“นั่นเสียงใครเจ้าคะ ท่านขว้างก้อนหินโดนคนหรือไม่”
“คงไม่ใช่หรอก เพราะหากเป็นคนเขาต้องวิ่งออกมากล่าวโทษพี่แล้ว”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” นางตอบรับแต่สีหน้ายังครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ! นั่นอิ๋งหั่วฉงนี่” สิ้นเสียงเขาอิ๋งหั่วฉงจำนวนมากก็ปรากฏเต็มป่าไผ่
“นี่หรือเจ้าคะอิ๋งหั่วฉง...งดงามยิ่งนัก”
“ช่างดีจริงที่ได้ยืนมองอิ๋งหั่วฉงกับเจ้า” ชินอ๋องซื่อจื่อเอ่ยเสียงเบา
“ช่างเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าเช่นที่ผู้อื่นว่าเสียจริง” “เจ้าชอบหรือไม่” เขาหันมาถามสตรีที่ยังคงจับชายอาภรณ์ของเขาไว้
“ชอบมากเจ้าค่ะ มันช่างงดงามตราตรึงใจยิ่งนัก” นางหันมาบอกเขาก่อนจะยิ้มกว้าง
“พี่ก็คิดเช่นกันว่ามันช่างงดงามตราตรึงใจยิ่งนัก” คังซืออี้ กล่าวพลางจับจ้องดวงหน้าหวานยากจะละสายตา
ตึกตัก ๆ หัวใจดวงน้อยของนางเต้นระรัวกับสายตาพราวระยับและวาจาหวานซึ้งของสหายพี่ชาย
‘เขาหมายถึงข้า หรือหมายถึงอิ๋งหั่วฉงกัน’
“มันมาเกาะบนผมเจ้าด้วย” เขากล่าวพลางเอื้อมมือมาทำสิ่งใดบางอย่างที่ผมนาง
“จริงหรือเจ้าคะ แล้วมันจะกัดข้าหรือไม่”
“อิ๋งหั่วฉงไม่กัดเจ้าหรอก พี่จับให้เจ้าแล้ว” เขากล่าวพลางกำมือมาตรงหน้านางก่อนจะแบออกเผยให้เห็นว่าในกำมือของเขามีอิ๋งหั่วฉงส่องแสงอยู่
“มันเป็นตัวเช่นนี้เองหรือเจ้าคะ ช่างน่าแปลกใจยิ่งที่มันส่องแสงได้”
“นั่นสิ แต่ขอเพียงเจ้าชอบพี่ก็ดีใจแล้ว”
“ท่านว่าอันใดนะเจ้าคะ”
“ไม่มีอันใด ดูเหมือนมันจะเริ่มบินหายไปหมดแล้ว ให้พี่ไปจับกลับมาให้เจ้าดูอีกหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพียงแค่ข้าได้เห็นภาพที่งดงามเช่นนี้ ข้าก็ดีใจมากแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม พี่ก็เช่นกัน” ภาพที่นางจ้องมองอิ๋งหั่วฉงด้วยดวงตาเปล่งประกาย และรอยยิ้มกว้างนั้นช่างน่าตรึงใจเสียจริง ไม่เสียแรงจริง ๆ ที่สั่งให้องครักษ์ไปจับมาจากเมืองจินเซ่อ
“กลับเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวน้ำค้างลงมากกว่านี้ ท่านจะเป็นไข้เอา”
“พี่ไปส่งเจ้าที่เรือนก่อน”
“แล้วท่านจะกลับเรือนรับรองถูกหรือเจ้าคะ”
“ประเดี๋ยวส่งเจ้าเสร็จพี่ค่อยให้คนตรวจเวรยามพากลับเรือนรับรอง”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
“มา! พี่จะถือโคมไฟให้”
“เจ้าค่ะ” เมื่อนางตอบรับเขาก็ถือโคมไฟให้ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือนางให้เดินตาม
“เดินเช่นนี้ดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยรอยยิ้ม วันนี้นางมีความสุขยิ่งนัก ได้เห็นอิ๋งหั่วฉงที่ในตำราบอกว่ามันงดงามเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าทว่าจับต้องได้
“...” มุมปากหยักของชินอ๋องซื่อจื่อยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้าหวาน มันช่างงดงามกว่าอิ๋งหั่วฉงเสียอีก
คล้อยหลังคนทั้งคู่ได้ไม่นานองครักษ์เงาที่เร้นกายอยู่ในป่าไผ่ก็ปรากฏตัว
“เป็นอย่างไรบ้างหัวเจ้า”
“ไม่มีเลือดไหลขอรับ โชคดีที่ท่านอ๋องน้อยออมมือ”
“สมน้ำหน้า ข้าส่งสัญญาณบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้ว พวกเจ้าไม่ฟังเอง เอาแต่กลั้นหัวเราะท่านอ๋องอยู่” จือซวนกล่าว
“ก็จะไม่ให้หัวเราะได้อย่างไร ท่านอ๋องน้อยอุตส่าห์สวมอาภรณ์บางเบา ทั้งยังแหวกอกเสื้อจนแทบจะลงไปกองที่เอว แต่คุณหนูฟ่านนอกจากจะไม่ถูกอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของท่านอ๋องน้อยล่อลวงแล้ว นางยังช่วยจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยพร้อมทั้งบ่นว่าท่านอ๋องแต่ตัวไม่เรียบร้อยทำตัวเช่นชายงามออกไปเดินเล่นนอกหอ”
“ข้าก็เกือบตกจากต้นไม้เพราะกลั้นหัวเราะนี่แหละ แผนชายงามของท่านอ๋องน้อยไม่ได้ผลกับคุณหนูฟ่าน”
“นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าท่านอ๋องกำลังล่อลวงนาง ช่างน่าขบขันนัก”
“เจ้าลืมแล้วหรือ ว่าท่านอ๋องน้อยวรยุทธ์เลิศล้ำ ระวังท่านอ๋องน้อยจะได้ยินที่พวกเจ้ากล่าวแล้วสั่งลงโทษ
“ข้าขออภัยขอรับ พวกข้าไม่พูดแล้ว” กล่าวจบก็พากันเร้นกายหนีไป ทิ้งให้จือไห่กับจือซวนมองหน้ากันพลางส่ายหน้า แต่มุมปากของทั้งสองกลับประดับด้วยรอยยิ้มขบขัน
‘ท่านอ๋องช่างน่าขันจริง ๆ นั่นแหละ’
ชินอ๋องซื่อจื่อเดินไปส่งน้องสาวของสหายที่เรือน ก่อนจะปล่อยมือนางอย่างรักษามารยาท แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก็เห็นจะเป็นการที่นางปลดผ้าคลุมของตนเองออก
“กว่าจะเดินถึงเรือนรับรองท่านคงแข็งตายพอดี อย่างไรข้าให้ยืมผ้าคลุมก่อน พรุ่งนี้ค่อยนำมาคืน”
“จะดีหรือ”
“ดีสิเจ้าคะ”
“แต่พี่มือเปื้อนเพราะเก็บหินเมื่อครู่ พี่ไม่อยากให้อาภรณ์ของเจ้าเปื้อน”
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว