ธีทัตยอมรับว่าเงินซื้อบ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองทั้งหมด แต่เป็นเงินมรดกจากปู่ย่าตายายที่ส่งต่อมาให้กับพ่อกับแม่ในรูปแบบของที่ดิน ตลาด โรงงาน และกิจการอีกหลายอย่าง และดอกผลจากธุรกิจเหล่านั้นก็ส่งต่อมาถึงเขาอีกที
เมื่อตกลงกันได้ ภูมิวัตน์ก็ยิ้มโล่งใจ ธีทัตโอบไหล่เพื่อน
“คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกัน อีกหน่อยมึงไปอยู่นู่นก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเอง”
“ไม่ได้ ๆ มึงจะซื้อบ้านกูทั้งที ให้กูเลี้ยงเอง”
ภูมิวัฒน์รีบบอก ก่อนจะกดโทรศัพท์ชวนเพื่อนสนิทอีกสี่ห้าคนออกไปสังสรรค์กันในคืนนี้
**ธีทัตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านอาหารที่ภูมิวัตน์จองไว้ เขาแวะบอกพ่อกับแม่ให้กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ และบอกด้วยว่าเขาตกลงจะซื้อบ้านใหม่ต่อจากเพื่อนแล้ว
“ตกลงซื้อแน่ใช่ไหมลูก”
คงเดชถามย้ำ เขาได้เห็นรูปบ้านที่ลูกชายส่งมาแล้ว
“ครับพ่อ ราคานี้แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เข้าอยู่ได้เลย”
“โอ๊ย... เงินทองน่ะมีก็เก็บ ๆ กันไว้บ้างเถอะ”
ธิดาเอ่ยขัดพลางมองลูกชายตาเขียว
“พ่อก็ตามใจลูกจนเคยตัว มันโตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้ว ถ้าอยากแยกออกไปอยู่เองมากนัก ก็จะไปช่วยออกเงินให้ทำไมก็ไม่รู้ ลูกคนอื่นเขาต้องหาเงินซื้อด้วยตัวเองกันทั้งนั้น”
“ธีก็ผ่อนพ่ออีกทีไงแม่ รับรองจะไม่เบี้ยวเลยสักเดือน”
คนเป็นลูกยิ้มยืนยัน ไม่เคยน้อยใจที่โดนแม่ว่าแรง ๆ เพราะมันเรื่องจริงทุกประโยค เป็นพ่ออีกตามเคยที่พยายามไกล่เกลี่ย
“พ่อว่าที่ดินมันสวยดีนะแม่ แล้วที่แถวนั้นก็หาไม่ได้ง่ายแล้วด้วย ที่สวย ๆ ก็มีเจ้าของไปหมดแล้ว อีกอย่างพ่อคิดว่าวันหน้า ถ้าธีมันแต่งงาน ตรงนี้ก็น่าจะเหมาะเป็นเรือนหอ เผื่อว่าหนุ่มสาวเขาอยากแยกไปอยู่บ้านตัวเองไม่ต้องมาอยู่กับเรา”
เมื่อได้ยินคำว่าแต่งงาน ธิดาจึงเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“แล้วไป นี่เห็นแก่ว่าที่ลูกสะใภ้ของฉันหรอกนะ เอาไว้ว่างวันไหนพาแม่กับพ่อไปดูบ้านอีกสักทีก็แล้วกันนะธี”
“พรุ่งนี้เลยก็ได้ครับ พรุ่งนี้เลย”
ชายหนุ่มรีบบอกพลางเข้าไปกอดและก้มหอมแก้มมารดาสุดที่รัก ธิดาฮึดฮัดด้วยความหมั่นไส้ในนิสัยขี้ประจบประแจงของลูก แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วคนเป็นแม่ก็ใจอ่อนให้ลูกชายคนเดียวคนนี้ทุกทีไป
**
ฟ้าลดา กลับมาเมืองไทยคนเดียวเงียบ ๆ ไม่ได้บอกแม้แต่เพื่อนสนิท
หญิงสาวกลับมาอยู่บ้าน บอกพ่อแม่เพียงว่าอยากพาร่างกายมารับแสงแดดเมืองไทยให้เต็มที่สักระยะ เพราะเบื่ออาการทึม ๆ ที่ลอนดอน คนที่เกิดและเติบโตมาในเมืองร้อน อยู่ในภูมิประเทศที่แทบไม่เห็นแสงแดดนาน ๆ ก็ให้รู้สึกหดหู่
'กล้บมาอยู่บ้านเราบ้างก็ดีลูก ทุกคนก็คิดถึงฟ้า...''ฟ้าก็คิดถึงบ้านเราค่ะแม่'
คนเป็นลูกสาวคนเดียวตอบ แปลกที่ฟ้าลดาไม่เอ่ยถึงคนรักของเธออย่างอดัมเลย พ่อแม่และอาจึงไม่กล้าถาม พอจะเดาได้ว่าที่ลูกและหลานกลับเมืองไทยหนนี้ แถมยังมาคนเดียว ไม่มีคู่หมั้นมาด้วย คงจะไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน แต่เมื่อหญิงสาวไม่อธิบาย ไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้น คนในครอบครัวก็เลือกจะเคารพพื้นที่ส่วนตัวของฟ้าลดาโดยไม่ถามอะไรเลยสักนิด วันนี้พ่อ แม่ และอาหญิงของเธอจึงพาฟ้าลดามากินข้าวที่ห้องอาหารเจ้าประจำริมแม่น้ำปิง เพื่อเลี้ยงฉลองที่ลูกสาวกลับเมืองไทย และในใจพ่อกับแม่ก็คิดว่าอยากปลอบใจลูกด้วยเพราะฟ้าลดาดูเหงา ๆ ชอบกล“เสียดายย่าเราไม่ยอมมาด้วยนะฟ้า ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่พร้อมหน้า นาน ๆ หลานจะกลับมาที ออกมาเที่ยวข้างนอกหน่อยก็ไม่ได้”
นุชจรีชวนหลานสาวคุย
“แม่ก็อย่างนี้แหละ ติดบ้าน แถมชอบบ่นว่าไปกินข้าวนอกบ้านให้เสียเงินทำไม”
นที-บิดาของฟ้าลดาและเป็นพี่ชายของนุชจรี-เอ่ยขึ้นมาบ้าง พลางพลิกเมนูเพื่อดูว่าจะสั่งอาหารอะไรกลับไปฝากมารดากับคนดูแลที่รออยู่ที่บ้าน
“ฟ้า เมนูเดิมที่ลูกชอบกินเขาก็ยังมีอยู่นะ อกเป็ดอบซอสมะขาม แม่สั่งให้เลยดีไหมจ๊ะ”
เฟื่องฟ้ารีบบอกอย่างเอาอกเอาใจ คนเป็นลูกพยักหน้า“ได้เลยค่ะแม่ ฟ้าก็อยากกินค่ะ”
คนเป็นลูกพยายามฝืนยิ้มให้ร่าเริงเพื่อไม่ให้พ่อ แม่ และอา ต้องมารับรู้ความไม่สบายใจของตัวเอง แม้ครอบครัวคงจะสงสัยที่เธอกลับมาเมืองไทยคนเดียวแต่ทุกคนก็เลือกจะทำเป็นไม่อยากรู้...
อาหารทยอยยกมาเสิร์ฟ มื้อนี้นทีเป็นเจ้ามือเหมือนเคย เขาทำธุรกิจอาหารแปรรูปที่ใช้วัตถุดิบของภาคเหนือ ขายส่งไปทั่วประเทศ แม้ไม่ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีเมืองไทย แต่ก็มีกินมีใช้และมีเลี้ยงครอบครัวขนาดใหญ่ให้สุขสบายกันได้ทุกคน หลายปีก่อน นทีเลือกซื้อบ้านหลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งแถวคลองชลประทานหรือที่คนเชียงใหม่เรียกว่าเส้นคันคลอง และชวนให้น้องสาวคนเดียวอย่างนุชจรีมาอยู่ด้วยกัน จะได้ช่วยกันดูแลแม่ และนุชจรียังเป็นกำลังสำคัญของธุรกิจของเขาด้วย โชคดีที่เมียและน้องสาวเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ครอบครัวใหญ่จึงค่อนข้างแน่นแฟ้นและอบอุ่น เสียดายอย่างเดียวคือเขากับเฟื่องฟ้าอยากมีลูกสักสามคน แต่ตัวเขาเองมีปัญหา กว่าจะมีฟ้าลดาได้ก็หมดเงินกับการแพทย์ไปเยอะ เมื่อมีลูกเพียงคนเดียว ฟ้าลดาจึงเป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ และเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัว ตอนที่ฟ้าลดาบอกว่าขอใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ คนในบ้านก็ถึงกับหงอยเหงากันไปพักใหญ่ "ว้าว...เมนูโปรดของหลานอามาแล้ว หอมน่ากินจังเลย"นุชจรีเอ่ยอย่างตื่นเต้น อกเป็ดอบซอสมะขามเสิร์ฟมาพร้อมกับมันบดเนื้อนุ่มฟูราวปุยฝ้าย เป็นเมนูขึ้นชื่อของห้องอาหารริมน้ำปิงแห่งนี้ ตอนอยู่ที่อังกฤษ มีหลายครั้งที่ฟ้าลดาคิดถึงเมนูนี้เพราะหากินที่ไหนหรือแม้แต่ทำเองก็รสชาติไม่ดีเท่า... แต่วันนี้ลิ้นของเธอกลับรู้สึกแปลกไป
“ฟ้าว่าเขาน่าจะเปลี่ยนเชฟนะคะอานุช”
หญิงสาวเอ่ยหลังตักกินไปคำแรก นุชจรีเลิกคิ้ว เฟื่องฟ้าหยิบช้อนมาตักชิมบ้าง
“แม่ว่ารสชาติเหมือนเดิมเลยนะ ฟ้าไม่อร่อยหรือลูก"
“ฟ้าว่ามันคาว ๆ น่ะค่ะ”
“หรือหลานชินกับอาหารฝรั่ง เลยรู้สึกว่าคาว”
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ค่ะอานุช”
ฟ้าลดาฝืนกินไปอีกคำก่อนจะดื่มน้ำตามจนหมดแก้ว
“หนูขอตัวสักครู่นะคะ”
หญิงสาวบอกก่อนจะรีบลุกไปเข้าห้องน้ำ โดยมีสายตาห่วงใยของพ่อแม่และอามองตามไป...
