LOGIN“สวัสดีค่ะ...มาพบพี่มะม่วงค่ะ”
จิวารีแจ้งความประสงค์ที่หน้าประชาสัมพันธ์ของบริษัทตามรายละเอียดในนามบัตรที่พี่มะม่วงให้มา และนัดเจอกันในวันนี้ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เดินนำสองหนุ่มสาวมาที่โซนรับรองหลังจากโทรแจ้งเจ้าของงานให้ทราบ ไม่นานสาวในร่างชายก็เดินเข้ามาหาที่โต๊ะ
“สวัสดีค่ะ...สวัสดีครับ” สองหนุ่มสาวเอ่ยทักทายมะม่วงพร้อมกัน และยกมือไหว้
“สวัสดีจ้ะ” รับไหว้อย่างอ่อนช้อย
“พี่ดีใจที่น้องสองคนมานะ” ภายใต้หนวดและเคราหนายังสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มหวานและอ่อนโยนของเขา พูดคุยทักทายนอกเรื่องกันอยู่สักพัก ก่อนจะวกเข้าเรื่องงาน มะม่วงกางเอกสารข้อตกลงในการทำโปรเจกระยะสั้นพร้อมอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ของการทำงานให้สองหนุ่มสาวเข้าใจ
“น้องอ่านทวนรายละเอียดดูอีกครั้งนะคะ หากไม่เข้าใจส่วนไหนก็ถามพี่ได้เลย เดี๋ยวพี่กลับมานะคะ”
ยื่นเอกสารให้และเดินออกไป อิทธิพลรับมาอ่านรายละเอียดด้านในจนครบทุกหน้าก่อนจะวางลงบนโต๊ะและถ่ายทอดต่อให้จิวารีฟัง เมื่อเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายตารางงานก็ถูกเซ็ทขึ้นตามข้อตกลง โดยนัดเริ่มการทำงานในสัปดาห์หน้า
“ขอบคุณนะดิน” แววตาเป็นประกายไหวระริกด้วยความตื่นเต้น สองมือบางเกาะแขนเพื่อนชายและยิ้มไม่ยอมหุบ ชายหนุ่มแค่ยิ้มมุมปากเท่านั้น
สตูดิโอถ่ายทำที่ค่อนข้างชุลมุน ทั้งจากนายแบบนางแบบหน้าใหม่และเจ้าหน้าที่ที่เดินสวนกันไปมาในการเตรียมงาน หนุ่มสาวหลายคู่ที่นั่งรอในแต่ละมุม โดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่รับผิดชอบในแต่ละส่วนแจ้งรายละเอียดเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการถ่ายทำ
ด้านข้างเป็นห้องเสื้อผ้าที่เตรียมไว้สำหรับการถ่ายภาพในวันนี้ ถัดมาคือโซนแต่งตัว แต่งหน้าและเซ็ทผม โดยมีผู้ช่วยสไตลิสต์ประจำจุดคอยอำนวยความสะดวกเดินขวักไขว่กันไปมาให้วุ่น ถัดมาคือจุดบรีฟงาน ซ้อมโพสต์ท่าถ่ายรูปก่อนการทำงานจริง โดยมีตัวอย่างให้ดูเป็นไกด์ไลน์
จิวารีอยู่ในเซ็ทกางเกงยีนสีอ่อนกับเสื้อครอปแขนกุดโชว์เอวบาง แต่คลุมทับด้วยแจ็คเก็ตยีนสุดเท่ในลุคเซ็กซี่ซ่อนเซอร์ ผมยาวถูกดัดลอนใหญ่ปล่อยวอลลุ่ม
อิทธิพลสวมกางเกงยีนสีเข้มกับเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยแจ็คเก็ตยีนโทนเดียวกันสำหรับผู้ชายที่ไม่ค่อยวุ่นวายกับแอกเซสซอรี่ก็เท่ได้ง่าย ๆ
หลังจากผ่านการตรวจโดยสไตลิสต์ว่าตรงตามคอนเซป ฉากและพร็อพที่จัดเตรียมไว้อย่างลงตัวเรียบร้อยแล้ว ผู้ช่วยตากล้องบรีฟงานอยู่ด้านหน้าคอยตรวจสอบและเซ็ทมุมกล้องเรื่องแสงและเงาก่อนตากล้องมืออาชีพจะมาถึง การถ่ายภาพก็เริ่มขึ้น
