LOGINสวนอาหารครัวคิมหันต์ในตอนกลางวันที่ปกติแล้วค่อนข้างเงียบเหงา จะมีเพียงแค่พนักงานทำความสะอาดและเตรียมความพร้อมของร้านก่อนเปิดในช่วงเย็นเท่านั้น แต่วันนี้ครึกครื้นด้วยนักดนตรีที่รวมตัวกันเพื่อรอการประชุมตามที่เจ้าของร้านนัด
“พี่แจ็คถึงร้านหรือยัง?” จิวารีโทรหาผู้เป็นพี่หลังจากพาเอวามาทำธุระข้างนอก และต้องรอให้เธอไปส่งที่ร้าน เสียงปลายสายจากจิวากรบอกให้รีบเข้ามา ใกล้ได้เวลาประชุมแล้ว
“เสร็จธุระกับเอวาแล้วจิ๋วจะรีบเข้าไป” ก่อนจะวางสาย
การรวมตัวกันสำหรับประชุมนักดนตรีสองวงในวันนี้เป็นอันต้องยกเลิก เนื่องจากคิมหันต์มีธุระเร่งด่วน และแจ้งเลื่อนประชุมเป็นวันหลังโดยจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับ จิวากรโทรหาน้องสาวเพื่อจะแจ้งเรื่องเลื่อนประชุมแต่ปลายทางไม่รับสาย กดต่อสายอีกครั้งและโทรศัพท์ก็ดับสนิทลง
“อ้าว...ไอ้เหี้ยแบตหมด” สบถคนเดียว
อาการมึน ๆ จากการดื่มของเมื่อวาน ทำให้เมื่อกลับถึงห้องก็นอนยาวจนลืมชาร์ตแบตเตอรี่โทรศัพท์ไว้ ตื่นมาอีกทีก็สายมากเสียแล้วมีเวลาเสียบชาร์ตแค่ครู่เดียวเท่านั้น มิหนำซ้ำพาวเวอร์แบงก์ก็ใช้จนหมดเกลี้ยงและเสียบค้างไว้ที่บ้าน สายชาร์ตก็ไม่ได้หยิบมาด้วย แถมมีนัดต่อกับเพื่อนในห้องที่งานศิลปะของมหาวิทยาลัย หากจะเสียบชาร์ตต่อที่นี่เดี๋ยวพวกก็คงจะโวยเพราะเลยเวลานัดมานานแล้ว มองหาเพื่อนเพื่อขอความช่วยเหลือ พีชและมอสสมาชิกในวงยืนคุยกันอยู่ตรงหน้า
“พีช มึงโทรหาไอ้จิ๋วให้กูหน่อย” หันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อน
“ทำไมวะ?”
“โทรบอกมันหน่อยว่าพี่คิมยกเลิกเดี๋ยวมันมาเสียเที่ยว แบตกูหมด”
พีชกดโทรออกตามคำขอแต่ปลายทางไม่รับสาย
“ถ้ามันโทรกลับมามึงบอกมันด้วยละกัน กูมีธุระต้องรีบไป”
“เออ” พีชตกปากรับคำก่อนจะแยกย้ายกัน
เอวาจอดรถรอจิวารีเข้าห้องน้ำที่ปั๊มหลังจากแวะเติมน้ำมัน
“เมื่อกี๊โทรศัพท์แกมีสายเข้าน่ะ”
จิวารีหยิบโทรศัพท์มาดูชื่อจากสายเรียกเข้าและกดโทรกลับทันที แต่ปลายทางไม่รับสาย
“พี่พีชโทรมา โทรกลับก็ไม่รับ สงสัยกำลังประชุมหรือเปล่า รีบไปเถอะเอวาเข้าสายเดี๋ยวโดนดุ”
รถเคลื่อนเข้ามาจอดที่หน้าร้านครัวคิมหันต์ จิวารีรีบลงจากรถอย่างเร่งรีบเพื่อเตรียมเข้าประชุม
“ขอบใจนะเอวาที่มาส่ง ไว้เจอกันที่งานนะ”
