LOGIN“ขอโทษนะฉันไม่ทันได้มอง” พูดพร้อมกับมือที่เช็ดไปด้วย
“ไม่เป็นไรเราก็ไม่ทันได้มองเหมือนกัน”
“เราเช็ดเองก็ได้”
“ไม่เป็นไรฉันเป็นคนทำเสื้อนายเลอะ” จิวารียิ้มเจื่อน ๆ สีหน้าเป็นกังวล
อิทธิพลมองหน้าหญิงสาวที่กำลังเช็ดคราบเลอะที่เสื้อให้ในระยะใกล้ ใบหน้าสวยคมอีกฝ่ายที่ปราศจากเครื่องสำอางใดๆ มีเพียงรอยฟกช้ำตามกรอบหน้า ริมฝีปากที่บ่นงึมงำเบา ๆ คนเดียว ขยับขึ้นลงจนเห็นรอยแตกที่ขอบปากด้านใน ไม่ใช่ว่าเธอโดนแฟนซ้อมมาหรอกนะ
เอวาเดินมาถึงพอดีพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มในมือที่ซื้อมาฝากเพื่อน
“ดิน...จิ๋ว”
“เอวา”
จิวารีเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ สองหนุ่มสาวผีเน่ากับโลงผุของเธอก็เดินมาถึง พร้อมกับความลอยหน้าลอยตาของเมวิกายืนอยู่ข้างกายเทวฤทธิ์
จิวารีหยุดมือที่เช็ดคราบกาแฟพร้อมกับถอนหายใจทิ้งเบือนหน้าไปทางอื่นทันที“จิ๋วมาดูด้วยเหรอ?” รุ่นพี่เทวฤทธิ์เอ่ยทักหญิงสาว
“เปล่าค่ะมานั่งเล่น” พร้อมยักไหล่ เขาไม่ได้สลักสำคัญอะไรที่เธอต้องมานั่งดูนั่งเชียร์หรอกกระมัง
เทวฤทธิ์หันไปมองอิทธิพลพร้อมส่งยิ้ม สองหนุ่มที่เป็นนักกีฬาของชมรมเดียวกันและรู้จักกันในกลุ่มเพื่อนของเพื่อน เคยแข่งขันฟุตบอลกันหลายแมทแล้ว
“นี่จิ๋วกับดินรู้จักกันด้วยเหรอ?” คำถามจากรุ่นพี่ที่มองจิวารีและอิทธิพลสลับกัน
“อ๋อ ดินกับจิ๋วเป็นเพื่อนวาทั้งสองคนค่ะ” เป็นเอวาที่ตอบคำถามรุ่นพี่แทนเพื่อนสาว
“ดิน...เป็นแฟนเธอเหรอ?” คำถามจากเมวิกา
ความจริงหล่อนรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ เพราะเพื่อนสาวของหล่อนนั้นชอบอิทธิพลและตามจีบชายหนุ่มอยู่ แถมสืบประวัติมาเรียบร้อยแล้วว่าชายหนุ่มยังโสดสนิท แต่ที่ถามเพราะอยากให้เทวฤทธิ์เข้าใจว่าจิวารีไม่โสดแล้วแค่นั้นเอง
จิวารีเดินเข้ามาใกล้เมวิกาและยื่นหน้าเข้าหากระซิบข้างหูหล่อน
“เสือก”
ก่อนจะถอยออกมาและส่งยิ้มให้
“นังจิ๋ว” เสียงสูงอย่างลืมตัว ตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
“ว่าไงจ๊ะ...นังเม” ยกคิ้วสูงและยิ้มให้
เมวิกาขบฟันหน้าคางบิดเบี้ยวไปมามือเกาะแขนเทวฤทธิ์แน่นเข้าไปอีก
