ตอนที่ 4 ภาพแรก
ลายมือของเซียวต้าถงค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว มีน้ำหนักมั่นคงและหนักแน่นเท่ากันทุกตัวอักษร บ่งบอกได้ว่าเขาฝึกคัดอักษรเช่นนี้มาหลายปีจึงจะสามารถเขียนได้ดีถึงเพียงนี้
หนิงเหอหยิบกระดาษที่ถูกขยำกองอยู่ที่พื้นขึ้นมาคลี่ดู พบว่า มันคือบทความแบบเดียวกันกับแผ่นที่วางอยู่ เซียวต้าถงคัดได้เพียงครึ่งแผ่น แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีสมาธิ ทำให้ตัวอักษรตัวสุดท้ายมีเส้นที่หนาเพราะลงน้ำหนักมือเกินไป มันเลยถูกขยำกลายเป็นกองขยะเช่นนี้
“หนิงเหอ เจ้าดูอะไรอยู่” เซียวต้าถงถามเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังของนาง ทำให้หนิงเหอตกใจสะดุ้งขึ้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาอยู่ข้างหลังนางตั้งแต่เมื่อไหร่
“ข้ากำลังดูตัวอักษรของท่านอยู่” หนิงเหอหันไปตอบอีกฝ่าย
“เจ้าอย่าไปดูแผ่นนั้นสิ แผ่นนั้นเป็นอักษรที่ข้าเขียนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เจ้าดูแผ่นที่วางอยู่บนโต๊ะนี้” เซียวต้าถงชี้ไปที่แผ่นคัดอักษรที่วางอยู่ด้านบน ที่นางเห็นเมื่อครู่
“เป็นอย่างไร เจ้าว่าข้าเขียนได้สวยหรือไม่” เมื่อเห็นว่านางยื่นหน้าออกไปมองกระดาษคัดอักษรแผ่นนั้น เซียวต้าถงก็ถามความเห็นของนางทันที
“สวยเจ้าค่ะ” หนิงเหอตอบตามความจริง
เมื่อได้รับคำชม หนุ่มน้อยก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แม้เขาจะรู้ว่าตนเองมีฝีมือการเขียนอักษรค่อนข้างดี แต่เมื่อได้รับคำชมจากนาง เขาก็รู้สึกว่า คำชมนี้ทำให้เขาดีใจมากกว่าทุกครั้ง
“ดี กระดาษพวกนี้เจ้าเอามานั่งหัดเขียนรอพวกพี่ๆ เจ้าเถอะ เดี๋ยวข้ากับพี่ๆ ของพวกเจ้าจะไปที่คอกม้าแล้วจะกลับมา” เซียวต้าถงชี้ไปที่กระดาษที่เขาขยำกองไว้ที่พื้น บอกกับนางว่าสามารถใช้กระดาษเหล่านี้วาดเล่นได้
ความจริงแล้วกระดาษพวกนี้สามารถนำกลับไปตัดและนำมาเย็บเป็นเล่มได้เลยทีเดียว แต่จากฐานะทางบ้านของเซียวต้าถงแล้ว เศษกระดาษเหลือๆ เหล่านี้คงไม่อยู่ในสายตาของเขา
เมื่อกล่าวเสร็จ เซียวต้าถงจึงพากู้หลันโจวและกู้เหวินอี้ไปที่คอกม้าอีกด้านหนึ่งทันที ปล่อยให้หนิงเหอนั่งเล่นรออยู่ที่ในสวน เพราะคอกม้าเป็นที่สำหรับบุรุษ นางซึ่งเป็นสตรีพวกเขาจึงไม่อยากพาไปด้วย
หนิงเหอหยิบกองกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นขึ้นมาคลี่กางให้เรียบ โดยใช้แท่นทับกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะทับมันไว้ทั้งสองข้าง ทิ้งไว้สักพัก ก่อนจะเลือกกระดาษที่มีพื้นที่ว่างเยอะที่สุดออกมาหนึ่งแผ่น กระดาษแผ่นนี้ เป็นแผ่นที่มีเนื้อที่เหลืออยู่เกือบสามในสี่ส่วนเลยทีเดียว
หนิงเหอพับกระดาษส่วนที่ไม่ใช้ออก ก่อนจะใช้กรรไกรที่วางอยู่ตัดกระดาษแผ่นนั้น เพียงเท่านี้ นางก็มีกระดาษเปล่าสีขาวใช้แล้ว แม้จะมีรอยยับอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร
หนิงเหอมองไปที่แท่นหมึกและพู่กันที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใช้ความคิด ตอนนี้มีเพียงหมึกดำให้ใช้งานเท่านั้น ไม่มีหมึก สีในการวาดรูป นางคงทำได้เพียงวาดภาพหมึกจีนออกมาสักภาพ
แต่นางจะวาดภาพอะไรดีล่ะ?