เมื่อถึงห้องน้ำ ฟ้าลดาโก่งคออาเจียนอาหารออกมาจนหมดท้อง เธอรู้สึกคลื่นไส้มาเป็นเดือนแล้ว กินได้แต่น้ำผักผลไม้ แม่ก็สังเกตเห็นแต่หญิงสาวก็อ้างเพียงว่ากินแต่อาหารจืด ๆ มานานจนท้องไส้ไม่ค่อยยอมรับอาหารรสจัดแบบไทย ๆล้างปากล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พาร่างบอบบางจนแทบปลิวลมกับใบหน้าซีดเซียวเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่อยากกลับไปที่โต๊ะแต่เลือกเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกที่ระเบียงติดแม่น้ำเมื่อผลักประตูกระจกออกมา สายลมของเดือนมีนาคมก็สัมผัสใบหน้า แม้จะเป็นสายลมอุ่นแต่ก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวนักเรียนนอกจึงหันกลับจะเข้าไปในร้าน ลูกค้าจากด้านในกำลังผลักประตูกระจกออกมาพอดีเธอจึงหยุดรอ ร่างสูงชะงักกึกตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาตาคมเข้มคู่นั้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน“ฟ้า!”“ธี!”***สามปีก่อน...“ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็ใจจะขาดแล้ว”ธีทัตออดอ้อนร่างบางเปล่าเปลือยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองร่างอิงซบกันอยู่บนเตียงกว้าง ห้วงยามหวามหวานเพิ่งผ่านพ
ในห้องครัว สริดากำลังตั้งหม้อนึ่งถั่วเขียวซีกเพื่อเตรียมจะทำขนมถั่วแปบ ตอนที่มนิษากับนิดหน่อยช่วยกันยกกล่องลังผลไม้เข้ามาหลายกล่อง“พี่ธีเอามะยงชิดมาฝากค่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยรีบบอกโดยไม่ต้องรอให้ถามตอนแรกคนงานทุกคนไม่กล้าเรียกธีทัตว่าพี่ และยืนยันจะเรียก “คุณธี” เหมือนที่เรียกลูกค้าคนอื่น ๆ แต่เมื่อชายหนุ่มมาเป็นแขกบ้านนี้บ่อยครั้งเข้า และทุกครั้งที่มาเขาก็ขอร้องให้ทุกคนเลิกใช้คำเรียกขานที่ห่างเหิน คนงานทุกคนจึงค่อย ๆ เรียกเขาว่าพี่ธีหรือธีเฉย ๆ ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ (แต่แน่ล่ะว่าสร้างความหมั่นไส้ให้ มนิษาอย่างที่สุด)“พี่ธีเอามาฝาก? ทั้งหมดนี่เลยหรือ”สริดาเปิดกล่องแล้วหยิบพวงมะยงชิดมาชื่นชมอย่างแปลกใจ แต่ละลูกผลใหญ่ ผิวสีส้มเนียนสวยน่ารับประทาน“ใช่แล้วจ้ะ ตอนแรกหนูนึกว่ามะปราง แต่พี่ธีบอกว่าเป็นมะยงชิด มันต่างกันยังไงอะพี่ส้ม”นิดหน่อยถามซื่อ ๆ ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผลไม้ในประเทศตัวเองได้หมดนี่นา“ที่จริงมันก็คือมะปรางเหมือนกันนั่นล่ะจ้ะ มะปรางจะผลเล็กกว่ามะยงชิดแต่เม็ดในใหญ่กว่า เปลือกจะออกนวล ๆ แล้วก็หวานจัดกว่าด้วย แต่
วันนี้ป้าองุ่นขับโฟล์กสวาเก้นรุ่นปี ๑๙๖๗ หรือ 'รถเต่า' สีน้ำเงินของตัวเองมากินข้าวเที่ยงกับหลานสาวอีกเช่นเคย นอกจากจิ๊นหมูนึ่ง[1] ผักนึ่ง ตำบะหนุน[2] น้ำพริกข่า[3] กับข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) สริดาก็ยังเตรียมมะยงชิดลอยแก้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยเพราะรู้ว่าป้าจะต้องไปเที่ยวหาป้าธิดาเพื่อนสนิท หญิงสาวจึงทำเผื่อไปฝากบ้านนั้นอีกกล่องใหญ่ ๆ“เมื่อวานพี่ธีซื้อมาฝากเยอะแยะเลยค่ะ ส้มเลยแบ่งทำมะยงชิดโซดาให้คนงานกินแก้เหนื่อย แล้วก็แบ่งทำลอยแก้วให้ป้าหงุ่นกับป้าธิดาด้วย”“ขอบใจนะส้ม นี่ป้าไม่ได้กินมานานแล้วนะนี่”“มะยงชิดลอยแก้วทำง่ายค่ะป้าหงุ่น ถ้าวันไหนป้าอยากกินอีกบอกส้มก็ได้นะคะ แค่ปอกเปลือกคว้านเมล็ด แล้วก็ทำน้ำเชื่อม ตอนจะกินก็แค่ตักน้ำเชื่อมราด เติมน้ำแข็งอีกหน่อย เหมาะกับอากาศบ้านเราตอนนี้สุด ๆ”คนเป็นหลานบอกพลางตักให้ป้าชิมหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ“มะนาวไม่กินเหรอ”สริดาถามน้องสาวอย่างแปลกใจเพราะปกติมนิษาจะต้องถามหาของหวานด้วยเสมอ แต่วันนี้เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก ตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมกินของฝากของธีทัตให้ป้าองุ่นเห็นเด็ดขาด“พ่อธีนี่ก็น่ารักจริง ๆ เลยน
