LOGINอิทธิพลตั้งหน้าตั้งตาขับแบบไม่พูดไม่จา จิวารีลอบมองอยู่เป็นระยะ ในห้องโดยสารเงียบสนิทไม่มีคำสนทนาใด ๆ
“ทีหลังไม่เต็มใจก็ไม่ต้องมารับ” หญิงสาวพูดขึ้นมาลอย ๆ หน้าตาบูดบึ้ง และทันทีพี่พูดจบก็หัวคะมำแทบโขกกับหน้ารถเพราะคนขับเหยียบเบรกกะทันหัน
“เป็นบ้าอะไรเนี่ย?” หันไปวีนคนขับทันที
“ถ้าไม่เต็มใจไม่มาหรอก” สวนกลับทันทีและจ้องหน้าเธอเหมือนโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน แต่ยังรักษาความนิ่งขรึมของใบหน้าอยู่แม้ในใจจะร้อนระอุ และไม่ยอมขับต่อ หงุดหงิดคนข้าง ๆ ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมตัวเองจะต้องโมโหขนาดนี้ และหากไม่เคลียร์วันนี้มีหวังคงหลับไม่ลงเป็นแน่
“รู้จักเขาเหรอถึงยืนคุยจนแทบจะสิงร่างกันอย่างงั้น ทำงานแบบนี้ไม่รู้จักระวังตัวบ้างเลยหรือไง” พูดโดยไม่มองหน้าคนฟังสายตามองตามแสงไฟหน้ารถที่สาดส่องไปตามถนน อีกทั้งข่มอารมณ์ตัวเองไว้
จิวารีหันไปมองเพื่อนชายหน้าตึง พลันความงอนของเธอเมื่อครู่ก็คลายออก นี่เขาโกรธเพราะเธอคุยกับผู้ชายหรอกเหรอ อย่าบอกนะว่าหึง แอบอมยิ้มอยู่ในใจ อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
“อือ...รู้จักสิเขาชื่อ ภูผา น้องชายเจ้าของร้านน่ะ เขาเรียนมหาลัยเดียวกับพวกเราด้วยนะ แถมอยู่ชมรมกีฬาเหมือนกันอีกต่างหาก แต่ทำไมไม่เคยเห็นนะ” พูดถึงชายหนุ่มคนอื่นต่อหน้าเขาอย่างอารมณ์ดีและนึกสนุก
“ตกลงเธอจีบมันหรือมันจีบเธอ?”
“เขาสิ...ฉันไม่เคยจีบใครอยู่แล้ว” แกล้งทำหน้าอินโนเซ้นท์
“ชอบมันเหรอ?” คนสุภาพนิ่งขรึมตอนนี้เริ่มอยากจะหยาบคายขึ้นมาแล้ว
“ใครจะไม่ชอบ ทั้งหล่อ สุภาพ มรรยาทดี เฟรนด์ลี่สุด ๆ” ยกมือประสานกันที่หน้าอกทำท่าเพ้อฝัน แต่คนฟังลมออกหูแล้ว เอื้อมมือมาแตะเกียร์เดินหน้าอย่างหัวเสีย ปล่อยเบรกที่เท้าและเหยียบคันเร่งพุ่งรถออกแรงจนกระตุก มือกุมพวงมาลัยแน่นเหมือนกลัวมันจะหลุดมือเสียอย่างนั้น
“....”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ทำงานในความมืดเท่านั้น
“แต่ไม่ได้ชอบแบบชู้สาวหรอกนะไม่ใช่สเป็ก” หันหน้ามามองคนขับก่อนที่พวงมาลัยจะหักคามือเขา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“หึงเหรอ?” พูดแทงใจดำ
อิทธิพลปรายตามามองคนข้าง ๆ ที่จ้องหน้าเขาค้างอยู่ยิ้มกว้างยียวนส่งสายตาเจ้าเล่ห์ยั่วเขา มันน่าจับมาจูบปากนัก สูดลมหายใจเข้าลึกและผ่อนออกยืดยาวปรับสภาพอารมณ์ให้คงที่ พลันมือหนาก็กดลงที่กลางศีรษะของเธอก่อนจะยีผมหญิงสาวแบบไม่รู้จะระบายอารมณ์ออกมายังไง