หนิงเหอยื่นมือออกไปหยิบพู่กันขึ้นมาช้าๆ ก่อนที่สายตาของนางจะมองไปในกระดาษอีกครั้ง ภาพหนึ่งที่อยู่ภายในหัวของนางซ้อนทับกับกระดาษอย่างลงตัว
หนิงเหออมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี มือเล็กๆ ค่อยบรรจงแต้มหมึกสีดำลงบนกระดาษ ในตอนแรกนั้นหนิงเหอยังได้ยินเสียงรอบกายอยู่บ้าง แต่เมื่อผ่านไปสักพักเสียงรอบข้างก็ค่อยๆ เบาลง แม้กระทั่งสีลมที่พัดอยู่นางก็ไม่ได้ยิน ตอนนี้สมาธิของนางทั้งหมดจดจ่ออยู่เพียงกระดาษภาพนั้น
หนิงเหอรู้สึกว่าร่างกายของนางตอนนี้กำลังดีมากเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพราะร่างกายที่ยังเด็กอยู่ทำให้ทุกส่วนในร่างกายมีการยืดหยุ่นที่ดี ลายเส้นที่นางวาดออกมานั้นจึงอ่อนช้อยและพลิ้วไหวเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่านางใช้เวลาไปนานเพียงใด ภาพที่วาดก็เสร็จสมบูรณ์
“งดงามมาก” เสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้หนิงเหอหันกลับไปมอง
เซียวต้าถงและพี่ชายของนางทั้งสองกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ มายืนอยู่ทางด้านหลังของนาง หนิงเหอหันมองเซียวต้าถงที่มองภาพวาดของนางด้วยสายตาเปล่งประกาย
“หนิงเหอ ข้าเคยไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะวาดภาพได้งดงามถึงเพียงนี้” เซียวต้าถงกล่าว พร้อมกับเดินเข้ามามองภาพที่นางวาดอย่างใกล้ชิด
ไม่เพียงแต่เซียวต้าถงเท่านั้นที่ยืนมองภาพนั้นด้วยสายตาชื่นชม กู้หลันโจวและกู้เหวินอี้เองก็เช่นกัน โดยเฉพาะกู้เหวินอี้ ที่นางสังเกตว่าเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะชื่นชอบผลงานของนางมากจริงๆ เพราะเขามองภาพของนางด้วยสายตาหลงใหลแทบจะไม่กระพริบตา
“หนิงเหอ เจ้ามอบภาพนี้ให้ข้าได้หรือไม่” เซียวต้าถงหยิบภาพวาดแผ่นนั้นขึ้นมา พร้อมหันมาถามนาง
หนิงเหอลังเลเล็กน้อย เพราะนางอยากมอบภาพนี้ให้กับกู้เหวินอี้พี่ชายฝาแฝดของตน เพราะดูเหมือนเขาจะชอบมันมาก
กู้เหวินอี้มองมาที่นางเช่นกัน และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าหนิงเหอลังเลเพราะเขา เขาจึงกล่าวขึ้น
“เจ้ามอบให้คุณชายเซียวเถอะ ที่บ้านของเราไม่มีที่แขวนภาพงดงามถึงเพียงนี้หรอก”
แม้จะพูดเช่นนั้น กู้เหวินอี้ก็ยังคงมองภาพนั้นด้วยสายตาอาวรณ์อีกครั้ง ภาพม้าศึกกำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างดุดัน โดยมีแม่ทัพผู้องอาจกำลังควบขี่อยู่บนหลังของมัน ทุกอย่างโดยรวมแล้ว ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมและชื่นชมแม่ทัพที่อยู่บนหลังม้าในภาพเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนั้น หนิงเหอจึงพยักหน้าเป็นการตอบตกลง ว่าจะยกภาพให้กับอีกฝ่าย
เซียวต้าถงดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจะให้พ่อบ้านนำมันไปเก็บก่อน วันหลังค่อยนำไปใส่กรอบและจะนำมาแขวนไว้ที่ในห้องนอน เพื่อที่เขาตื่นขึ้นมาจะได้เห็นมันในทุกวัน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้อะไรเลย เขาจึงยื่นข้อเสนอให้นาง
“ข้าไม่ได้เอาของเจ้าเปล่าๆ หรอกนะ หากเจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน เจ้ากล่าวมาได้เลย หากไม่มากเกินไป ข้ายินดี” เซียวต้าถงกล่าวถามอย่างใจกว้าง