“ป้าหงุ่น! หลักฐานทนโท่ขนาดนี้ ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ!”มนิษาร้องเสียงดังทะลุแปดสิบเดซิเบล เมื่ออุตส่าห์เปิด ‘คลิปฉาว’ ของชายหนุ่มคนหนึ่งให้คนเป็นป้าดู แต่ป้าองุ่นกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่“นี่แกจะตกอกตกใจอะไรนักหนายัยมะนาว แค่เจอพี่เขาไปเที่ยวกลางคืนแค่นั้น...”คนเป็นป้าเถียงกลับ เพราะคลิปที่หลานสาวยัดเยียดเปิดให้ดูนั้นมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการที่ชายหนุ่มคราวลูกคนหนึ่งกำลังสังสรรค์กับเพื่อนในผับ มือข้างหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่ม มืออีกข้างก็โอบสะโพกของหญิงสาวตัวสูงปรี๊ดราวนางแบบคนหนึ่งไปด้วยเพียงแต่ชายหนุ่มในคลิปไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่ชื่อ ธีทัต เป็นลูกชายของเพื่อนรักขององุ่น และเป็นคนที่องุ่นกำลังอยากได้มาเป็นหลานเขยนักหนา“แกก็ไปเที่ยวเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ไม่อย่างนั้นจะไปเจอพี่เขาได้ยังไงยัยมะนาว”“แต่นาวไปกับเพื่อนไงป้า ไม่เหมือนพ่อเจ้าประคุณรุนช่อง พ่อเนื้อทองขนุนหนังของป้าหงุ่นคนนี้ ไอ้พี่ธีทั้งเต้นทั้งฟัดทั้งรัดทั้งกอด มือไม้หนึบหนับยิ่งกว่าปลาหมึก นี่แค่แอบถ่ายมาได้สั้น ๆ เท่านั้นนะ นาวยังไม่ได้ตามไปดูว่าออกจากร้านไปแล้วเขาไปโบ๊ะบ๊ะกันต่อที่ไหนอีกหรือเปล่า”“ดูฟังพูดเข้า น
บ้านสองชั้นหลังนั้นตั้งตระหง่านบนที่ดินกว้างขวางหนึ่งไร่ ห่างจากสนามบินเชียงใหม่เพียงสิบกว่านาทีแต่กลับเงียบสงบเหมือนอยู่นอกเมือง ต้นก้ามปูขนาดมหึมาแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาครอบคลุมพื้นที่เกือบครึ่งสนามด้านหน้า ส่วนตัวบ้านที่เป็นสถาปัตยกรรมยุค ๘๐ ยังคงเค้าโครงเดิม แม้จะถูกรีโนเวทใหม่ให้กลายเป็นออฟฟิศแต่ก็ไม่ได้สูญเสียเสน่ห์ดั้งเดิมไป ภายในถูกปรับให้เปิดโล่งขึ้น พื้นหินขัดเย็นเท้า เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มแซมเหล็กดำให้ความรู้สึกโมเดิร์นแต่ไม่แข็งกระด้าง บันไดปูนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของบ้านยุคเก่า ตอนนี้ถูกเสริมด้วยราวบันไดเหล็กเส้นบาง ดูร่วมสมัยแต่ก็ไม่ทิ้งโครงสร้างเส้นสายเดิมบ้านหลังนี้เคยเป็นของตากับยายของธีทัต เมื่อท่านทั้งสองจากไป แม่ของเขาก็ให้คนมาทำความสะอาดและจ้างแม่บ้านมาดูแลรายเดือน จนเมื่อสามปีก่อนที่ชายหนุ่มกับเพื่อนสนิทอีกสองคนลงขันกันเปิดบริษัท ทรีทีพรอเจคต์แอนด์ดีไซน์ แม่ของธีทัตจึงเสนอให้ลูกชาย ‘เช่า’ บ้านหลังนี้เพื่อทำเป็นสำนักงาน แน่นอนว่าความสวยงามแบบคลาสสิกและโครงสร้างที่ยังแข็งแรงหาได้ยากทำให้สามหนุ่มรุ่นลูก หนึ่งวิศวกร สองสถาปนิก ตอบตกลงทันทีและรีโนเวทจนที่นี่เป็นหนึ่งในโฮมอ