“โอ๊ย...ผมเสียทรงหมด” จิวารีโวยวายแบบไม่จริงจังนัก
“ไม่ชอบแล้วไปให้ท่าเขาทำไม?” เสียงอ่อนลงแต่ยังแขวะไม่เลิก
“โอ้โฮ...ทุกวันนี้ปากคอเราะรายนะคะคุณอิทธิพล ให้ทงให้ท่าอะไรก่อน”
“เขาชวนไปงานศิลปะที่มหาวิทยาลัยพรุ่งนี้ แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว พรุ่งนี้พี่คิมมีประชุมนักดนตรีที่ร้านน่ะ”
“นายไปไหม?” หันมาถามคนขับบรรยากาศในรถเริ่มดีขึ้นมาแล้ว
“ไปธุระให้แม่เสร็จกะจะแวะไปแป็บนึง นัดกับไอ้บีไว้”
“ทำไมพี่แจ็คถึงให้นายมารับ” เพิ่งนึกขึ้นได้และถามออกไป
“เห็นบอกมีเรื่องด่วน ตอนนี้อยู่กับเอวาที่ร้านอาหารให้เราไปหาที่นั่น”
สองหนุ่มสาวเดินคู่กันเข้ามาในร้านอาหาร แจ็คเกตของอิทธิพลคลุมอยู่ที่ไหล่ของ
จิวารี ปกปิดความขาวเนียนของช่วงบนเท่านั้น ส่วนเรียวขายังโดดเด่นดึงดูดสายตาอยู่ มองไปด้านหน้าข้างเวทีตามที่เอวาบอก หญิงสาวยกมือส่งสัญญาณให้เพื่อน“ทำไมมานี่ได้ไหนบอกไปหาพ่อไง?” จิวารีเอ่ยถามเอวา
เรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นถูกถ่ายทอดให้เพื่อนฟังอย่างละเอียด เป็นหัวข้อสนทนาในคืนนี้
“ไอ้เหี้ยนี่มันน่านัก” จิวารีสบถเบา ๆ หลังจากได้ฟังเรื่องราว
“ดีนะพี่แจ็คไปทันเวลาไม่งั้นพวกไอ้ชั่วนั่นมันอาจจะทำอะไรชั่ว ๆ อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันบอกแกแล้วว่าอย่าไปก็ไม่ฟัง” จิวารีบ่นอุบอิบ
เอวาหันหน้าขึ้นไปบนเวทีมองชายหนุ่มที่กำลังเล่นกีตาร์อยู่ด้วยความรู้สึกหลากหลายในใจ ปนกับความรู้สึกขอบคุณ เป็นเขาที่รีบไปหาเธอทันทีโดยไม่อิดออดเลยสักนิด แม้ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่อยากจะคิดต่อว่าหากไม่มีเขาอะไรจะเกิดขึ้น ฉุกคิดขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณเขาเลยสักคำ
“ไม่นึกเลยว่าจะเป็นไอ้ฐากูร” คำพูดจากอิทธิพล
“รู้จักด้วยเหรอ?” จิวารีมองหน้าและป้อนคำถาม
“อือ โจทก์เก่า”
เสียงเพลงที่ดังอึกทึกทำให้สองหนุ่มสาวขยับเข้าใกล้ยื่นหน้าเข้าหากัน กระซิบข้างหูเพื่อให้ได้ยินเสียงชัดเจน
