เข้าสู่ระบบถัดจากคุณหนูจากหมู่ตึกสกุลมู่หรง ภาพของผู้เข้าขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีรายถัดๆ มาก็ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจมากนัก เป็นเพียงภาพวาดดอกโบตั๋นที่เบ่งบานอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ แม้จะถูกวาดขึ้นด้วยสีสันที่แตกต่างกัน กลับดูซ้ำๆ จำเจ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด
สวีไท่โฮ่วและสวีหวงโฮ่ว ถูกกิริยาท่าทางตื่นเต้นชอบใจและชื่นชมยกย่องในตัวคู่แข่งแต่ละราย อันบริสุทธิ์ซื่อใส ของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ตรึงความสนใจเอาไว้อย่างแน่นหนา จึงไม่ได้ออกปากพูดจากันเรื่องภาพวาดภาพไหนสักภาพ
กระทั่งมาถึงภาพวาดที่เหล่าผู้เข้าชมการแข่งขันรอบๆ ลานประชันขันแข่ง พากันส่งเสียงฮือฮาดังระงม ของคุณหนูสี่จากจวนสกุลอู๋ อู๋ชิงชิง สวีไท่โฮ่วและสวีหวงโฮ่วจึงสามารถละสายตาจากใบหน้าพริ้มเพราของคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง เบนสายตามองภาพวาดใจกลางลานประชันขันแข่งดังเช่นที่สมควรกระทำ
ภาพวาดของอู๋ชิงชิง ก็ไม่ต่างจากก่อนหน้า เป็นภาพวาดโบตั๋นสีม่วงครามท่ามกลางอุทยานกว้างที่เต็มไปด้วยบุปผชาตินานาพันธุ์ ทว่า...ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำหนักการลงสี ไม่ว่าจะเป็นฝีพู่กัน ไม่ว่าจะเป็นการวาดดอกไม้และใบไม้อย่างละเอียดลออ หรือแม้แต่การให้แสงให้เงาตามวิธีการวาดภาพขั้นสูงที่ตามหลักแล้วสมควรมีถ่ายทอดกันก็แต่ภายในราชวงศ์สกุลหลี่ แต่ละองค์ประกอบของภาพวาดผืนนี้ช่างพาให้ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
“คุณหนูจากจวนสกุลอู๋หรือ...” สวีไท่โฮ่วพึมพำแผ่วเบา “นานมาแล้วสกุลอู๋เคยมีบุตรสาวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เข้าสู่ราชวงศ์สกุลเว่ยแห่งต้าเว่ยที่เป็นเหมือนน้ำกับน้ำมันกับแผ่นดินเทียนจินเรา เพราะเรื่องครั้งนั้น บุตรสาวคนอื่นๆ ในสกุลอู๋จึงได้แต่งให้คนราชวงศ์สกุลจี และสกุลหลี่ซึ่งยามนั้นเป็นดั่งกำแพงเหล็กปกบ้านป้องเมือง เป็นการพยายามใช้สายสัมพันธ์เครือญาติยุติข้อขัดแข้ง ทว่าก็เป็นอย่างที่เห็น กระทั่งทุกวันนี้ผลัดราชวงศ์มานับร้อยปีแล้ว ความขัดแย้งระหว่างเทียนจินและต้าเว่ยก็ยังคงอยู่...คนสกุลอู๋ก็คงจะได้รับการถ่ายทอดวิธีการวาดภาพของราชวงศ์สกุลหลี่ ผ่านการแต่งงานทางการเมืองเหล่านั้นกระมัง”
หวงโฮ่วคิดตามแล้วไม่เข้าใจ “หากเป็นเช่นที่เสด็จแม่รับสั่ง เหตุใดตลอดหลายสิบปีมานี้ พวกเราเหล่าคนในเมืองหลวงจึงไม่มีผู้ใดเคยได้เห็นคนสกุลอู๋ใช้กลวิธีการวาดภาพระดับสูงเช่นนี้มาก่อน?”
