LOGINร้านก๋วยเตี๋ยวข้างหอพักมหาวิทยาลัยเจ้าเก่า ที่ถูกจัดเตรียมไว้รอลูกค้าเรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ ชายวัยกลางคนเจ้าของร้านพร้อมลูกมือคือเด็กชายตัวเล็กวัยสิบสองขวบที่วันนี้หยุดโรงเรียนและขอมาช่วยเพื่อหาค่าขนม กำลังเช็ดทำความสะอาดโต๊ะอยู่อย่างขะมักเขม้น เวลาเปิดปิดของร้านคือ เปิดช่วงบ่ายขายจนถึงเย็น ไม่นานก็หมดหม้อและเก็บล้างให้เสร็จเรียบร้อยถึงจะมีเวลาได้พักผ่อน
“ไอ้ธีมึงกับเอวาเดินเข้าไปนั่งโต๊ะริมเลยนะ”
“หลอกพ่อไปคุยที่โต๊ะอย่าให้พ่อหันมานะมึง” คือคำสั่งจากจิวากร
“แล้วผมล่ะ?” ตะวันถามขึ้น
“มึงไม่ต้องทำเหี้ยไรทั้งนั้น นั่งเฉย ๆ สั่งก๋วยเตี๋ยวแดก”
“ไปเลยเร็วเข้า”
หลังจากรับคำสั่งจากจ่าฝูงก็เริ่มปฏิบัติการ เนื่องจากหากผู้เป็นพ่อเห็นสภาพของ
จิวารีที่ลงจากเวทีมวยมาพร้อมกับหน้าตาที่ปูดบวมดูไม่จืดแบบที่เป็นอยู่ สองพี่น้องต้องโดนเชือดเป็นแน่แท้ โดยเฉพาะผู้เป็นพี่“พ่อหันหลังแกรีบวิ่งเข้าห้องเลยนะไอ้จิ๋ว”
“แต่ฉันหิวมากเลยนะพี่แจ็ค” คนเจ็บที่ยังห่วงกิน
“เออ...เดี๋ยวเอาไปให้แดก”
“พูดดีๆ” ตาเขียวใส่ผู้เป็นพี่ที่หยาบคายโดยนิสัย
“ครับ ๆ เดี๋ยวเอาเข้าไปให้รับทานจ้ะคุณน้องสาว”
“พ่อโจสวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะพ่อโจ”
เสียงทักทายจากหนุ่มสาวพร้อมกับยกมือไหว้และเดินไปนั่งโต๊ะริม ธีธัชจูงมือพ่อโจลากไปนั่งที่โต๊ะ เนื่องจากยังไม่มีลูกค้าเข้ามาในร้าน
“ผมมีเรื่องจะถามพ่อโจหน่อยครับ”
ถามและนั่งลงข้างตะวัน สายตาชำเลืองมองไปที่หน้าร้าน จิวารีกำลังวิ่งเข้าไปด้านใน
“มีอะไรจะถามพ่อเหรอ?”
ธีธัชทำท่านึกอยู่สักครู่ แต่เมื่อเห็นว่าแผนบรรลุผลแล้วเท่านั้น
“เฮ้ย...ลืมได้ไงเนี่ย ว่าจะถามอะไรนะเมื่อกี๊ ไอ้ตะวันมึงแหละเดินตัดหน้ากูลืมเลย” ชี้หน้าตะวันพร้อมส่ายหัวให้สมบทบาท
“ไว้นึกออกค่อยถามนะครับพ่อ” พร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ
“หิวจังเลยครับพ่อโจ ของผมเอาเส้นเล็กต้มยำครับ” ตะวันรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“วาเอาบะหมี่พิเศษจ้ะหิวมากเลยวันนี้” เอวาสั่งตามพร้อมส่งยิ้มสวยให้
“ได้ ๆ รอแป็บนึงนะ” ยิ้มตอบพร้อมกับจิวากรที่เดินมาสมทบกับกลุ่มเพื่อนพอดี
“อ้าว...แล้วไอ้จิ๋วไปไหนล่ะ?” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม
“วิ่งเข้าห้องไปเมื่อกี้ไง” เสียงจากไอ้จอมเด็กแสบที่มาช่วยลุงโจจัดร้าน
“....”