มอสนั่งอยู่อีกมุมของร้าน มองมาที่สองหนุ่มสาวที่กำลังพูดคุยกันแนบชิดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขาที่ร่วมงานกับเธอทั้งหล่อ ทั้งรวย เนื้อหอม สาว ๆ ทั้งที่มหาวิทยาลัยและลูกค้าประจำในร้านต่างหมายตา แต่เธอกลับมองข้ามเพราะไอ้นี่สินะ ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบวางกระแทกลงที่โต๊ะอย่างฉุนเฉียว
เสียงดนตรีสดสงบลงในช่วงดึก ผู้คนในร้านเริ่มบางตา จิวากรลงจากเวทีแล้วและนั่งร่วมวงสนทนากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมดื่มไปด้วย เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่มีเรียนก็ดื่มได้แบบสะดวกใจ ส่วนงานเทศกาลศิลปะนั้นมียาวจนถึงช่วงเย็นคงจะทันหากตื่นสาย
“หมดขวดนี้ก็กลับแล้วนะง่วงแล้ว ดินมึงไปส่งไอ้จิ๋วกับเอวาละกันนะ ซ้อนสามคงไม่ไหวเดี๋ยวยางรถกูปลิ้น”
“เว่อร์มาก” จิวารีจิกพี่ด้วยสายตา
“พี่แจ็คครับ” เด็กหนุ่มพนักงานเสิร์ฟของร้านเดินแกมวิ่งมาหาหน้าตาตื่น
“เป็นเรื่องแล้วครับ...พี่จูนกับพี่น้ำขิงกำลังมีเรื่องกันที่หน้าร้านพี่รีบไปเคลียร์เถอะครับ”
“เฮ้อ” จิวากรถอนหายใจทิ้งอย่างเหนื่อยหน่าย ยกมือขึ้นกุมขมับ
“เออ...ปล่อยแม่งเหอะพี่ปวดหัว เดี๋ยวเหนื่อยก็แยกย้ายเองแหละ”
ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นกระดกเหล้าเข้าปากอย่างปลง ๆ และนั่งคุยต่อโดยไม่สนใจสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ จิวารีชะโงกหน้าออกไปมองหน้าร้าน
“หึ พ่อมะกอกสามตะกร้า” เบะปากมองบนพี่ชาย
เสียงชุลมุนที่หน้าร้านจากการเข้าห้ามของการ์ด ไม่นานทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ โต๊ะในร้านถูกเคลียร์หลังจากลูกค้าเริ่มทยอยกลับ เหลืออยู่เพียงไม่กี่โต๊ะที่ยังติดลมอยู่ คิมหันต์เดินมากำชับเรื่องประชุมนักดนตรีพรุ่งนี้ที่ร้าน ก่อนหนุ่มสาวจะขอตัวกลับ
จิวารีขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนกลับ เอวาเดินคู่มากับจิวากรและอิทธิพล ออกมานอกประตูร้านก็ต้องแปลกใจเมื่อน้ำขิงกลับกลุ่มเพื่อนสาวนั่งดักรอจิวากรอยู่ม้านั่งด้านหน้า หลังจากมีพรายกระซิบส่งข่าวมาว่าเขามาเล่นดนตรีที่ร้านทั้งพี่บอกกับเธอว่าไม่มีคิวเล่นในวันนี้ และพกหญิงสาวมานั่งรอด้วย ทำให้เธอพุ่งเป้าไปที่จูนเพราะเคยเห็นกับตาว่ามาเกาะแกะจิวากรก็หลายครั้ง แต่จริง ๆ แล้วคือยัยไฮโซหน้าขาวนี่เอง น้ำขิงเดินมาขวางหน้าไว้
“ไหนบอกขิงว่าไม่มีคิวเล่นไง โทรไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่อ่าน เพราะอีนี่เหรอ?”