“พี่เท” ฟ้องเป็นนัย ๆ บวกกับจริตอ้อนชายหนุ่มต่อหน้าจิวารี
“นาย...เป็นแฟนกับจิ๋วเหรอ?” เทวฤทธิ์เอ่ยถามอิทธิพลคลายข้อสงสัยในใจตัวเอง เอวาและอิทธิพลที่กำลังจะอ้าปากปฏิเสธก็ต้องอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเพราะจิวารีชิงตอบก่อน
“ใช่ค่ะ”
ให้รู้ไว้ด้วยไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่เห็นเธอเป็นแค่ตัวเลือก เธอเองก็มีตัวเลือกอื่นเช่นเดียวกัน สองมือบางเกาะแขนอิทธิพลไว้แต่เป็นแบบแข็งทื่อใคร ๆ ก็ดูออกว่าโกหก
เอวากะพริบตาปริบ ๆ เช่นเดียวกับอิทธิพลที่ยังงง ๆ อยู่“ฉันคิดว่าเธอคบกับพี่เคนเสียอีก” เมวิกาพูดขึ้นมาทันที
เมื่อไหร่ยัยนี่จะไปผุดไปเกิดเสียทีนะ จิวารีถอนหายใจออกยืดยาวอย่างเหนื่อยหน่าย
“จะคบกับใครมันก็เรื่องของฉัน” ส่งสีหน้ากวนประสาทให้อย่างใจเย็น
“แต่ถ้าเธออยากได้ฉันก็จะยกให้...ฉันชอบทำบุญ” ปรายตามองรุ่นพี่
“อ่ะ...เอาไปสิ”
พร้อมกับผลักร่างอิทธิพลเข้าไปหาเมวิกา ชายหนุ่มขมวดหัวคิ้วและเซปะทะกับเมวิกาแทบเบรกไม่ทันเพราะไม่ได้ตั้งตัว มองหน้าคนผลักอย่างงง ๆ
“ฉันกลับก่อนนะเอวา บรรยากาศไม่ค่อยบริสุทธิ์หายใจไม่สะดวก” ปรายตามองรุ่นพี่และเมวิกาก่อนหมุนตัวกลับและเดินจากไปทันที
“จิ๋ว...เดี๋ยวสิ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากจิวารีที่ก้าวฉับ ๆ ออกจากตรงนั้นไป
ที่สิงสถิตและนัดพบหลังเลิกเรียนของจิวารีและเอวา คือม้านั่งหินอ่อนข้างคณะ โดยจะมีจิวากร ตะวันและธีธัช มานั่งรวมกลุ่มด้วยอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว จิวากรมีอายุมากกว่าทุกคนในกลุ่มแต่ก็เป็นนักศึกษาชั้นปีเดียวกัน เนื่องจากปัญหาวิกฤตทางการเงินของครอบครัวในครั้งนั้น ทำให้เขาต้องดรอปเรียนไปเป็นปี เพราะเลือกที่จะให้น้องสาวได้เรียนต่อ
“วันนี้กูกลับก่อนนะต้องเตรียมตัวไปทำงาน”
จิวากรบอกธีธัชและตะวันหลังถูกชวนให้ไปเดินดูเปิดท้ายขายของข้างมหาวิทยาลัย ขณะเก็บอุปกรณ์ใส่กระเป๋าสะพาย หนึ่งจ็อบหลังเลิกเรียนของเขากับตำแหน่งมือกีตาร์ของวงดนตรีในร้านอาหาร เพื่อหารายได้ช่วยครอบครัวอีกแรง
“วันนี้ฉันจะกลับเร็วหน่อยนะจิ๋ว” เอวาบอกเพื่อนสาว
“ทำไมรีบกลับล่ะ?”
