Masuk“เอาล่ะครับ เราดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายของค่ำคืนนี้แล้ว เกมต่อไปมีชื่อว่า ฉันและเธอ”
“กติกาคือ จะหมุนขวดสองครั้งหากปลายขวดชี้ไปที่ใคร สองคนนั้นจะต้องรับบทเป็นแฟนกันจนกว่ากิจกรรมจะจบลงในวันพรุ่งนี้ แต่สำคัญที่สุดคือการให้เกียร์ติซึ่งกันและกันด้วยนะครับ...เพราะนั่นคือแฟนคุณ”
“เริ่ม”
เกมสุดท้ายของค่ำคืนที่ควรจะจบลงด้วยความสุข แต่กลับทำให้ทุกคนต้องลุ้นระทึกยิ่งกว่าลุ้นผลสอบปลายภาคเสียอีก
หนุ่มตี๋ผิวบางร่างเล็กนิสิตใหม่รุ่นน้องนักวิ่งเท้าไฟของชมรม ยืนลุ้นกับการปั่นขวดในมือของรุ่นพี่ ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่จะมารับบทเป็นแฟนเขาในคืนนี้ ทุกสายตาจับจ้องกับปลายขวดไปพร้อม ๆ กัน ที่กำลังชะลอความเร็วลงเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุด นิ่ง...สนิท
“ไม่นะ” จิวารีอุทานเสียงแหบพร่า พร้อมกับหัวใจที่หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เงยหน้ามองแฟนสมมุติของเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ขอแสดงความยินดีกับคู่รักคู่ใหม่ จิ๋ว เปาเปา คร้าบ” เสียงปรบมือเกรียวกราวที่ทำให้จิวารีถึงกับเข่าอ่อน ส่วนรุ่นน้องเปาเปาที่ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้เธออย่างพึงใจ
เอวาบีบมือเพื่อนสาวเบา ๆ เป็นการปลอบใจและกลั้นขำไปพร้อมกัน
เกมสุดท้ายสิ้นสุดลง พร้อมกองไฟที่เหลือเพียงเถ้าถ่านและควันบาง ๆ เท่านั้นเสียงจิ้งหรีดที่ดังในความมืดเหมือนคำยินดีและเยาะเย้ยล้อเลียน กับคู่รักฟ้าประทานจากเกมของรุ่นพี่ที่มอบให้ บ้างก็ได้แฟนเพศเดียวกัน ชายกับชาย หญิงกับหญิง รุ่นพี่กับรุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งรุ่นน้องด้วยกันเอง บางคู่ที่สร้างเสียงหัวเราะ บางคู่ถึงกับหัวร้อนเพราะได้เพื่อนเป็นแฟนและแกล้งกันจนฮากลิ้ง ไล่เตะกันรอบกองไฟกันชุลมุน
“กิจกรรมในค่ำคืนนี้สิ้นสุดลงแล้ว ก่อนจะเข้าสู่ช่วงพักผ่อนใครมีคำถามใดๆ จะถามไหมครับ?”
“พี่ต้นคะ” เสียงจากสาวสวยไฮโซแอนนี่
“ว่าไงคะน้องแอนนี่?” เสียงอบอุ่นจากพี่ต้น
“คือ...แอนนี่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนและที่บ้านค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องนี้ และแอนนี่กลัวว่าหากต้องเป็นแฟนกันจนกว่าจะจบกิจกรรม มันอาจส่งผลไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่กับกิจกรรมอื่นน่ะคะ แอนนี่ก็เลยจะขอเปลี่ยนสถานะกับสมบัติได้ไหมคะ?”