โบกมือลาเพื่อนและรีบเดินเข้าด้านใน หญิงสาวมองไปโดยรอบ บรรยากาศในร้านเงียบผิดปกติ ไม่ได้ยินเสียงสนทนาใด ๆ ทำไมไม่เห็นมีใครอยู่เลย ไหนพี่แจ็คบอกมากันแล้ว
“พี่มอส”
“จิ๋ว”
สองหนุ่มสาวทักทายกัน
“ไปไหนกันหมดคะ เงียบจัง”
“นั่นสิ พี่มาสวนทางกับรถพวกไอ้เติ้ล ออกไปหาอะไรกินหรือเปล่า วันนี้แม่ครัวยังไม่มา”
“พี่แจ็คก็ไปด้วยกันเหรอคะ? จิ๋วโทรหาก็ไม่ติดเลย”
“ไม่แน่ใจนะ”
มอสนั่งลงที่โซฟาหน้าห้องพักนักดนตรี ปกติพื้นที่ตรงนี้จะใช้เป็นที่ประชุมก่อนและหลังเลิกงาน ก่อนจะเดินไปมุมกาแฟจัดการชงกาแฟสำหรับตัวเอง ไม่ลืมหันมาถามหญิงสาว
จิวารีเพิ่งนึกได้ว่าซื้อกาแฟและลืมไว้ในรถของเอวา
“เผื่อจิ๋วแก้วนึงนะคะพี่มอสสุดหล่อ ขอบคุณค่ะ” แกล้งชมปะเหลาะแหย่ชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะส่งข้อความหาเอวา
“แก...ฉันลืมกาแฟไว้ในรถ อย่าลืมกินด้วยล่ะเดี๋ยวละลายหมด”
“ประชุมแล้วเหรอ?” ข้อความตอบกลับจากเอวา
“ยัง...ไม่มีใครมาเลย มีแค่ฉันกับพี่มอสสองคนเอง ดีนะมีเพื่อนนั่งรอไม่งั้นคงวังเวงน่าดู ไม่ได้ครึกครื้นเหมือนตอนกลางคืนนะแก”
“สงสัยโดนพี่แจ็คแกง แถมไม่ตอบข้อความฉันอีกต่างหาก”
“โทรก็ไม่ติด”
“ซื้อกาแฟร้านโปรดมาก็ไม่ได้กิน”
ถ่ายรูปแก้วกาแฟที่มอสชงมาให้ ส่งให้เพื่อนสาวดู เสียงข้อความเข้าดังอย่างต่อเนื่องแต่เอวาไม่ได้เปิดอ่านต่อเพราะขับรถ ถึงมหาวิทยาลัยจอดรถและเดินเข้างานศิลปะอย่างเหงา ๆ หยิบโทรศัพท์โทรหากลุ่มเพื่อนสนิท การใช้ชีวิตโดยไม่มีจิ๋วที่มันเหงาขนาดนี้เชียว
มองไปทางไหนก็เจอแต่คนมีคู่ ทำไมเธอไม่เจอคนถูกใจบ้างนะ ก็ไม่ได้อยากโสดสักหน่อย พลันสายตาก็มองปะทะกับร่างคุ้นเคยที่กำลังยืนคุยกับเพื่อน ๆ ของเขาอยู่ ท่าทีกวนประสาทนั้น เสียงหัวเราะที่เธอคุ้นเคยหูเป็นอย่างดี รูปร่างแข็งแรงกำยำ ใบหน้าเข้มออกจะดิบเถื่อนหน่อยแต่กับเธอเขาก็อ่อนโยนทุกครั้ง จมูกโด่งเป็นสันรับกับคิ้วเข้ม ๆ
จิวากรยกขวดน้ำขึ้นกระดกใส่ปาก อีกมือเสยผมด้วยท่าทีชิว ๆ พลันภาพความทรงจำระหว่างเขาและเธอก็ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด และเผลอไหลไปตามอารมณ์นั้น ก่อนทุกอย่างจะพังลงเมื่อมีมือมาสะกิดที่หัวไหล่
“เอวา”
“อ้าว...ดิน”
“เมื่อวานจิ๋วบอกว่าจะไม่มานี่นา...แล้วมากับใครเหรอ?”