นายแบบและนางแบบเดินเข้าไปในฉาก เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความเรียบร้อยโดยรวมอีกครั้ง เสียงชัตเตอร์และแสงแฟลชวิบวับจนแสบตาของตากล้องมืออาชีพดังอยู่เป็นระยะ ขณะที่นางแบบและนายแบบโพสต์ท่า
สองหนุ่มสาวนั่งขัดสมาธิข้างกันเข่าชนเข่า เหยียดแขนตรงมือไขว้ประสานวางที่ข้อเท้าของตัวเอง หันหน้าไปด้านข้างมองหน้ากัน
“ขยับเข้าใกล้กันอีกนิดนึงครับ”
“เอียงตัวเข้าหากันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ให้จมูกชนกันครับ”
“อย่าแข็งทื่อเหมือนคนแปลกหน้า ให้ถึงความรู้สึกของคู่รักด้วยครับ”
เสียงสั่งห้วน ๆ จากมืออาชีพ นางแบบและนายแบบจำเป็นขยับตามโดยทันที ไม่มีเวลาให้เอ้อระเหยลอยชาย เพราะทุกวินาทีของการทำงานนั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรตามคำบอกกล่าวของพี่มะม่วง
“ฉะนั้นให้น้องทั้งสองคนว่องไวและคิดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพนะคะ เพราะเรากำลังทำงานกับโปรเฟสชันนัลค่ะจะได้ไม่โดยดุนะคะ” เสียงของพี่มะม่วงยังก้องอยู่ในหู
อิทธิพลโอบกอดรวบต้นขาเรียวทั้งสองข้างยกร่างเธอให้ลอยขึ้นจากพื้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง จิวารีต้องก้มหน้าลงเพื่อจูบที่จมูกของเขา แต่กว่าภาพจะเป็นที่พอใจของตากล้องก็ยกแล้วยกอีก จูบแล้วจูบอีกจนทั่วใบหน้า ทั้งปาก หน้าผาก คาง และแก้ม
พร้อมกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่โผล่ขึ้นมาให้เห็นแบบไม่เคยเป็นมาก่อนของจิวารี แต่ไม่มีเศษเสี้ยวเวลาให้ขวยเขิน เพราะต้องถ่ายต่ออีกหลายซ็อต จับมือวางตรงนั้นตรงนี้ตามแต่ผู้ช่วยจะสั่งหลายท่า กว่าจะเป็นที่พอใจของทีมงาน
“เปลี่ยนชุดด้านนี้เลยค่ะ”
สองหนุ่มสาวเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนชุด ระหว่างที่รอ ทีมงานก็เปลี่ยนฉากธีมใหม่ จิวารีมองดูตัวเองที่หน้ากระจกใสบานใหญ่พลางนึกถึงการโพสต์ท่าที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่
“ก็แค่การทำงานทำไมใจเต้นแรงจังวะ”
“ไอ้ดินมันยังนิ่ง ๆ เฉย ๆ อยู่เลยแท้ ๆ ทำไมเรารู้สึกแปลก ๆ” ถามตัวเองในใจผ่านหน้ากระจกเงา
“ก็แน่ล่ะเราไม่เคยมีแฟนนี่นา ไม่เคยมีโมเม้นท์แบบนี้ ไม่เคยถูกผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวในแบบฟิวแฟนเลยสักครั้ง จะมีก็แต่เพื่อนผู้ชายที่กอดคอกันในแบบเพื่อนเท่านั้น มันก็ต้องแปลกเป็นธรรมดาปะวะ” หญิงสาวปลอบใจตัวเอง
ก่อนจะรวบรวมสติสูดลมหายใจเข้าลึกสุดและผ่อนออกแบบยืดยาว จะให้ไอ้ดินมันรู้ว่าเราตื่นเต้นไม่ได้ โดนล้อตายแน่ ก่อนจะเดินออกมาข้างนอก