พร้อมชายตาไปมองเหยียดแฟนสมมุติที่ไม่โดนใจเธอเลยสักนิด พี่ต้นฟังสาวสวยพูดจนจบแล้วหันไปมองสมบัติที่ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ตรงหน้า
“ได้อยู่แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ” แอนนี่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจและโล่งอก
“ในเมื่อน้องแอนนี่ไม่สะดวกใจที่จะรับเป็นแฟนของสมบัติ และกล้าที่จะเอ่ยขอเพื่อเปลี่ยนกติกา พี่ก็กล้าจะให้ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นสถานะแฟนของแอนนี่และสมบัติสิ้นสุดลง ณ เวลานี้ทันที”
“และให้เปลี่ยนสถานะใหม่โดยให้แอนนี่เป็นคนรับใช้ของสมบัติจนกว่ากิจกรรมจะสิ้นสุดลง”
“อะ...อะไรนะคะ?” แอนนี่หน้าเหวอ
พี่ต้นเดินไปตบไหล่สมบัติเบา ๆ
“ดีใจด้วยนะ”
“ขอบคุณครับพี่ต้น” สมบัติกลั้นขำไว้
“ใครมีอะไรจะขออีกไหมครับ?”
สิ้นเสียงพี่ต้นทุกอย่างก็เงียบกริบ คนที่กำลังจะป้อนคำถามรูดซิปปากปิดสนิททันที
“หากไม่มีอะไรแล้วขอปิดกิจกรรมในคืนนี้เพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนพักผ่อนนอนหลับให้สบายแล้วเจอกันพรุ่งนี้ กุ๊ดไนท์ครับ”
จิวารีและเอวาเดินหิ้วถุงพะรุงพะรังกลับเต็นท์ ด้านในถุงคือเครื่องดื่มและของขบเคี้ยวกะจะขนกลับไปนั่งดื่มที่เต็นท์เบา ๆ ชมบรรยากาศในยามราตรีชิว ๆ กับคนรู้ใจก่อนนอน แต่ก็มีมารมาผจญจนได้
“นายจะเดินตามอะไรฉันหนักหนาฮะ กลับไปที่พักนายได้แล้ว?” จิวารีหันไปดุหนุ่มรุ่นน้องเปาเปาที่เดินตามต้อย ๆ ทำตัวเหมือนเป็นบอดี้การ์ดที่เธอไม่ต้องการ
“ก็เราเป็นแฟนกันนี่ครับ” ตอบอย่างภาคภูมิใจส่งยิ้มหวานให้เธอจนน่ากลัว
“มันก็แค่เกมที่จบแล้วปะวะ” หันไปมองหน้าและระงับอารมณ์อยู่
“จบพรุ่งนี้ตอนขากลับครับ” ก้าวขาตามอย่างไม่ลดละเหมือนตั้งใจกวนประสาทแต่หน้าซื่อจนน่าหมั่นไส้
จิวารีส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด พี่ต้นนะพี่ต้น หาเกมอะไรมาเล่นให้ปวดสมองก่อนนอนเสียจริง และเลือกที่จะไม่สนใจสิ่งแปลกปลอมข้าง ๆ เดินคุยเล่นกับเอวามาจนถึงเต็นท์ วางถุงในมือลงที่โต๊ะปิกนิกสำหรับแคมป์ปิ้ง และจัดเตรียมเครื่องดื่มกับแกล้มเรียบร้อย
“แล้วนี่ดินไปไหนเนี่ย?” เอวากวาดตามองหาเพื่อนชายยังไม่ทันจะกดโทรหา เจ้าของชื่อก็เดินตรงมาที่เต็นท์พร้อมกับเพื่อนชายอีกคนที่เดินตามหลังมา
“กูขอนอนด้วยคนละกันคืนนี้” เก่งเอ่ยปากขอ มองดูเต็นท์ที่กางไว้เรียบร้อยของอิทธิพล
“ไม่ได้...เต็นท์กูเล็กสำหรับนอนคนเดียว”
“แต่กูไม่มีที่นอน”
“แล้วห้องพักมึงล่ะ?”