“พี่ส้มก็เป็นหลานป้าองุ่นเหมือนกัน ถ้าคุณเห็นแก่ป้าฉันจริงก็ไม่น่าจะทำให้หลานสาวของป้าเสียใจเลย”“ใครเสียใจ? ส้มหวานเหรอ”แววตาหยอกล้อหายวับไป ท่าทีเขาจริงจังขึ้นเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าคลิปนี้อาจมีคนเสียใจหรือเข้าใจผิด แต่มนิษาส่ายหน้า“เปล่า พี่ส้มไม่ใช่คนงี่เง่าอะไรแบบนั้น แต่ฉันเองที่อยากรู้ ไม่ใช่เพราะฉันชอบคุณจนอยากได้มาเป็นพี่ชายอีกคนหรอกนะ แต่เพราะฉันไม่ชอบคุณมาก ๆ ต่างหาก ก็เลยอยากให้คุณยอมรับตรง ๆ ว่าคุณคบผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ส้มอยู่...คุณมีแฟนอยู่แล้วใช่ไหม”“ไม่ใช่ครับ พี่โสดล้านเปอร์เซ็นต์ ส่วนเพื่อนผู้หญิงในคลิป ก็เพื่อนกันจริง ๆ เพื่อนสนิทมาก ๆ ด้วย”“สนิทถึงขั้นถูกเนื้อต้องตัวกันขนาดนั้นเลยหรือไง”“อืม ใช่”ธีทัตไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาสบสายตากลมโตของ มนิษาก่อนเอ่ยต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า“บางทีพี่กับเพื่อนก็ไม่ทันได้ระวังตัว ถ้ามะนาวไม่ชอบ คราวหน้าพี่จะระวังให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”“นาวจะชอบหรือไม่ชอบไม่ได้เกี่ยวอะไรสักหน่อย”“เกี่ยวสิ พี่ยังอยากเข้านอกออกในบ้านของมะนาวกับป้าองุ่นอยู่ ถ้าทำให้มะนาวเกลียดขี้หน้าก็คงไม่ดีเท่าไร”หญิงสาวฮึดฮัด ทำไมน้ำเสียงของธีทัตถึ
เที่ยงวันต่อมา มนิษาที่ใช้พื้นที่หน้าบ้านขายต้นไม้เดินไปล้างไม้ล้างมือเพื่อเข้าไปหาอะไรกินในครัว คนงานคนอื่น ๆ พักกินข้าวเที่ยงไปก่อนแล้วเมื่อตอนสิบเอ็ดโมงกว่า ๆ เธอจึงเข้าไปกินข้าวคนเดียว“หิวมากไหมมะนาว รอกินพร้อมป้าองุ่นได้ไหม ป้ากำลังจะมากินข้าวด้วย”สริดาที่อยู่ในครัวเอ่ยถาม หญิงสาวกำลังแกะกล้วยน้ำว้าแช่น้ำปูนใสในอ่างกะละมังเคลือบ“รอก็ได้ แต่มีอะไรรองท้องก่อนไหมนะ”“พี่ทำข้าวต้มมัดไว้ อยู่ในหม้อนึ่งน่ะ”คนเป็นน้องหยิบข้าวต้มมัดมากินหนึ่งคู่ พี่สาวของเธอทำขนมเลี้ยงชีพมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาวิชาคหกรรมและก็ยึดอาชีพนี้เรื่อยมา แม้ไม่ถือว่าร่ำรวยมากแต่ก็ไม่ขัดสน ไม่มีภาระหนี้สินอะไรเพราะบ้านหลังนี้ก็เป็นมรดกที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้มนิษากำลังจะลุกไปหยิบขนมชิ้นที่สองตอนที่ป้าองุ่นเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องกินข้าวพอดี แต่ที่ทำให้สาวน้อยนิ่งอึ้งก็คือคนที่ป้าพามาด้วย“ป้าหงุ่น พี่ธี สวัสดีค่ะ มะนาวกำลังรอกินข้าวอยู่เลย”สริดาทักทาย ท่าทางไม่แปลกใจที่เห็นธีทัตมาด้วยกัน ชายหนุ่มทักตอบก่อนยื่นถุงใส่อาหารถุงใหญ่ให้หญิงสาว“พี่ซื้อไก่ย่าง ส้มตำ กับลาบน้ำตกมาด้วย ส้มมีข้าวเหนียวแล้วใช่ไหมครับ”“ใช่
องุ่นไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกับหลานสาวทั้งสอง บ้านหลังนั้นเคยเป็นของน้องชายกับน้องสะใภ้ ส่วนตัวหล่อนอยู่แยกออกมาอีกหลัง ห่างกันแค่ห้าร้อยเมตร เมื่อกินข้าวเที่ยงที่บ้านหลานสาวเสร็จ ธีทัตก็ขับรถมาส่งหล่อนที่บ้านก่อนชายหนุ่มจะลากลับแต่ก่อนจะลงจากรถ องุ่นยังหันไปพูดกับธีทัตอีกรอบ“มะนาวมันเป็นพวกปากไม่มีหูรูด พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคน ธีอย่าถือสาน้องเลยนะลูก ขนาดน้าเอง มันยังเถียงฉอด ๆ”ธีทัตยิ้มขัน“ผมเข้าใจครับน้าหงุ่น ถ้าผมมีพี่สาวหรือน้องสาว ผมก็คงจะหวงเขามากแบบที่มะนาวหวงส้มหวานเหมือนกัน”“เฮ้อ... ขอบใจนะธีที่เข้าใจน้อง แต่น้าว่าอย่างมะนาวก็ออกจะเกินไป ถ้าใครมีทีท่าจะเข้ามาจีบพี่เขาล่ะก็ ก็แผลงฤทธิ์แผลงเดชใส่จนผู้ชายหนีเปิงกันไปหมด ไม่รู้ยังมีลูกค้าอยู่ได้ยังไง ทั้งร้านต้นไม้ทั้งร้านขนม”องุ่นหมายถึงกิจการเล็ก ๆ ของหลานสาวทั้งสองคน สริดาเปิดครัวรับทำขนมไทยตามออเดอร์ขายทางออนไลน์ ส่วนหน้าบ้านก็เป็นร้านต้นไม้ที่มีมนิษาเป็นคนดูแล“ผมคิดว่าที่มะนาวไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมอาจเพราะเรายังไม่รู้จักกันดีพอ เอาไว้ผมจะหาเวลาไปเที่ยวหาน้องทั้งสองคนให้มากขึ้นก็แล้วกันนะครับ ถ้าได้สนิทกันมากขึ้นแล้ว ก็อาจจ