“แจ็คว่าพ่อต้องอบรมมันใหม่ด้วยนะไอ้จิ๋วน่ะ เอะอะอะไรก็มีแต่งอน สั่งสอนอะไรนิดอะไรหน่อยทำเป็นไม่พอใจวิ่งเข้าห้อง เฮ้อ...ของแจ็คเอาเส้นเล็กน้ำตกด้วย” นั่งลงเก้าอี้ถัดไป
“น้องกินอะไรหรือยังล่ะ?”
“เดี๋ยววาเอาไปให้เองจ้ะพ่อโจ จิ๋วชอบกินเส้นหมี่” เอวารับอาสา
“เดี๋ยวพ่อไปดูน้องหน่อย เอ็งไปทำก๋วยเตี๋ยวให้เพื่อนก่อน” และผละเดินออกจากโต๊ะ ตรงไปที่ห้องลูกสาวทันที
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูเรียก
“จิ๋ว...พ่อเองนะ”
“กินอะไรหรือยัง?
“มาหาอะไรกินก่อนไหม?” เงียบและฟังเสียงจากด้านใน
“ไม่จ้าพ่อ...จิ๋วไม่หิว” ทั้งที่หิวจนตาลาย ตะโกนตอบออกมาจากในห้อง
“เออ...ไม่กินก็ไม่ต้องกินงอนให้ตายไปเลยนะ” จิวากรที่เดินตามหลังพ่อมากลัวแผนแตกตะโกนแทรกขึ้นทันที
“เออ” เสียงแหกปากตะโกนตอบกลับจากหญิงสาวในห้องเพื่อความสมจริง พร้อมทั้งยกมือป้องปากกับแผลแตกมุมปากที่อ้ากว้างตะเบ็งเสียงออกไป
“ซี๊ดส์...โอ๊ย...แสบชิบหาย”
“เฮ้อ” แกสองคนนี่หัดคุยกันดี ๆ บ้างไม่ได้หรือไงนะส่ายหัวและเดินกลับไปลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวให้เด็ก ๆ ต่อ
หลังอาหารมื้อเย็นที่ลูกสาวไม่ยอมออกมากินข้าวร่วมโต๊ะ ผู้เป็นพ่อที่เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้อง มือที่กำลังง้างจะเคาะเรียกก็หยุดชงัก เสียงสองพี่น้องคุยกันฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ในห้องและผู้เป็นพ่อที่แนบหูแอบฟังอยู่ข้างประตู
“โอ๊ย เบา ๆ หน่อยพี่แจ็คฉันเจ็บนะ”
“ไม่เจ็บสิแปลก แกมันอ่อนหัดยังอวดดีไปชกกับมันอีก” ปากพูดไปมือก็หยิบคัตเติ้ลบัตชุบยาทารอยแตกที่มุมปากให้น้อง
“ไม่ต้องมาพูดเลย ดีนะฉันไม่ฟ้องพ่อที่พี่หลอกฉันไปต่อยเพื่อเอาเงินพนันน่ะ”
“เอามาแบ่งฉันเลย” แบมือยื่นไปตรงหน้า
“เอาน่าเดี๋ยวแบ่งให้”
“เมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้”
“แน่นะ?” เอียงคอถามสายตาลังเลกับคนเจ้าเล่ห์อย่างพี่ชายเธอ
“เออ”
“สัญญาก่อน”
ยื่นนิ้วก้อยให้พี่ชาย จิวากรยื่นนิ้วเกี่ยวก้อยกับน้องสาว
“ถ้าพี่เบี้ยวขอให้อกหักรักคุดหารักแท้ไม่เจอ” ยังไม่ทันขาดคำฝ่ามือหนาก็ฟาดลงตรงกลางศีรษะ
“ปากไม่ดีนะเอ็ง”
“เจ็บนะ”
ลุกขึ้นตอบโต้ผู้เป็นพี่พร้อมเสียงเอะอะโวยวาย แต่ทำอะไรร่างใหญ่ไม่ได้ที่เอาแต่หัวเราะเยาะเย้ยและล็อกแขนน้องไว้พร้อมกับเอามือป้ายปากหญิงสาว
“แหวะ เค็มปี๋ พี่แจ็คโคตรสกปรกเลย”
เธอถุยและพ่นความเค็มออกจากริมฝีปาก จิวากรหัวเราะชอบใจ
“เข้าห้องน้ำมายังไม่ได้ล้างมือเลย”
พูดเสร็จก็ทำท่าจะป้ายปากน้องอีกรอบ เสียงหัวเราะจากในห้องของสองพี่น้องทำให้ผู้เป็นพ่อที่แอบฟังอยู่ด้านนอกเผลอยิ้มตาม ถึงแม้สไตล์การเลี้ยงลูกของเขาหลังจากที่ภรรยาหนีไปกับคนรักใหม่ ในครั้งที่เกิดวิกฤตปัญหาด้านการเงินของครอบครัวและไม่กลับมาอีกเลยนั้น จะทำให้จิวารีออกแนวห้าว ๆ แมน ๆ เพราะติดจากนิสัยของผู้เป็นพี่จนชิน
ความรักความอบอุ่นจากเขาที่ให้กับลูกถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่จิวากรและ
จิวารีก็ไม่เคยแสดงออกว่าต้องการแม่เลยสักครั้งเพราะรู้ความจริงข้อนั้นดีอยู่แล้วว่าแม่ไปไหน สองพี่น้องไม่เคยเหลวไหลจนทำให้เขาต้องทุกข์ใจเลยสักครั้ง จะมีก็เพียงแค่ความห่าม ๆ ตามวัยบ้างเท่านั้นเอง“ทะเลาะกันเรื่องเดิมยังไม่ทันข้ามวันก็หาเรื่องใหม่มาทะเลาะกันอีกแล้ว” พึมพำคนเดียว ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปอย่างอารมณ์ดี
เสียงนกหวีดดังยิ่งกว่าแปดหลอดบวกกับเสียงเชียร์และเสียงพากย์บรรยากาศการแข่งขันที่ขอบสนามของมหาวิทยาลัย ดังมาเป็นระยะอย่างคึกคัก จิวารีนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ข้างสนามฟุตบอลกับเอวาอย่างเซ็ง ๆ เนื่องจากถูกขอร้องแกมบังคับให้มาเชียร์บอลเป็นเพื่อนเธอ
“นี่แกเชียร์ฝั่งไหนกันแน่เอวา ไหนบอกมาเชียร์นายดินไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นแกมองตามแต่พี่ลีโอตาเป็นมันอยู่นั่นแหละ?”
เอ่ยถามเพื่อนสาวที่ปากกับใจไม่ตรงกันมองตาเดียวยังดูออกเลย คนถูกทักยิ้มแห้ง ๆ ให้เพื่อนสาว
“เลิกยุ่งกับแม่งได้แล้วทั้งกลุ่มเลย”
ปากว่าเพื่อนแต่สายตามองทะลุลงไปที่สนามฟุตบอล ชายหนุ่มรูปหล่อนักกีฬารุ่นพี่ เทวฤทธิ์ ที่รู้จักกันมานานในชมรมกีฬา ก่อนที่ระยะหลังฝ่ายชายจะรุกตามจีบเธออย่างหนักเช้าบ่าย บวกกับคอยซัพพอร์ทเธอทุกเรื่องในชมรมจนหญิงสาวเริ่มใจอ่อน และสุดท้ายตกลงคบหาดูใจกัน แต่จู่ ๆ คู่อริเก่าสาวสวยสุดแรดอย่าง เมวิกา ก็เปิดตัวว่ากำลังคบหากับชายหนุ่มเทวฤทธิ์เสียอย่างนั้น แล้วที่ผ่านมาล่ะคืออะไร ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนเข้ามาในหัวพาลให้อารมณ์บูดบึ้งขึ้นมาทันที
การแข่งขันฟุตบอลสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงเชียร์ที่สงบลงเช่นเดียวกัน ผู้คนเริ่มทยอยเดินออกจากสนามไป
อิทธิพล หนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดนักกีฬา นั่งพักหายใจพูดคุยที่ขอบสนามกลับกลุ่มนักเตะทีมเดียวกัน เหงื่อที่เปียกโชกไปทั้งร่างตลอดตั้งแต่ศีรษะลงมา เสื้อกีฬาที่สวมอยู่ตอนนี้ประหนึ่งว่าปั่นหมาดแล้วนำมาใส่เลยเสียอย่างนั้น ริมฝีปากหนาได้รูปสีชมพูสุขภาพดีบวกกับใบหน้าเข้ม ๆ สีเลือดฝาดผลจากการวิ่งในสนามที่เพิ่งได้หยุดพักเมื่อครู่และยังคงแดงระเรื่ออยู่ พูดคุยและหัวเราะอย่างอารมณ์ดีกับผลการแข่งขันที่เป็นฝ่ายชนะในวันนี้
เขาเปิดกระเป๋าเป้หยิบขวดน้ำยกขึ้นมาดื่มดับกระหาย พร้อมกับเทล้างหน้าที่ขอบสนามเรียกความชุ่มชื้นคืนให้กับร่างกาย หยิบผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นเช็ดหน้าซับเหงื่อตามกรอบหน้าและคล้องคอไว้ ก่อนจะโบกมือให้เพื่อน ๆ และขอตัวกลับก่อน กวาดสายตามองหาร่างเอวาตามจุดนัดที่เธอส่งข้อความมาบอก
จิวารีขบกรามแน่นแก้วกาแฟในมือแทบบิดเบี้ยวจากการบีบเกร็ง กับภาพบาดตาตรงหน้า เมวิกาที่เดินเกาะแขนเทวฤทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของจนออกนอกหน้า แม้ชายหนุ่มจะคอยแกะออกหล่อนก็คล้องเข้าไปใหม่อีกครั้ง และสายตาของหล่อนที่มองเลยมาสบกับจิวารีพอดิบพอดีเหมือนกำลังมองหาเธออยู่ และหากเดาไม่ผิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ไม่แคล้วนังแรดนี่คงควงพี่เทมาเยาะเย้ยเธอเป็นแน่
หากยังอยู่ตรงนี้ต่อกลัวใจตัวเองจะอดไม่อยู่ เผลอต่อยหน้าคู่รักผีเน่ากับโลงผุนี้เป็นแน่ สะบัดหน้าหันหลังกลับอย่างหัวเสีย และชนเข้าอย่างจังกับร่างสูงและแผ่นอกแน่น ๆ ของอีกฝ่ายที่กำลังคุยสายโทรศัพท์และไม่ทันได้ระวังเช่นกัน แก้วกาแฟพลาสติกในมือเมื่อครู่ที่เผลอบีบจนบุบ ประจวบกับแรงปะทะทำให้ฝากระดอนออก กาแฟเข้ม ๆ ในแก้วกระฉอกเลอะเต็มเสื้อกีฬาของอีกฝ่าย
“ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษครับ”
เอ่ยขึ้นพร้อมกัน เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ
“ดิน”
“จิ๋ว”
ต่างเอ่ยชื่ออีกฝ่ายขึ้นพร้อมกัน ดีหน่อยว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า สองหนุ่มสาวที่เรียนห้องเดียวกันแต่อยู่คนละกลุ่ม จิวารีที่รู้จักเรื่องราวของชายหนุ่มเพราะเคยได้ยินเอวาเล่าผ่านหูให้ฟังบ้าง เนื่องจากแม่ของเอวาและแม่ของอิทธิพลเป็นเพื่อนสนิทกันและไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ
จิวารีอ้าปากค้างเมื่อเห็นผลงานของตัวเองที่อยู่บนเสื้อกีฬาของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบกาแฟ วางแก้วเจ้าปัญหาลงดึงกระดาษชำระออกมาจากกระเป๋า ซับคราบกาแฟออกจากเสื้อของชายหนุ่มอย่างลนลานและรู้สึกผิด
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