“ไอ้เบนซ์มันมีสาวมาค้างด้วยมันล็อกห้องแล้วกูเข้าไม่ได้”
“ก็เรื่องของมึงป่ะ ไม่ใช่เรื่องของกู” อิทธิพลพูดแบบไม่มองหน้าเพื่อน
“แต่กูเป็นแฟนมึงนะ” เก่งทำตาละห้อยแกล้งยั่ว
“ไอ้เก่งมึงอย่างทะลึ่งเกมจบแล้ว” หันไปดุเพื่อนและเดินลงไปนั่งข้างเพื่อนสาว สายตามองเลยไปที่เปาเปา
“เฮ้ย ไอ้นั่นน่ะทำไมไม่กลับที่พัก?”
“ผมยังไม่ง่วงครับ ขอนั่งเป็นเพื่อนพี่จิ๋วก่อน” เปาเปาตอบอย่างมั่นหน้า
“ฉันมีเพื่อนแล้วนายกลับไปเถอะ” จิวารีตอบแบบไม่ลังเล
“ผมยังไม่อยากกลับครับ” หน้าซื่อตาใสเสียจริงไอ้ตี๋นี่
ผ่านไปไม่นานคนที่บอกยังไม่ง่วงและยังไม่อยากกลับที่พักก็ฟุบหมดสภาพอยู่ตรงหน้า เพราะโดนแก้วที่ชงให้เข้ม ๆ จากอิทธิพล ส่วนจิวารีนั้นยกกระดกเหมือนเทน้ำลงบ่อเพราะหงุดหงิดและรำคาญ จนตอนนี้แก้มแดงปลั่ง ตาหวานเยิ้มนั่งไม่ตรงแล้ว
เสียงสั่นที่หน้าจอโทรศัพท์ของเอวาดังขึ้น เธอกดรับสายพูดคุยสักพักและวางไป
“จิ๋วฉันต้องออกไปหาแม่นะ ตอนนี้สร้างเรื่องอยู่หน้ารีสอร์ตน่ะลุงบรรจงเอาไม่อยู่แล้ว”
คำบอกเล่าของเอวาคือพิมพ์พรรณผู้เป็นแม่ โดนแฟนเด็กบอกเลิกกะทันหันและตอนนี้กำลังเฮิร์ทหนัก เมาจนพูดจาไม่รู้เรื่อง ร้องห่มร้องไห้เสียงดังทั่วห้องอาหารของโรงแรม จนลุงบรรจงต้องโทรหาเอวาให้มาจัดการ สาวใหญ่ผู้อาภัพรักหลังจากแยกกับอดีตสามี ก็มีหนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบไม่หยุด แต่มาแบบไม่จริงจังสักราย ส่วนเธอนั้นจริงจังและเปย์หนักเสมอแต่สุดท้ายก็โดนเทอยู่ดี
“ดินฝากดูแลจิ๋วด้วยนะ” ชายหนุ่มพยักหน้า
“แกอยู่ได้ไหมหรือจะไปกับฉันก็ได้นะ” เอวาลังเลทั้งเป็นห่วงเพื่อนและเป็นห่วงแม่
“ไม่เป็นไรดีกว่าแม่แกกำลังไม่โอเค แกไปดูแลแม่เถอะฉันอยู่ได้ แป็บเดียวก็เช้าแล้ว คืนนี้ฉันจะไม่นอนจะนั่งดื่มกับไอ้ดินจนสว่างเลย”
อ้อแอ้พูดเสียงเบา เบิกตาขึ้นสุดชีวิต ยกแก้วขึ้นดื่มมือไม้อ่อน
“เมาก็พอแล้วพักผ่อนเถอะ” อิทธิพลดึงแก้วในมือหญิงสาวมาวางลง จิวารีนั่งหลับตาเท้าคางบนโต๊ะ ชายหนุ่มเก็บเคลียร์ทำความสะอาดพื้นที่ แยกขยะทิ้ง หันไปอีกครั้งคนที่บอกจะอยู่ยันสว่างมุดเข้าไปนอนในเต็นท์แล้ว
เคลียร์พื้นที่เสร็จก็ล้างหน้าล้างตา หยิบผ้าเย็นมาเช็ดเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกาย ยืนรับลมหนาวอ่อน ๆ ในความมืด เสียงจิ้งหรีดยังคงแข่งกับเสียงพูดคุยของกลุ่มนักศึกษาที่ยังปาร์ตี้กันต่ออย่างสนุกสนาน พลันก็สะดุ้งกับเสียงหวีดร้องในเต็นท์ของหญิงสาว หมุนตัวกลับทันทีไม่กี่ก้าวก็ถึงต้นเสียง