หลังจากได้รับคำถามจากอิทธิพลสมองก็สั่งการทันที
“เมื่อกี๊พี่แจ็คนี่นา” สาวเท้าเดินตามชายหนุ่มทันที
“พี่แจ็คคะ” จิวากรหันตามเสียงเรียก
“เอวา...ดิน”
“ทำไมพี่แจ็คมาอยู่นี่ละคะ? แล้วจิ๋วละคะ ทำไมประชุมเสร็จเร็วจัง วาเพิ่งไปส่งมาเมื่อกี๊เอง”
“ยกเลิกการประชุมแล้วนี่”
“ไม่นี่คะ จิ๋วยังส่งข้อความมาบอกวาอยู่เลยว่ารอพี่แจ๊คกับคนอื่นๆ อยู่ที่ร้าน นี่ไงคะ” จิวากรรับโทรศัพท์จากเอวามาอ่านข้อความ
“อยู่กับไอ้มอส” จิวากรขมวดคิ้ว ส่วนอิทธิพลหูผึ่งทันที
“แล้วไอ้มอสไม่บอกเหรอว่าประชุมยกเลิก” พึมพำคนเดียวแต่ได้ยินทุกคน
อิทธิพลหยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อนสาวทันที เช่นเดียวกับเอวา แต่ปลายทางไม่รับสาย
“จิ๋วไม่รับสาย พี่แจ็คโทรถามพี่มอสซิคะ”
“แบตพี่หมด จำเบอร์ไม่ได้หรอก” ความคิดผุดขึ้นมาในหัวของจิวากร
“ไอ้มอสมันก็รู้ว่าแบตกูหมดทำไมมันไม่บอกวะ” มองหน้าอิทธิพล
“ดินจะไปไหน?” เอวาส่งเสียงตามหลังเมื่ออิทธิพลผละเดินออกมาทันทีที่จิวากรพูดจบ
“ไปร้าน”
ชายหนุ่มสาวเท้าถี่ ๆ ไม่บอกแม้กระทั่งเพื่อนที่เดินมาด้วยกัน แค่นึกถึงสายตาไอ้นักร้องนั่นเวลาที่มองจิวารีมันเหมือนกับสิงโตที่เจอลูกกวางเนื้อหวาน จนเขาก็อยากจะควักลูกตาของมันออกมาทำหัวแหวนห้อยคอหมาเสียอย่างนั้น ปล่อยให้อยู่สองคนไว้ใจได้ที่ไหนกัน ภาวนาขอให้มีคนอื่นอยู่ด้วยทีเถอะ ไอ้แจ็คก็เหลือเกินจะรีบอะไรขนาดนั้น มองไม่ออกหรือยังไงว่ามันจ้องเขมือบน้องสาวตัวเองอยู่
“ดินรอวาด้วย”
แต่ไม่ทันเสียแล้ว ชายหนุ่มถึงรถเพียงไม่กี่นาทีและขับทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เหมือนลงแข่งที่สนาม กดสายโทรออกหาเพื่อนสาวซ้ำ ๆ ถี่ ๆ แต่ปลายทางก็ยังเงียบสนิทเช่นเดิม ส่วนเอวากับจิวากรนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์บิดตามมาอย่างเร่งรีบ
“หรือไอ้ดินมันจะรู้อะไรมา” จิวากรคิดในใจ
เสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศในห้องพักนักดนตรี มอสอุ้มร่างที่ไร้สติของจิวารีวางลงบนเตียงนอนในห้อง ปากก็ฮัมเพลงตามอย่างมีความสุข เดินไปเลื่อนม่านปิดกระจกหน้าต่างอย่างใจเย็น เทียนหอมในห้องถูกจุดขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศโรแมนติก
“จิ๋วชอบกลิ่นนี้ไหม?” เขาหันไปถามร่างที่หลับสนิทอยู่บนเตียง
“พี่ก็ชอบเหมือนกัน” สิ่งยิ้มให้คนที่หลับใหลด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข นัยน์ตาของเขาแดงก่ำจากฤทธิ์เครื่องดื่มพิเศษที่จะทำให้เขาและเธอมีความสุขในวันที่มีแค่สองเราเท่านั้น ท่ามกลางเสียงเพลงและความหอมหวานจากก้นบึ้งของหัวใจ
ร่างกายของชายหนุ่มเริ่มตอบสนองต่อสารในร่างกายแล้ว มอสหลับตาเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจเข้าลึกจนเต็มปอด ก่อนจะลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่ทำให้เขาแบบคลั่งเมื่อเธอมองเมินไม่สนใจเขา การสกัดกั้นความต้องการจากภายในมันช่างเป็นความรู้สึกที่สวยงามอะไรเช่นนี้ ชายหนุ่มเดินมานั่งลงข้างคนหลับ เกลี่ยปลายนิ้วที่เรือนผมเธออย่างแผ่วเบา
“พี่จะทำให้จิ๋วรู้ว่าความสุขที่แท้จริงมันเป็นยังไง”