“วันนี้ลุงบรรจงลาหยุดไม่มีคนมารับน่ะ” เธอหมายถึงคนขับรถของที่บ้าน
“พี่แจ็คไปส่งเอวาด้วยเลยทางเดียวกัน” จิวารีหันไปสั่งพี่ชาย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่แจ็ควานั่งแท็กซี่ไปได้ค่ะ พี่แจ็คไปเถอะค่ะเดี๋ยวเข้างานสาย” ปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องเลยไปกับพี่แจ็คนั่นแหละดีแล้ว อาจจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่แต่ถึงบ้านชัวร์”
“ทะลึ่ง” จิวากรหันไปมองผู้เป็นน้องดุด้วยสายตา
หมวกกันน็อกที่มีอยู่เพียงอันเดียว จิวากรเสียสละให้หญิงสาวที่น้องซ้อนท้ายมากับเขาสวมใส่ ส่วนตัวเองมีเพียงแว่นกันแดดสีดำที่ใส่กันฝุ่นเท่านั้น ขับลัดเลาะตามซอกซอยเพราะหลีกเลี่ยงกับตำรวจจราจรที่นักศึกษารู้ดีว่ามีอยู่จุดใดบ้างใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย ชายหนุ่มเคยมาส่งจิวารีที่คอนโดของเอวาแล้ว ในครั้งที่สองสาวทำรายงานกลุ่มร่วมกัน
มือบางจับชายเสื้อของจิวากรไว้หลวม ๆ เพราะไม่กล้าสัมผัสร่างกายของพี่ชายเพื่อน และขยุ้มแน่นขึ้นเมื่อชายหนุ่มบิดเร่งความเร็ว ลูกคุณหนูที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับมอเตอร์ไซค์สักเท่าไหร่ ถึงแม้จะเคยซ้อนท้ายกับเพื่อนสาวบ้างแต่เป็นแค่ระยะทางใกล้ ๆ เท่านั้น
มือที่จับชายเสื้อคว้าหมับเข้าที่เอวสอบทันที เมื่อจิวากรนึกสนุกบิดคันเร่งกะทันหันแล้วปล่อยให้รถกระตุก ซิกแซ็กซ้ายขวาฉวัดเฉวียนไปมาบวกกับบิดคันเร่งและแตะเบรกสลับกันโดยที่ไม่ลดความเร็วลงเลย เอวาซบหน้าลงกับแผ่นหลังหลับตาปี๋ด้วยความกลัวสวมกอดจิวากรไว้แน่น ไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมารู้ตัวอีกทีก็ถึงคอนโดแล้ว
“ไม่ลงเหรอ?”
เสียงคนขับที่ถามหลังจากจอดรถแล้วแต่เธอยังกอดเขาแน่นอยู่ หญิงสาวรีบผละออกทันที มองไปโดยรอบกับสถานที่คุ้นตา
“ถึงแล้วเหรอคะ?”
ก้าวลงจากรถเครื่องพร้อมกับขาที่สั่นเทาบวกกับเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก เดินเข้าคอนโดแบบงง ๆ
“เดี๋ยวก่อน” เสียงเรียกจากชายหนุ่ม
“คะ?”
“หมวกกันน็อก”
“อ๋อ”
ถอดหมวกกันน็อกที่สวมอยู่ส่งคืนให้ชายหนุ่มตีนผี
“ขอบคุณพี่แจ็คมากนะคะที่มาส่งวาไปก่อนนะคะ” เกือบลืมคำขอบคุณเสียแล้ว ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้ชายหนุ่มและเดินเข้าคอนโดแบบเบลอๆ จิวากรหัวเราะมุมปาก
“ยัยบ๊องเอ้ย” ส่ายหน้าก่อนจะขับรถกลับออกไป
อารมณ์ขุ่นมัวที่ขังอยู่ในหัวตลอดทั้งวันไม่ยอมคลายออกของจิวารี แม้จะหากิจกรรมทำแต่ในใจก็ยังคงอึมครึมอยู่อย่างนั้น กับภาพเหุตการณ์ในมหาวิทยาลัยเมื่อวาน มันหงุดหงิดในอารมณ์จนอยากจะกระชากจิกหัวของสองคนคู่รักเมวิกาและเทวฤทธิ์มาโขกกันสลับกับขอบโต๊ะคงสะใจดีไม่น้อย แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่ความคิดของเธอเท่านั้น
หญิงสาวเปลี่ยนจากชุดนักศึกษาเป็นชุดกีฬาเดินเข้าชมรมมวยด้วยใบหน้าบึ้งตึงพร้อมบวก
“อ้าวไอ้จิ๋ววันนี้มาเหรอ?”
“หวัดดีค่ะพี่เคน” ยกมือไหว้ทักทายด้วยใบหน้าที่บอกบุญไม่รับ
“เป็นไรของมันวะ?” พี่เคนเกาหัวงง ๆ
ก่อนจะตรงไปที่กระสอบทรายด้านหลัง ไม่พูดพร่ำพรรณนาใด ๆ กับใคร สวมนวมมวยเสร็จก็ฟาดใส่แบบไม่ยั้ง ระบายอารมณ์ลงกระสอบทรายที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยอย่างไม่ปรานีอยู่นานสองนานจนเหงื่อเปียกโชกไปทั้งร่าง
อิทธิพลยืนมองเพื่อนหญิงของเอวาที่กำลังออกอาวุธกับกระสอบทรายอย่างอัดอั้น เหมือนทะเลาะกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว แสดงว่ารอยฟกช้ำบนใบหน้าสวยที่เขาเห็นเมื่อวานคงไม่ใช่ถูกแฟนซ้อมแล้วกระมัง พลันภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ผุดขึ้นมา กับคำถามที่คาดเดาเอาเองในใจชายหนุ่ม
เมื่อความอัดอั้นถูกปลดปล่อยจนรู้สึกโล่ง จิวารีเก็บสัมภาระและเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเดินออกมาเตรียมตัวกลับบ้าน
“จิ๋ว”
เสียงเรียกที่คุ้นหูดังขึ้นด้านหลัง หญิงสาวหันกลับมามองต้นเสียง ขาที่กำลังก้าว
ชงักอยู่ครู่หนึ่ง“พี่ขอเวลาคุยแป็บนึงได้ไหม?” เทวฤทธิ์เอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนักเพราะกลัวถูกปฏิเสธ
“พี่เทมีอะไรเหรอคะ?”
สองหนุ่มสาวยืนคุยกันตรงทางออกเทวฤทธิ์ที่พยายามชวนให้เธอเดินไปนั่งที่ม้าหินอ่อนด้านข้างชมรม แต่จิวารีปฏิเสธอ้างว่าจะรีบกลับ ชายหนุ่มมาดักรอเธอที่ชมรมทุกวัน จากที่พยายามหาโอกาสหลายครั้งเพื่อปรับความเข้าใจกับหญิงสาว ที่จู่ ๆ ก็หมางเมินและเฉยชาใส่เขาแบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แถมตัดการติดต่อกับเขาทุกช่องทางแบบที่เจ้าตัวยัง งง ๆ อยู่ว่าทำผิดอะไร
“พี่เทมีอะไรพูดมาได้เลยค่ะจิ๋วมีเวลาไม่มาก”
พูดพลางยกข้อมือขึ้นมองเวลาที่หน้าปัดนาฬิกา เทวฤทธิ์ถอนหายใจ
“พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา อยู่ดี ๆ จิ๋วก็เฉยเมยกับพี่ ทั้งที่เรา...”
“พี่เท” เธอพูดขัดขึ้นขณะที่เขายังพูดไม่จบ
“จิ๋วไม่ชอบอ้อมค้อมค่ะมันเสียเวลา เมก็พูดชัดเจนแล้วว่าเธอกับพี่เป็นแฟนกัน จิ๋วไม่ได้ว่างขนาดที่จะมานั่งแย่งผู้ชายกับใครหรอกนะคะ เรื่องของเรามันจบตั้งแต่ยัยเมส่งรูปพี่กับมันนอนอยู่บนเตียงด้วยกันมาให้จิ๋วแล้วค่ะ”
เทวฤทธิ์หน้าเจื่อนลงทันทีเพิ่งถึงบางอ้อก็วันนี้เอง ไม่คิดว่าความเมาในคืนเดียวของเขาจะถูกเมวิกาปล้นความสุขไปจนหมดหน้าตักขนาดนี้
“จากนี้ไปเราก็แค่คนเคยรู้จักกันเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก”
“ไปนะคะ”
และเดินจากไปอย่างไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนอึ้งกิมกี่อยู่ตรงนั้น
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