สภาพเต็นท์ที่บิดเบี้ยวเหยเก พร้อมกับร่างของจิวารีที่มุดออกมาด้านนอกอย่างตื่นตระหนก และตามมาด้วยร่างของเปาเปาที่คลานออกมาอย่างสะบักสะบอมด้วยฤทธิ์กำปั้นและศอกที่ทุบและกระทุ้งไปทั่วร่างของไอ้หนุ่มเท้าไฟจนหมดสภาพ คนในเต็นท์ข้าง ๆ โผล่หน้าออกมามองเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นคนเมาก็ผลุบหน้ากลับเข้าไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ถามด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวส่ายหน้า ความมึนเมาเมื่อครู่หายไปหมดเกลี้ยง
ส่วนไอ้เก่งยังนอนแผ่หลาไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ใกล้ ๆ อิทธิพลนั่งลงคว้าคอเสื้อของเปาเปาลากให้ลุกขึ้นยืนแต่เจ้าของร่างเหมือนโดนหักแขนขาไว้ อ่อนปวกเปียกจนต้องปล่อยลงกองกับพื้น
“ดูแล้วมันคงเมาไม่รู้เรื่องคงไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเธอหรอก”
อิทธิพลปลอบใจคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สองมือจับไหล่บางให้หันมาเผชิญหน้า จิวารียังคงตื่นตระหนกอยู่
“ฮะโหลไอ้ฟิล์ม มีคนเมาแล้วสร้างเรื่องมาหามไปเก็บหน่อย”
ปัญหาเปาเปาถูกจัดการเรียบร้อย ต่อไปก็เหลือร่างของไอ้เก่ง อิทธิพลลากเข้าไปนอนในเต็นท์ของสองสาว หากปล่อยให้เพื่อนนอนตากน้ำค้างอยู่ทั้งคืนก็กระไรอยู่
“เธอเข้าไปนอนในเต็นท์เราเถอะไม่ต้องกลัวหรอก เราจะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้แหละ”
“แล้วนายไม่ง่วงเหรอ?”
อิทธิพลส่ายหน้าทั้งที่ตาเริ่มจะปิดแล้ว
จิวารีพลิกตัวไปมาแต่ก็ยังข่มตาให้หลับไม่ลงเพราะความกังวลและรู้สึกไม่ปลอดภัย กลัวว่าหากเผลอหลับไปอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเองอีก แสงไฟที่ลานกิจกรรมอื่น ๆ ถูกปิดลงแล้ว เหลือเพียงโคมไฟส่องสว่างสลัว ๆ ตามทางเดินเท่านั้น มองเห็นเงาคนที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าเต็นท์ตะคุ่มอยู่
“ดิน” ชายหนุ่มหันไปตามเสียงเรียก จิวารีโผล่หน้าออกมานอกเต็นท์
“หืม”
“ไม่กล้าหลับอ่ะ” เสียงแผ่วเบาตาปรือ ทั้งง่วงทั้งเมา
“นายเข้ามานอนเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม?” มีที่ไหนทุบผู้ชายอีกคนแต่ชวนผู้ชายอีกคนเข้าไปนอนด้วยข้างใน
“เต็นท์มันเล็กจะอึดอัดไปหรือเปล่า?”