ก่อนจะลุกขึ้นร้องเพลงเดินหมุนตัวไปรอบห้องประหนึ่งกำลังโชว์พลังเสียงให้แฟนคลับคลั่งไคล้ เพลงรักโรแมนติกกำลังบรรเลงอย่างต่อเนื่อง มอสเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว
“พี่ชอบจิ๋วนะ ต่อไปจิ๋วก็คือผู้หญิงของพี่”
ก่อนจะหยุดยืนเมื่อนึกได้ว่ายังไม่มีดอกกุหลาบสำหรับการบอกรักเธอเลย ชายหนุ่มเดินออกมานอกห้องตรงไปหน้าเคาน์เตอร์ หยิบกุหลาบสีแดงในแจกันของเมื่อวานที่ยังสดอยู่มาถือไว้ในมือและเดินกลับเข้าห้อง ไม่ลืมที่จะกดล็อกห้องเรียบร้อย
ถือดอกกุหลาบในมือ นั่งคลุกเข่าต่อหน้าเธอยื่นกุหลาบไปตรงหน้า
“เป็นแฟนกับพี่นะ” ยิ้มอย่างมีความสุข วางกุหลาบลงหน้าอกหญิงสาวที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจ
ม่านหนากันแดดในห้องที่เลื่อนมาปิดหน้าต่างจนมิดชิดจนแสงเล็ดลอดเข้ามาได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ไฟในห้องถูกปิดแล้วเหลือเพียงแค่แสงจากเทียนหอมที่จุดไว้สร้างบรรยากาศเท่านั้น หลังจากบอกรักและขอเป็นแฟนแล้ว มอสเดินไปหยิบกรรไกรตัดกระดาษอันเล็กบนโต๊ะ และเดินกลับมานั่งข้างเตียง ดึงชายเสื้อยืดตัวโคร่งที่จิวารีสวมอยู่ ค่อย ๆ ตัดผ่าขึ้นไปด้านบน ปากก็ฮัมเพลงไปพร้อมกัน
กรรไกรอันเล็กที่ไร้ประสิทธิภาพไม่ได้ทำให้ความสุขในใจเขาลดลงแม้แต่น้อย หรือแม้แต่ความหงุดหงิดก็ไม่เกิดขึ้นเลย การอดทนรอยังคงเป็นความสวยงามสำหรับเขา ตัดได้แค่นิดเดียวก็หยุดและเดินไปจิบเครื่องดื่ม พร้อมพูดคุยกับแฟนในจินตนาการอยู่อย่างนั้น แต่เป็นเพียงการสื่อสารทางเดียวเท่านั้น
เดินไปส่องกระจกพร้อมกับแต่งหล่อทรงผม และยิ้มทักทายตัวเองในกระจกเงา ฮัมเพลงรักไปเรื่อย ๆ เพลงแล้วเพลงเล่า บวกกับพักจิบเครื่องดื่มไปพร้อมกัน ก่อนจะเดินกลับมาหาร่างที่หลับใหลและหยิบกรรไกรอันเล็กจิ๋วมาตัดเสื้อเธอต่อ
ผ่านไปนานโขกว่าเสื้อยืดของเธอจะขาดออกจากกัน พร้อมกับเพลงรักที่จบลง แต่แฟนสาวในมโนของมอสก็ยังไม่รู้สึกตัว หลังจากช่วงเวลาแห่งความสุขผ่านไปก็คงถึงเวลาเปิดร้านพอดี ทุกคนจะได้รู้เสียทีว่าเขากับเธอไม่ใช่แค่คนร่วมงานกันเท่านั้น ถ้าไอ้หน้าหล่อนั่นมาเห็นอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามันจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าเขาและเธอเดินออกจากห้องนอนมาด้วยกัน แค่คิดก็สนุกแล้ว
เสื้อที่ขาดออกเผยให้เห็นหน้าอกคู่สวยที่ซ่อนอยู่ภายใต้บราสีดำ อวดความขาวเนียนในความมืดสลัว จนมอสหัวใจเต้นแรงเกินควบคุม
กางเกงยีนเข้ารูปพอดีตัวที่ปราศจากเข็มขัด หัวกางเกงต่ำกว่าสะดือชวนให้มอสจินตนาการความงามใต้ร่มผ้านั้น
“ที่รักสวยมากเลยนะรู้ไหม?” ชื่นชมคนรักในจินตนาการและยิ้มฉ่ำ ก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้หญิงสาว
ปึก ๆ ๆ ๆ
เสียงทุบที่หน้าประตู ทำให้มอสสะดุ้ง ก่อนจะนิ่งเงียบอยู่สักพัก โชคดีของอิทธิพลที่จิวารีเคยเล่าให้ฟังเรื่องห้องพักนักดนตรีในร้านทำให้เขาเดาได้ไม่ยาก
“เปิดประตู” อิทธิพลสั่งคนที่อยู่ด้านใน
ปึก ๆ ๆ ๆ ทุบซ้ำอีกครั้ง รัวและแรงขึ้น
“กูบอกให้เปิด”
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