หนิงเหอหันไปมองพี่ชายทั้งสองที่ยืนมองนางอยู่ หากนางต้องการเงินก็ดูจะไม่งาม
“หากเช่นนั้น จะเป็นอะไรหรือไม่ หากข้าต้องการพู่กันสักด้ามเป็นการตอบแทน?” หนิงเหอไม่รู้ราคาของพู่กันที่นี่ ว่ามันมีราคามากเท่าไหร่ แต่ดูจากฐานะของอีกฝ่ายแล้ว แค่พู่กันด้ามเดียวไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
“ได้ ข้าจะสั่งให้คนซื้อพู่กันอันใหม่มาให้เจ้า ถึงเวลานั้น ข้าจะให้พวกเขานำไปให้เจ้าที่บ้าน”
หนิงเหอยิ้มกว้างทันที
“คุณชายเซียว ท่านคิดว่า หากข้าวาดรูปขึ้นมาสักรูปและนำไปขาย จะมีคนรับซื้อหรือไม่?” นี่เป็นสิ่งที่นางคิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เพราะสิ่งเดียวที่นางถนัดคือการวาดภาพ นางต้องใช้จุดนี้เป็นสิ่งที่หาเงินเข้าบ้านเพื่อยกระดับการกินอยู่ของที่บ้านให้ได้
“ข้าคิดว่าได้นะ ในอำเภอมีร้านๆ หนึ่งที่ขายของเกี่ยวกับงานศิลปะ เอาไว้อีกห้าวันเป็นวันหยุดเรียนของข้า ข้าจะพาเจ้าไปดูดีหรือไม่?”
เซียวต้าถงถามอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น
“ดีเจ้าค่ะ”
สถานที่หาเงินเช่นนี้ นางก็อยากไปเห็นด้วยตาของตนเองนะสิ
…………………………………….
ตอนที่ 20 ต้องการสีที่ใช้งานได้หนึ่งเดือนมานี้ ตั้งแต่เฉียนหยาแต่งเข้ามาที่บ้านของครอบครัวกู้ นอกจากงานซักผ้าแล้ว งานอื่นๆ ทุกคนในบ้านล้วนแต่ช่วยเหลือกันทั้งสิ้นกู้หลันโจวเองในช่วงนี้เหนื่อยกว่าทุกคนในบ้านยิ่งนัก เนื่องจากว่า ในยามกลางวัน เขาจะออกไปช่วยที่บ้านของเฉียนต้าหลางลงนาเกี่ยวข้าว กู้เหวินอี้เองก็เช่นกัน กู้อวี้สยงนั้นไม่มีที่ทำกินเหมือนครอบครัวอื่น ตัวเขาจึงมีอาชีพเป็นนายพราน แตกต่างจากครอบครัวเฉียน เฉียนต้าหลางมีพื้นที่ทำกินที่แบ่งกับน้องๆแล้วหลายหมู่ แต่เนื่องจากว่าเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวไม่มีลูกชาย ทำให้กู้หลันโจวพากู้เหวินอี้มาช่วยงานกู้หนิงเหอเดินมาที่ท้องนาที่ตอนนี้กำลังมีคนช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวในนาอย่างขะมักเขม้น นางใช้มือทั้งสองข้างแตะเลียนแบบกล้องถ่ายรูป เพื่อใช้สมองของตนเองจดจำภาพ บรรยากาศ และผู้คนที่กำลังทำงานอยู่ในท้องนาเอาไว้ เพื่อที่ว่านางจะได้นำไปวาดรูป“หนิงเหอ เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” เฉียนหยาที่เดินมาด้านหลังถามน้องสามีของนางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าทางแปลกๆ นางจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย“กำลังเก็บภาพเจ้าคะ”“เก็บภาพ? หมายถึงอะไร?”“ข้ากำลังเก็บภาพเหล่านี้
ตอนที่ 19 งานมงคลและแล้วก็ถึงวันมงคลของกู้หลันโจวและเฉียนหยาหนิงเหอตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวช่วยงาน เพียงฟ้าสางขบวนเจ้าสาวก็มาถึงบ้านของครอบครัวกู้ เฉียนหยาแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวสีแดงสด ด้านหลังของนางเป็นคนครอบครัวเฉียนที่พากันขนข้าวของสินเดิมเจ้าสาวตามมาเป็นขบวน นอกจากนั้น ยังมีชาวบ้านมากมายต่างมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านในชนบท ที่มีฐานะยากจน