์อัลฟ่ากลิ่นองุ่นหันมาส่งยิ้มบางให้ผู้มาใหม่ก่อนจะกลับไปปิดเตาแก๊สแล้วจัดการเทอาหารลงจานพร้อมกับเสิร์ฟข้าวสวยร้อน ๆ ให้กับวีรกานต์คุณแม่โอเมก้าทำเพียงยกยิ้มตอบรับแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารไปเงียบ ๆ โดยมีอัลฟ่ากลิ่นอง