วันนี้ป้าองุ่นขับโฟล์กสวาเก้นรุ่นปี ๑๙๖๗ หรือ 'รถเต่า' สีน้ำเงินของตัวเองมากินข้าวเที่ยงกับหลานสาวอีกเช่นเคย นอกจากจิ๊นหมูนึ่ง[1] ผักนึ่ง ตำบะหนุน[2] น้ำพริกข่า[3] กับข้าวนึ่ง(ข้าวเหนียว) สริดาก็ยังเตรียมมะยงชิดลอยแก้วใส่กล่องไว้ให้เรียบร้อยเพราะรู้ว่าป้าจะต้องไปเที่ยวหาป้าธิดาเพื่อนสนิท หญิงสาวจึงทำเผื่อไปฝากบ้านนั้นอีกกล่องใหญ่ ๆ“เมื่อวานพี่ธีซื้อมาฝากเยอะแยะเลยค่ะ ส้มเลยแบ่งทำมะยงชิดโซดาให้คนงานกินแก้เหนื่อย แล้วก็แบ่งทำลอยแก้วให้ป้าหงุ่นกับป้าธิดาด้วย”“ขอบใจนะส้ม นี่ป้าไม่ได้กินมานานแล้วนะนี่”“มะยงชิดลอยแก้วทำง่ายค่ะป้าหงุ่น ถ้าวันไหนป้าอยากกินอีกบอกส้มก็ได้นะคะ แค่ปอกเปลือกคว้านเมล็ด แล้วก็ทำน้ำเชื่อม ตอนจะกินก็แค่ตักน้ำเชื่อมราด เติมน้ำแข็งอีกหน่อย เหมาะกับอากาศบ้านเราตอนนี้สุด ๆ”คนเป็นหลานบอกพลางตักให้ป้าชิมหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ“มะนาวไม่กินเหรอ”สริดาถามน้องสาวอย่างแปลกใจเพราะปกติมนิษาจะต้องถามหาของหวานด้วยเสมอ แต่วันนี้เจ้าหล่อนส่ายหน้าดิก ตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมกินของฝากของธีทัตให้ป้าองุ่นเห็นเด็ดขาด“พ่อธีนี่ก็น่ารักจริง ๆ เลยน
ในห้องครัว สริดากำลังตั้งหม้อนึ่งถั่วเขียวซีกเพื่อเตรียมจะทำขนมถั่วแปบ ตอนที่มนิษากับนิดหน่อยช่วยกันยกกล่องลังผลไม้เข้ามาหลายกล่อง“พี่ธีเอามะยงชิดมาฝากค่ะพี่ส้ม”นิดหน่อยรีบบอกโดยไม่ต้องรอให้ถามตอนแรกคนงานทุกคนไม่กล้าเรียกธีทัตว่าพี่ และยืนยันจะเรียก “คุณธี” เหมือนที่เรียกลูกค้าคนอื่น ๆ แต่เมื่อชายหนุ่มมาเป็นแขกบ้านนี้บ่อยครั้งเข้า และทุกครั้งที่มาเขาก็ขอร้องให้ทุกคนเลิกใช้คำเรียกขานที่ห่างเหิน คนงานทุกคนจึงค่อย ๆ เรียกเขาว่าพี่ธีหรือธีเฉย ๆ ได้อย่างสนิทปากสนิทใจ (แต่แน่ล่ะว่าสร้างความหมั่นไส้ให้ มนิษาอย่างที่สุด)“พี่ธีเอามาฝาก? ทั้งหมดนี่เลยหรือ”สริดาเปิดกล่องแล้วหยิบพวงมะยงชิดมาชื่นชมอย่างแปลกใจ แต่ละลูกผลใหญ่ ผิวสีส้มเนียนสวยน่ารับประทาน“ใช่แล้วจ้ะ ตอนแรกหนูนึกว่ามะปราง แต่พี่ธีบอกว่าเป็นมะยงชิด มันต่างกันยังไงอะพี่ส้ม”นิดหน่อยถามซื่อ ๆ ก็ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักผลไม้ในประเทศตัวเองได้หมดนี่นา“ที่จริงมันก็คือมะปรางเหมือนกันนั่นล่ะจ้ะ มะปรางจะผลเล็กกว่ามะยงชิดแต่เม็ดในใหญ่กว่า เปลือกจะออกนวล ๆ แล้วก็หวานจัดกว่าด้วย แต่
เมื่อถึงห้องน้ำ ฟ้าลดาโก่งคออาเจียนอาหารออกมาจนหมดท้อง เธอรู้สึกคลื่นไส้มาเป็นเดือนแล้ว กินได้แต่น้ำผักผลไม้ แม่ก็สังเกตเห็นแต่หญิงสาวก็อ้างเพียงว่ากินแต่อาหารจืด ๆ มานานจนท้องไส้ไม่ค่อยยอมรับอาหารรสจัดแบบไทย ๆล้างปากล้างหน้าเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พาร่างบอบบางจนแทบปลิวลมกับใบหน้าซีดเซียวเดินออกจากห้องน้ำ ยังไม่อยากกลับไปที่โต๊ะแต่เลือกเดินออกไปสูดอากาศด้านนอกที่ระเบียงติดแม่น้ำเมื่อผลักประตูกระจกออกมา สายลมของเดือนมีนาคมก็สัมผัสใบหน้า แม้จะเป็นสายลมอุ่นแต่ก็ทำให้หายใจได้โล่งขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวนักเรียนนอกจึงหันกลับจะเข้าไปในร้าน ลูกค้าจากด้านในกำลังผลักประตูกระจกออกมาพอดีเธอจึงหยุดรอ ร่างสูงชะงักกึกตอนที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาตาคมเข้มคู่นั้น ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างขึ้นพร้อมกัน“ฟ้า!”“ธี!”***สามปีก่อน...“ไม่อยากให้ฟ้าไปเลย แค่คิดว่าต้องอยู่คนเดียวก็ใจจะขาดแล้ว”ธีทัตออดอ้อนร่างบางเปล่าเปลือยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา สองร่างอิงซบกันอยู่บนเตียงกว้าง ห้วงยามหวามหวานเพิ่งผ่านพ