ตวัดสายตามามองเอวาที่สะดุ้งโหยงกับสรรพนามที่หล่อนเรียก ก่อนจะตั้งสติ
“เอ่อ...ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ” ยกมือโบกปฏิเสธพัลวัน
“แล้วแบบไหน?” น้ำขิงตวาดเสียงดัง ผู้คนที่เดินอยู่ละแวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
“น้ำขิง” จิวากรดุเสียงเข้มสีหน้าจริงจัง
“วันนี้พี่เหนื่อยมากไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”
“ไม่ค่ะ” จ้องหน้าชายหนุ่มสลับกับเอวาด้วยสายตาพร้อมบวก
“ถ้าไม่เคลียร์วันนี้พี่กับขิงเราจบกัน” หนักแน่นชัดถ้อยชัดคำ
“โอเค...เราจบกัน” หนักแน่นชัดเจนเช่นกัน
เดินออกมาจากตรงนั้นทันที เอวาและอิทธิพลยังยืนรอจิวารีอยู่ที่เดิม ยังไม่ทันได้ตั้งตัวน้ำขิงก็เดินเข้ามาหาเธอกระชากผมและฟาดฝ่ามือลงที่ใบหน้าเธอเต็มแรง
“ชอบแย่งผัวชาวบ้านใช่ไหม?” กัดฟันพูดเสียงค้างในลำคอด้วยฤทธิ์หึงจนหน้ามืด เอวาหน้าเอียงจากแรงปะทะของฝ่ามือและยังงงอยู่ ยกมือขึ้นกุมใบหน้าไว้ด้วยความตกใจ พร้อมกับอิทธิพลที่คว้าข้อมือของน้ำขิงไว้ที่กำลังจะฟาดซ้ำลงไปอีกครั้ง
“ปล่อย” แหกปากลั่น
จิวากรก้าวยาวมายืนตรงหน้าทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” ถามเอวาด้วยความเป็นห่วง
เอวาไม่ตอบแต่น้ำตาคลอเต็มหน่วยแล้ว ทั้งเจ็บทั้งอายตั้งแต่เกิดมาไม่เคยโดนด่าว่าแย่งผัวชาวบ้านเลยสักครั้ง นี่คือครั้งแรก
จิวากรดึงมือเอวามากุมไว้ยืนข้างกาย หันหน้ามองน้ำขิงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“เธอล้ำเส้นแล้วนะน้ำขิง”
จิวารีเดินออกมาสมทบ ยืนงงอยู่ข้าง ๆ อิทธิพล
“พี่แจ็คทำแบบนี้หมายความว่าไง เลือกมันใช่ไหม?”
“ใช่”
“ขิงไม่ยอม”
“เธอไม่มีสิทธิ์เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน เธอก็แค่ลูกค้าคนนึงของร้านนี้เท่านั้นไม่ได้ความสำคัญกว่าคนอื่น ๆ”
“ต่อไปก็อย่ามายุ่งกับคนของพี่อีก ชัดเจนนะ”
หันไปมองเด็กเสิร์ฟคนเดิมที่คุ้นเคย ฝากเก็บรถให้พี่ด้วย ยื่นกุญแจให้ เดินจูงมือเอวาออกไปทันที อิทธิพลและจิวารีเดินตามหลังมาตรงไปลานจอดรถ
“พี่ขอโทษนะ” จิวากรพูดขึ้นในรถ รู้สึกเห็นใจหญิงสาวไม่น้อยเพิ่งเจอเรื่องราวแย่ ๆ มาแท้ ๆ ดันมาเจอเรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้อีก
“ไม่เป็นไรค่ะไม่ใช่ความผิดพี่แจ็ค” เอวาเสียงอ่อยหน้าหมอง นี่วันอะไรของเธอนะถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
“ไม่ใช่ได้ไง เอาไม่เลือกก็งี้ล่ะ ผู้หญิงแต่ละคนพบรักกันที่ตลาดสดมั้ง” จิวารีแขวะพี่ชาย
“ทะลึ่งละไอ้จิ๋ว”
“จำไว้เลยนะเอวา จะหาแฟนทั้งทีอย่าเอาพวกเจ้าชู้ประตูดินอย่างพี่แจ็คเด็ดขาด แกน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่”
“หรือไม่ผู้ชายก็คงจะเหมือนกันหมด” อิทธิพลขับรถอยู่ถึงกับไอแห้ง ๆ ขั้นมาทันที จิวารีปรายตามองด้วยหางตา
“นี่ก็ร้อนตัวเชียว” แขวะเสร็จก็มองค้อนเขาที่ไม่รู้เรื่องด้วย
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