“ไม่อึดอัดหรอก” จิวารีตอบอย่างมั่นใจ
สองหนุ่มสาวนอนหันหลังให้กันพูดคุยอยู่สักพัก ก่อนจะเงียบเสียงไป อิทธิพลเงี่ยหูฟังเสียงหายใจของคนข้าง ๆ ในความมืด ก่อนเธอจะพลิกตัวมามือควานหาผ้าห่มเมื่ออากาศเริ่มเย็นลง
“มีผ้าห่มไหม?” งัวเงียถาม
“มี”
คว้าผ้าห่มและพลิกตัวคลุมร่างให้เพื่อนสาว
“นายไม่หนาวเหรอ?” แย่งที่นอนเขาแล้วยังมาแย่งผ้าห่มเขาอีก
จับผ้าห่มดึงไปคลุมร่างให้ชายหนุ่มคนละครึ่งผืน สองร่างเบียดชิดกัน แต่มากกว่านี้ก็เคยมาแล้วตอนถ่ายแบบ แค่นี้คงไม่เป็นไรหรอกกระมังหญิงสาวคิดในใจก่อนจะผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ อย่างโล่งอก เหมือนเด็กที่ถูกปกป้องจากฝันร้ายจนรู้สึกปลอดภัย
“ขอบคุณนะดิน” เสียงแผ่วเบาของคนที่กำลังจะเคลิ้มหลับ
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องวันนี้” เสียงเบาหวิวเหมือนกระซิบ
“อือ...หลับเถอะเราอยู่ตรงนี้ไม่มีใครกล้ามาทำอะไรเธอหรอก” กางแขนออกดึงร่างบางให้เข้ามานอนหนุนไหล่ มือหนาลูบเรือนผมเธอเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
“อือ” เสียงจากลำคออย่างแผ่วเบาของหญิงสาว เบียดตัวเข้าหาไออุ่นของร่างใหญ่ อิทธิพลพลิกตัวโอบกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ออกมาจากลมหายใจของสองร่างผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก บวกกับกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ เจือกันอยู่ในเต็นท์เล็กที่แสนอบอุ่น ลมหายใจอุ่น ๆ ของคนในอ้อมกอดเป่ารดลูกกระเดือกของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา
“แล้ว...ที่ไอ้เท...ขอโอกาส...เธอตกลงหรือเปล่า?” ตัดสินใจถามออกไป
“....” ไม่มีเสียงตอบรับของคนที่หลับสนิทแล้วในเวลาแค่ชั่วหยิบมือ
ส่วนอีกคนไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ พลันภาพในวันถ่ายแบบก็ผุดขึ้นมา อิทธิพลแพ้เสียงในหัวและเผลอทำตามเสียงนั้น ประทับริมฝีปากลงที่กลางหน้าผากของคนในอ้อมแขนอย่างแผ่วเบา เนิ่นนาน ก่อนจะเรียกสติตัวเองคืนมา
“เพื่อนกันต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอวะ?”
ถามตัวเองในใจก่อนจะสลัดภาพในหัวให้หลุดออกและข่มตาหลับ ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ เลือดในกายที่ยังร้อนวูบวาบอยู่และยังไม่ยอมสงบลงง่าย ๆ พลันสายลมหนาวก็พัดพาเสียงครางสุดสยิวของหญิงสาวที่ดังมาจากทิศทางใดไม่สามารถรับรู้ได้ รู้แค่เพียงว่า ร่างกายของเธอกำลังตอบรับความหฤหรรษ์ที่ได้รับ และดูเหมือนมันจะเอ่อล้นออกมานอกอกและพุ่งสูงจนถึงขีดแดงแล้ว
พาลทำให้ไอ้น้องชายใต้ร่มผ้าเริ่มตื่นตัวขึ้นมาฟังเสียงนั้น บวกกับภาพมโนในจินตนาการที่ฉายชัดขึ้นในหัว พร้อมกับเสียงของหญิงสาวคนเดิมที่ดังกระเส่าถี่ขึ้นเหมือนจะขาดใจ ดังอยู่อย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถควบคุมไว้ได้ ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนทรมานสำหรับเขาเสียจริง และคงไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้เสียแล้ว
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