ธีทัตยอมรับว่าเงินซื้อบ้านหลังนี้ไม่ใช่เงินที่เขาหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองทั้งหมด แต่เป็นเงินมรดกจากปู่ย่าตายายที่ส่งต่อมาให้กับพ่อกับแม่ในรูปแบบของที่ดิน ตลาด โรงงาน และกิจการอีกหลายอย่าง และดอกผลจากธุรกิจเหล่านั้นก็ส่งต่อมาถึงเขาอีกทีเมื่อตกลงกันได้ ภูมิวัตน์ก็ยิ้มโล่งใจ ธีทัตโอบไหล่เพื่อน“คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกัน อีกหน่อยมึงไปอยู่นู่นก็ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เดี๋ยวคืนนี้กูเลี้ยงเอง”“ไม่ได้ ๆ มึงจะซื้อบ้านกูทั้งที ให้กูเลี้ยงเอง”ภูมิวัฒน์รีบบอก ก่อนจะกดโทรศัพท์ชวนเพื่อนสนิทอีกสี่ห้าคนออกไปสังสรรค์กันในคืนนี้ **ธีทัตกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านอาหารที่ภูมิวัตน์จองไว้ เขาแวะบอกพ่อกับแม่ให้กินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอ และบอกด้วยว่าเขาตกลงจะซื้อบ้านใหม่ต่อจากเพื่อนแล้ว“ตกลงซื้อแน่ใช่ไหมลูก”คงเดชถามย้ำ เขาได้เห็นรูปบ้านที่ลูกชายส่งมาแล้ว“ครับพ่อ ราคานี้แทบไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแล้ว เข้าอยู่ได้เลย”“โอ๊ย... เงินทองน่ะมีก็เก็บ ๆ กันไว้บ้างเถอะ”ธิดาเอ่ยขัดพลางมองลูกชายตาเขียว
“จริงเหรอ หมู่นี้ธีไปหาส้มหวานแทบทุกสัปดาห์เลยเหรอ”องุ่นถามย้ำอย่างตื่นเต้นเมื่อ ‘สายลับ’ ของหล่อนที่ทำงานอยู่บ้านหลานสาว โทรศัพท์มาบอก“ใช่ค่ะป้าหงุ่น เดือนก่อนคุณธีพาเพื่อนมาเรียนทำขนมกับพี่ส้ม ตอนนี้เห็นว่าเพื่อนกลับเยอรมันไปแล้ว แต่คุณธีก็ยังแวะมาหาทุกอาทิตย์ มากินข้าวบ้าง มาซื้อต้นไม้บ้าง หนูว่าเป็นข้ออ้างทั้งนั้นล่ะค่ะ...”สายขององุ่นหัวเราะคิกคัก ก่อนพูดต่อไปว่า“คุณธีคงจะเดินหน้าจีบพี่ส้มหวานจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่ป้าหงุ่นหวังแล้วล่ะค่ะ”“ขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็แล้วกัน ป้าล่ะกลัวจะแก่ตายก่อนได้เห็นหลานเป็นฝั่งเป็นฝา”“อ้าว... ทำไมจู่ ๆ พูดแช่งตัวเองอย่างนั้นล่ะคะ”“เออ ๆ ฉันก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นล่ะ”องุ่นว่า หล่อนเพิ่งเกษียณจากราชการในตำแหน่งศึกษานิเทศก์ยังไม่ถึงห้าปีด้วยซ้ำ คงยังเร็วไปที่จะพูดจาดราม่าแบบวัยไม้ใกล้ฝั่ง“ขอบใจนะนิดหน่อยที่โทรมารายงานความคืบหน้า มีอะไรก็โทรมาบอกอีกนะ”“ได้เลยค่ะป้าหง
“ต้นนี้ขายดีเลยนะ ต้นกวักมรกต ใบสวย เขียวเข้ม แข็งแรง ดูแลง่ายมาก ไม่ต้องรดน้ำบ่อย เลี้ยงในบ้านหรือในห้องทำงานก็ได้ แถมชื่อเป็นมงคล เหมาะจะให้เป็นของขวัญ”“ได้เลย เอาต้นนี้หนึ่ง แล้วมีต้นไหนที่หมายถึงความโชคดีอีกมั้ย”คราวนี้มนิษาหันไปยกกระถางต้นโป๊ยเซียนจิ๋วที่กำลังมีดอกสีชมพูอ่อน “โป๊ยเซียน ไม้มงคลแห่งโชคลาภ เชื่อกันว่าถ้าเลี้ยงจนออกดอกครบแปดดอก จะนำโชคดีมาให้”ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ“ต้องรอให้ครบแปดดอกเลยหรือถึงจะโชคดี?”มนิษาเผลอหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก“ก็แค่ความเชื่อน่ะค่ะ ถ้าเราคิดว่าโชคดีเสียอย่างก็ไม่ต้องรอครบแปดดอกก็ได้ จริง ๆ แล้วโป๊ยเซียนเป็นไม้ดอกที่ปลูกง่ายนะ มีดอกตลอดปี แต่บางคนเชื่อผิด ๆ เพี้ยน ๆ ว่าต้องเป็นโป๊ยเซียนที่แอบขโมยมาถึงจะขลัง ฟังแล้วโมโหอยากให้โดนหนามโป๊ยเซียนตำสักที”ธีทัตยิ้มขัน เขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามีความเชื่อแบบนี้ด้วย“แล้วถ้าเพื่อนพี่อยากให้ชีวิตมันราบรื่น สงบสุขอะไรทำนองนั้น ควรให้ของขวัญเป็นต้นอะไรดี”&ldquo