สวีไท่โฮ่วแย้มสรวล กล่าวเสียงไม่ดังไม่เบาดังเช่นทุกครั้ง
“การวาดภาพเช่นนี้ ใช่ว่าทุกผู้ทุกคนจะสามารถรับสืบทอดได้ หนำซ้ำคนสกุลอู๋แต่ไหนแต่ไรยังเป็นผู้รู้จักเก็บงำความสามารถ ระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง สกุลอู๋หลายสิบปีมานี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์สกุลหลี่ ต่อให้เคยเรียนรู้กลวิธีที่ว่านี้ ทว่าผู้ระมัดระวังตนเช่นพวกเขาไหนเลยจะอยากเอากลวิธีขั้นสูงนี้ออกมาใช้...”
ไท่โฮ่วลดเสียงลงพึมพำกับตนเองแผ่วเบา
“ที่แท้คนสกุลอู๋ก็หวาดระแวงราชวงศ์สกุลหลี่ถึงเพียงนี้...เรื่องนี้ก็นับว่าน่าสนใจนัก”
สวีหวงโฮ่วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคหลัง กล่าวเสียงนุ่ม “คุณหนูสี่สกุลอู๋ผู้นี้ก็นับว่าเป็นหญิงงามมากความสามารถเช่นกัน บทกวีที่นางประพันธ์ขึ้นเพื่อใช้ในการคัดเลือกเข้าขันแข่งชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีในเทศกาลชมบุปผาครั้งนี้ ก็ช่างแต่งได้อย่างละเมียดละไม เปี่ยมไปด้วยความหมายและสัจธรรมอันลึกซึ้ง...”
สวีไท่โฮ่วยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คนสกุลอู๋เป็นผู้ชอบใช้ความคิดถึงเพียงนี้ ผลงานที่คุณหนูจากจวนสกุลอู๋ประพันธ์ขึ้นจะไม่ละเมียดละไมมีความหมายอันลึกซึ้งแฝงเร้นได้อย่างไร”
หวงโฮ่วฟังที่แม่สามีกล่าวแล้วก็ได้แต่นึกปลงในใจ
เห็นทีไม่ช้าก็เร็ว สกุลอู๋คงถูกตรวจสอบยกใหญ่...
สวีไท่โฮ่ว...แม่สามีของพระนางเองก็เป็นผู้ระมัดระวังตนเป็นอย่างยิ่งผู้หนึ่ง สำหรับสวีไท่โฮ่วแล้ว สิ่งใดที่จะสั่นคลอนรากฐานอันมั่นคงของราชวงศ์สกุลหลี่และราชบัลลังก์ สิ่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ไม่สมควรมีอยู่ในโลกใบนี้ทั้งสิ้น แม้แต่สกุลสวีเอง...หากในอดีตเมื่อครั้งพระนางไท่โฮ่วทรงขึ้นเป็นหวงโฮ่ว สกุลสวีเลือกไม่ยอมฟังคำพระนาง ไม่ยอมถอนตัวจากราชการงานเมือง ไม่ยอมละวางอำนาจทั้งปวง เลิกทำการค้า ผันตัวไปใช้ชีวิตอย่างสงบและไม่ฝักใฝ่ขั้วอำนาจใดออกนอกหน้า สกุลสวีที่ไหนจะยังคงรุ่งเรือง บุตรสาวมักได้แต่งเข้าราชวงศ์สกุลหลี่ และบุตรชายได้ครองเรือนอย่างเป็นสุขดังเช่นทุกนี้
ทว่า...หากเป็นดังที่พระนางไท่โฮ่วตรัสมาจริง เพราะเหตุใดเด็กสาวมากความสามารถสติปัญญามิใช่ด้อยจากสกุลที่ระมัดระวังตนถึงเพียงนั้น จึงได้ถึงกับนำทักษะการวาดภาพระดับสูงที่ถูกสืบทอดกันอย่างลับๆ และเก็บงำเอาไว้ในตระกูลออกมาใช้ต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้...? เพียงเพราะอยากเอาชนะเหล่าผู้เข้าชิงชัยเช่นนั้นรึ? พระนางไม่คิดเช่นนั้น
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