ม้านั่งถูกยกมาเป็นฉากสำหรับถ่ายภาพเซ็ทต่อไป ถูกจัดไว้เรียบร้อย
“น้องผู้ชายนั่งไขว่ห้างเลยครับ น้องผู้หญิงนอนลงที่ตักครับ”
“เชี่ย” หญิงสาวอุทานในใจ เพิ่งจะเซ็ทศูนย์ให้ความรู้สึกตัวเองมาใหม่เมื่อครู่นี่เอง แต่ทำได้แค่ปฏิบัติตามเท่านั้น
ผู้ช่วยตากล้องเดินเข้ามาจัดท่าโพสต์ให้ จิวารีนอนหนุนตักแข็งแรง โดยยกขาขึ้นชันเข่าข้างเดียว แขนแข็งแรงของอิทธิพลโอบเอวบางของคนที่นอนหนุนตักอยู่ อีกมือวางอยู่ที่ศีรษะของหญิงสาว
“มองหน้าและสบตากันด้วยครับ”
“ขอแบบรีแล้กนะครับอย่าเกรง”
เหมือนเวลามันเดินช้าลง จิวารีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากท่ามกลางเสียงชัตเตอร์และแสงแฟลช ไม่พอแค่นั้นเธอต้องจับมือของชายหนุ่มเอามาวางแนบหน้า ก่อนจะลุกขึ้นนั่งที่ขาข้างเดียวของเขาและโอบกอดรอบคอเขาไว้ อิทธิพลกอดเอวบางดึงเข้ามาชิดตัว แนบหน้าผากชนกัน
นี่มันถ่ายแฟชั่นเสื้อผ้าแน่นะวิ ทำไมต้องโพสค์ภาพแปลก ๆ แบบนี้ด้วย แต่เขาก็บอกแล้วว่า “ฟิวแฟน” เป็นเธอเองที่คิดแต่เรื่องค่าตอบแทนจนลืมว่างานจะออกมาประมาณไหน
“ดีหน่อยว่าไอ้ดินมันไม่ได้คิดอะไร” ปลอบใจตัวเองครั้งที่ร้อยแปด
“พักก่อนนะคะอีกเซ็ทสุดท้ายก็จบแล้วค่ะ”
เสียงสวรรค์จากเจ้าหน้าที่ เมื่อการทำงานกินเวลายาวนานไปหลายชั่วโมง ก่อนที่ทั้งสองจะไปที่ห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยนชุด การถ่ายทำใหม่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
อิทธิพลนั่งที่ม้านั่งจิวารียืนอยู่ด้านหลัง มือบางวางไว้ที่ไหล่กว้างยื่นหน้าเข้ามาใกล้ชายหนุ่ม จมูกแนบอยู่ข้างแก้มของฝ่ายชาย ภายใต้ใบหน้านิ่งของอิทธิพลรับรู้ได้ถึงก้อนเนื้อนุ่มตรงกลางอกของหญิงสาวที่แนบอยู่กับแผ่นหลังเขา แต่ต้องนิ่งที่สุดเพื่อให้งานจบได้โดยที่ฝ่ายหญิงไม่อึดอัด
ต่อมาคือหญิงสาวนั่งบนโต๊ะ ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้และแทรกเข้ามาหว่างขาของเธอ สองแขนแข็งแรงวางแนบที่หน้าขาเรียว จิวารีสอดมือเข้าไปที่ท้ายทอยของชายหนุ่ม อีกมือแตะประคองต้นคอแข็งแรงไว้ เงยหน้าขึ้นสบตากัน
โพสค์ท่านั้นท่านี้กว่าจะสาแก่ใจคนสั่งนางแบบก็ร้อนวูบวาบไปทั้งร่างแล้ว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยที่จะนั่งกางขาต่อหน้าผู้ชายแบบนี้มาก่อน ให้ตายเถอะโรบิ้น ก่อนที่งานจะจบลงด้วยดี พร้อมกับเสียงปรบมือของผู้ช่วยและช่างภาพ
“สัปดาห์หน้าเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือจะถูกโอนเข้าเข้าบัญชีน้องตามที่ตกลงกันไว้นะคะ” พี่มะม่วงแจ้งรายละเอียดอีกครั้ง
“วันนี้ขอบคุณมากที่ให้ความสนใจในแบรนด์ใหม่ที่กำลังเริ่มต้นของเรา หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกครั้งนะคะ”