“สวัสดีครับน้องมะนาว เปิดร้านแต่เช้าอย่างนี้ทุกวันเลยหรือ พี่นึกว่าจะยังไม่เปิดเสียอีก”ธีทัต...ลูกค้าคนแรกของเช้านี้เอ่ยทักอย่างสดใส รอยยิ้มหล่อเหลาของเขาเจิดจ้าพอ ๆ กับแสงตะวันของเช้าวันใหม่ แต่มนิษาไม่ได้ยิ้มตอบด้วย เธอชี้มือไปที่แผ่นไม้ที่มีระบุเวลาเปิดปิดไว้ชัดเจน“แล้วเห็นป้ายไหมล่ะ...คะ”ชายหนุ่มหัวเราะอีกตามเคย“มะนาวพูดอย่างนี้กับลูกค้าทุกคนเลยหรือ”“เปล่า ถ้าเป็นลูกค้านาวจะพูดดีด้วย แต่กับคนที่ไม่ใช่ลูกค้า ไม่ต้องพูดไพเราะด้วยก็ได้”“รู้ทันจริง ๆ ด้วยแฮะ พี่ก็ไม่ใช่ลูกค้าจริง ๆ นั่นแหละ ที่มานี่ก็คึอจะมาหาส้มหวาน”“นั่นไง ฉันว่าแล้วว่านายต้องมีจุดประ...”มนิษาชะงักเมื่อมีหญิงสาวตัวสูงปรี๊ดอีกคนเดินตามธีทัตเข้ามาในร้านต้นไม้ หล่อนสูงเกือบเท่า ๆ ชายหนุ่มทั้งที่ไม่ได้ใส่ส้นสูงและที่สำคัญคือสวยมาก สวยจัด ๆ ผมยาวดำขลับมัดเป็นหางม้าเผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาขาวใสเหมือนถ้วยกระเบื้องหญิงสาวเจ้าของร้านต้นไม้ใจหล่นวูบ จำได้ทันทีว่าผู้หญิ
“อิ่มแล้วหรือธี กินอะไรเพิ่มอีกหน่อยดีไหม เช้า ๆ ต้องกินให้อยู่ท้องเข้าไว้นะ แล้วค่อยไปเบาตอนมื้อเย็น ๆ"ธิดาเอ่ยกับลูกชายระหว่างนั่งรับประทานอาหารมื้อเช้าด้วยกันพร้อมหน้าในห้องอาหารของครอบครัว เช้านี้แม่บ้านคนสนิทของหล่อนทำข้าวต้มปลาไว้ให้ และก็ไม่ลืมอาหารเช้าสไตล์อเมริกันอย่างขนมปัง แฮม เบคอน ไข่ดาว ให้ชายหนุ่มอย่างธีทัตด้วย“ขอเป็นขนมปังปิ้งกับกาแฟอีกแก้วก็พอครับ”แม่บ้านได้ยินก็รีบจัดมาให้ ธีทัตเอ่ยขอบคุณตอนที่แม่บ้านรินกาแฟดำร้อน ๆ ใส่แก้วให้เขา สำหรับคุณธี กาแฟดำไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาล เมื่อก่อนธีทัตชอบดื่มโอเลี้ยง แต่เมื่อเรียนใกล้จบและเริ่มสังเกตว่าเพื่อนหญิงในคณะมักจะมองว่าผู้ชายที่ดื่มกาแฟดำเพียว ๆ นั้นเท่กว่า เขาจึงบังคับตัวเองให้ดื่มแต่กาแฟดำมาตั้งแต่นั้นเพราะอยากเท่ในสายตาสาว ๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพอะไรทั้งสิ้น“แล้ววันนี้ต้องรีบเข้าออฟฟิศหรือเปล่า”“ไม่รีบครับ วันนี้แม่จะให้ธีพาไปไหนหรือเปล่า”ธีทัตถาม เพราะบางวันที่แม่เขามีธุระนอกบ้าน จะเรียกให้ลูกชายมาขับรถให้“วันนี้แม่ไม่ใช้บริการเราหรอก พ่อเขาจะขับรถพาแม่ไปเอง แค่ว่าถ้าธีไม่รีบ แม่ก็อยากจะชวนคุยเรื่องหมั้นกับส้มหว
“ไอ้แนต...อีแนต!”ธีทัตร้องทักเสียงดังแต่หน้าตาร่าเริงผิดกับภาษาที่ใช้ ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าคนที่เขาเพิ่งเอ่ยชื่อมานี้ต้องสนิทสนมกันพอสมควร และก็จริงตามนั้น เพราะหญิงสาวร่างสูงชะลูดราวนางแบบวิกตอเรียซีเคร็ตไม่แสดงทีท่าโกรธขึ้ง แม้เธอจะเชิดหน้าขึ้นอย่างคนที่ทนงในความสวยก็ตามที“แนตตี้ค่ะ และไม่มีคำว่าไอ้อีนำหน้าด้วย ได้โปรดสุภาพกับสตรีด้วยนะคะไอ้คุณธี”แนตตี้หรือชื่อในบัตรประชาชนว่านาตาชาสวนกลับเพื่อนรักทันควัน ธีทัตหัวเราะ เดินตรงไปหาให้ใกล้พอจะดึงแนตตี้ไปกอดและหอมแก้มซ้ายขวาอย่างมันเขี้ยว "ว้าย กรี๊ด คนลามก อย่ามาถูกเนื้อต้องตัวฉันนะ!"แนตตี้วี้ดว้ายอย่างรังเกียจ แต่สองมือกลับถือโอกาสลูบคลำกล้ามแน่น ๆ ของธีทัต ธีทัตก็ไม่หวงตัว ยังคงกอดรัดเธออย่างมันเขี้ยวจนแนตตี้ต้องเป็นฝ่ายร้องขอชีวิต“โอ๊ย อีธี จูบขนาดนี้มึงลากกูไปปล้ำเลยมั้ยคะ”“ก็สวยจนอดใจไม่ไหวนี่ครับ แต่คุณนาตาชาพูดมึงพูดกูทีไร หมดสวยทุกทีนะคุณ”“ค่ะ!”แนตตี้มองค้อน ก็ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนถึงปีห้า ไม่เคยมีวันไหนที่ในคณะจะไม่พูดภาษาพ่อขุนรามฯ ใส่กัน“แล้วนี่มาทำไมอีก บ้านช่องไม่คิดจะกลับหรือไง อยู่นานไปแล้วนะแกน่ะ”“ไม่ได้มาหา