ทำให้งานแต่งงานไม่เหมือนในละครที่หนิงเหอเคยดูที่ฝ่ายเจ้าสาวจะนั่งเกี้ยวมายังบ้านของเจ้าบ่าวพิธีการที่จัดขึ้นเป็นแบบเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก ทุกคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือในการทำพิธีต่างๆ จากนั้นทางฝั่งของบ่าวสาวก็เปลี่ยนชุดออกมาต้อนรับแขกที่มารวมงาน และดื่มกินสังสรรค์กันจนถึงค่ำ ก็ถึงเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอที่สร้างเสร็จใหม่ เช้าวันรุ่งขึ้นเฉียนหยาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเพื่ออุ่นอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงเมื่อวานให้กับคนในบ้านกู้ โดยที่นางไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะหนักหนาอะไรสำหรับนาง กู้หลันโจวก็ตื่นแล้วเช่นกัน เขาเข้าครัวช่วยภรรยาที่พึ่งแต่งเข้ามาได้เพียงหนึ่งวันก่อไฟอุ่นอาหาร บรรยากาศภายในห้องค
ตอนที่ 18 คำตอบของหม่าเจ่าคำตอบของหม่าเจ่า ทำให้สองแม่ลูกครอบครัวกู้กลับไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เมื่อส่งแขกออกไปแล้ว หม่าเจ่าก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง“เพราะเหตุใดเจ้าไม่ตอบรับคำขอเล่า เจ้าก็รู้ใจลูกสาวของตนเองไม่ใช่หรือ?” เฉียนต้าหลางถามภรรยา เรื่องที่เฉียนหยาลูกสาวของตนเอง ชื่นชอบกับเพื่อนเล่นสมัยเด็กอย่างกู้หลันโจว พวกเขาสองสามีภรรยาต่างรู้แก่ใจกันดี“คนพวกนั้นเห็นลูกสาวของเราเป็นตัวอะไร อยากแต่งก็พาแม่สื่อมา ไม่อยากแต่งก็ปฏิเสธพวกเราง่ายๆ” หม่าเจ่ายังคงเสียหน้ากับเรื่องที่ผ่านมาอยู่ นางจึงตอบกลับสามีด้วยน้ำเสียงที่ดัง ทำให้เฉียนหยาที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกได้ยิน“ท่านแม่” เฉียนหยาเรียกมารดาของตนเอง ที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนักหม่าเจ่ามองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองด้วยความหนักใจ สำหรับตัวนางแล้ว ครอบครัวกู้แม้จะยากจนอยู่บ้าง แต่นางที่รู้จักกู้หลันโจวมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้ดีว่ากู้หลันโจวจะต้องไม่มีวันทำให้ลูกสาวของนางเสียใจอย่างแน่นอน ส่วนลูกชายของหมู่บ้านข้างเคียงที่ส่งแม่สื่อมานั้น ฐานะทางบ้านไม่เลวเลยทีเดียว พ่อแม่สามีเองก็เป็นที่รู้จักของหลายหมู่บ้าน
ตอนที่ 17 มีเงินเพียงพอแล้วกู้อวี้สยงและหนิงเหอเดินออกมาจากร้านหงลู่ฝาง หนิงเหอจึงเสนอความคิดว่า พวกเขาควรซื้อเสบียงอาหารแห้งกลับไปที่บ้านสักเล็กน้อยก่อนกู้อวี้สยงเดินตามลูกสาวของเขาด้วยความเหม่อลอย พร้อมกับเอามือทาบที่หน้าอกของตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะด้านตรงอกของเขาตอนนี้ มีถุงเงินยี่สิบตำลึงอยู่ด้านใน กับอีกถุงเป็นเงินที่เขาขายเนื้อสัตว์มาแม้ว่าจะได้เงินมาเยอะจากเมื่อครู่ แต่หนิงเหอก็ไม่ได้ใช้เงินมือเติบแต่อย่างใด นางจัดแจงซื้อแป้ง ข้าวสาร ธัญพืชที่ที่บ้านไม่มีอยู่แล้วกลับไป“หนิงเหอ นี่พ่อกำลังฝันอยู่หรือไม่?” กู้อวี้สยงหันมาถามลูกสาวที่เดินอยู่ด้านข้าง ทำเอากู้หนิงเหอที่กำลังเดินอยู่ถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“ฮ่าๆๆ ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ฝันไปหรอกเจ้าค่ะ” เพราะตอนนี้ในมือทั้งสองข้างของเขา เต็มไปด้วยข้าวของที่ลูกสาวซื้อกลับมา ทำให้ไม่มีมือจับตรงที่ถุงเงินที่อยู่ภายใต้เสื้อตนเองได้ เขากลัวเหลือเกิน ว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้านแล้วจะรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งของเขาเท่านั้น“มันมีจริงๆ หรือ คนที่ยอมเสียเงินร้อยตำลึงเพื่อพัดเล่มหนึ่งเท่านั้น” กู้อวี้สยงถามขึ้น ไม่ใช่ว่า
ตอนที่ 16 นกข่งเชวี่ยภาพนกข่งเชวี่ย(นกยูง)ตัวผู้ที่ถูกวาดอยู่บนพัด เจิ้งหย่งซีมองมันด้วยสายตาที่สั่นไหว ราวกับว่าเจ้านกที่ถูกวาดอยู่ กำลังลำแพนหางของมันโอ้อวดให้คนที่กำลังมองอยู่ได้เชยชมเจิ้งหย่งซีสังเกตที่หางของมันอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่า ผู้ที่วาดนั้นเก็บรายละเอียดหางของมันด้วยพู่กันที่เล็กที่สุด ไม่น่าเชื่อเลยว่า ภาพวาดที่ละเอียดลออนี้ จะใช้ระยะเวลาในการวาดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น“ไปตามคนส่งของเข้ามา” เจิ้งหย่งซีสั่งลูกน้องคนสนิทของตนเองให้ตามเด็กที่ร้านที่มาส่งของ เข้ามาหาเขา เพราะเขามีคำถามต้องการถามอีกฝ่ายเพียงไม่นาน ด้านหน้าประตูก็ปรากฏร่างของเด็กชายที่มีท่าทางประหม่าเป็นอย่างมากเดินเข้ามา“คารวะนายท่าน” เด็กรับใช้ที่ร้านคารวะอีกฝ่ายความสั่นเกรง“เด็กสาวที่นำของสิ่งนี้มาส่ง ก่อนที่นางจะจากไป นางได้บอกอะไรหรือไม่” เจิ้งหย่งซีมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนถามเสียงเรียบจะกลัวอะไรกันหนักหนา เขาเริ่มไม่สบอารมณ์“ระ.. เรียนนายท่าน แม่นางน้อยผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไร เพราะตอนนี้นางกำลังรอรับเงินอยู่ที่ร้านขอรับ นางบอกว่าต้องการรีบใช้เงิน” ยังอยู่ที่ร้าน?“หลี่หลิน เตรียมรถม้า”“ขอรับ”เมื่อได้ย
ตอนที่ 15 ส่งผลงาน“หลงจู่กล่าวว่า ไก่แต่ละตัว หนักประมาณ 2 จิน ให้ท่านตัวละ 150 อีแปะ ส่วนกระต่ายตัวละ 180 อีแปะ รวมทั้งสิ้น 960 อีแปะขอรับ” เด็กในร้านที่ทำหน้าที่แจกแจงเงินให้แก่กู้อวี้สยงก็พูดจาฉะฉาน เพราะเขาต้องทำเช่นนี้แทบทุกวันกับพ่อค้าเนื้อ หรือแม่ค้าผักที่นำมาส่งที่ร้านเนื่องจากร้านอาหารด้านหลังเป็นจุดรับของที่จะนำมาใช้ทำอาหาร จำต้องมีเด็กวิ่งเข้าออกเพื่อทำหน้าที่นี้ เพราะในครัวไม่สามารถให้คนนอกเข้าออกได้ เด็กคนนี้จึงรับหน้าที่นี้มาหลายปีแล้ว“ขอบคุณเจ้ามาก” เมื่อเห็นว่าราคาที่อีกฝ่ายให้มา เป็นราคาเดียวกับที่เขาคิดคร่าวๆ ไว้ในใจแล้ว กู้อวี้สยงจึงรับเงินที่อีกฝ่ายยื่นให้ และเก็บลงใส่ถุงเงินที่ตนพกมาก่อนมัดถุงไว้อย่างระมัดระวัง และเก็บไว้กับตนเอง“เราไปกันเถอะ” กู้อวี้สยงหันมาส่งยิ้มให้กับบุตรสาวก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินไปทางถนนอีกเส้นหนึ่งที่อยู่คนละทางกับร้านอาหารแห่งนี้เนื่องจากตัวเมืองนี้มีถนนเส้นใหญ่อยู่สองเส้น เส้นแรกเป็นเส้นที่ร้านอาหารที่เขาไปเมื่อครู่ตั้งอยู่ ส่วนอีกเส้นเป็นเส้นที่ร้านหงลู่ฝางตั้งอยู่ เพียงมองดูก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า ถนนทั้งสองเส้นนั้นต่างกันอย่างไร ถนน