“ขอบคุณเช่นกันค่ะพี่มะม่วง”
“ขอบคุณนะครับ”
ก่อนสองหนุ่มสาวจะขอตัวกลับ และเดินออกจากบริษัทไป
“วันนี้ไม่มีร้องเพลงใช่ไหม?” อิทธิพลหันไปถามคนข้าง ๆ
“ไม่มี ถึงได้เลือกทำงานพิเศษวันนี้ไง”
“เห็นหรือยังว่าการถ่ายรูปมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เธอคิด” ปรายตามองหน้าคนที่เดินออกมาด้วยกัน
“มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก” เฉไฉไปทำเหมือนว่าชายหนุ่มจะมองไม่ออกเสียอย่างนั้น
“หาอะไรกินก่อนไหม?” ถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากได้ยินเสียงท้องที่ร้องขออาหารจากเธอ
“ไม่ดีกว่า เหนื่อยอยากพักแล้วเดี๋ยวกลับไปกินข้าวฝีมือพ่อดีกว่า”
“อือ”
ถึงบ้านก็เดินขาลากเข้าบ้านอย่างอ่อนแรง
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอ?” เสียงทักจากพ่อโจ
“จ้าพ่อ”
“กับข้าวเสร็จแล้วรีบกินสิเดี๋ยวเย็นมันจะไม่อร่อย” หลังจากได้รับคำสั่งจากลูกสาวที่โทรมาบอกว่าหิวจนตาลายผู้เป็นพ่อก็เตรียมไว้ให้เรียบร้อย
“พ่อกินแล้วเหรอ?”
“พ่อกินตั้งแต่หัวค่ำละ แล้วพี่แกมันหายหัวไปไหนยังไม่โผล่มาให้เห็นเลย”
“สงสัยไปซ้อมร้องเพลงหรือเปล่า” พูดแบบไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัวกินข้าวอย่างคนหิวโซ และรีบอาบน้ำเข้าห้องนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย
อิทธิพลนอนเอนหลังบนเตียงแต่ตาไม่ยอมหลับทั้งที่เพลียร่างอย่างแรง จับโทรศัพท์ขึ้นมาแล้ววางลง ก่อนจะจับขึ้นมาใหม่อีกหลายครั้งอยู่อย่างนั้น ตัดสินใจพิมพ์ข้อความและกดส่งหาคนที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อตอนเย็น
“นอนยัง?”
แต่ข้อความก็ไม่ถูกเปิดอ่าน นี่คงจะหลับไปแล้วหรือเปล่า คงจะเหนื่อยมากละสิ ก่อนที่ภาพการทำงานในวันนี้จะผุดขึ้นมาในภาพความทรงจำ และเผลอไปมองตามมันยิ้มที่มุมปากอย่างลืมตัว ผู้หญิงแกร่งห้าวเป้งถนัดเตะต่อยไปทั่ว แค่เข้าใกล้และสัมผัสร่างกายกันเธอก็หน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหูเสียแล้ว พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายเธอที่ติดมากับลมหายใจของเขาอย่างแปลกประหลาด จนทำให้นึกถึงใบหน้าเจ้าของกลิ่นขึ้นมาทันที
ลมหายใจแผ่วเบาของเธอที่เป่ารดใบหน้าของเขาในระยะใกล้ ปากที่เผยอน้อย ๆ ตามคำสั่งของผู้ช่วยตากล้องมันชวนให้ชายหนุ่มคิดเตลิดไปไกล สายตาที่ช้อนขึ้นมองเขาไหวระริกเหมือนกระต่ายน้อยที่กลัวนายพราน ทั้งที่วางท่ามาดแมนปกปิดไว้ให้การแสดงออกภายนอกดูเหมือนชิว แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







