LOGINดวงยี่หวาหยิบซองกระดาษจากทีมนักสืบมาเปิดดูด้านใน หลังจากรอให้ทรงกลดดำเนินการจนเวลาล่วงเลยไปนานก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราว จนเธอและพิมพ์พรรณต้องร่วมมือกันและออกโรงเอง ภาพถ่ายที่ได้มาทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปากอย่างพอใจ หลังจากทรงศักดิ์เรียกให้เธอและทรงกลดเข้าพบ เมื่อได้รับข้อมูลจากสองแม่ลูกนั่น เรื่องการหมั้นหมายระหว่างเอวาและอิทธิพลแล้ว
เธอจะต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ในการโค่นกาฝากจอมมารยาข้างกายพ่อสามีให้ได้ โดยให้คนของเธอที่ทำงานในบริษัทของทรงศักดิ์ ส่งกิ๊ฟเวาเชอร์ฟรีให้ขวัญชนกล่วงหน้า ของร้านสปาไฮโซในกลุ่มเพื่อนของเธอ แยกหล่อนออกห่างจากทรงศักดิ์ในวันนี้เพื่อให้เธอทำงานได้ง่ายขึ้น
วันนี้คงเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับเธอที่จะถอนรากถอนโคนกาฝากลงจากต้นไม้ใหญ่ เธอสวมเดรสยาวเข้ารูปสีงาช้างที่ตัดเย็บอย่างประณีต เสริมความออร่าและสง่างาม กลิ่นหอมจากแบรนด์มีระดับลอยคละคลุ้งเมื่อเธอเดินผ่าน และทิ้งร่องรอยของความมีระดับไว้ ทุกท่วงท่าที่ย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ก่อนเลขาของทรงศักดิ์จะเคาะประตูห้องประธานและเปิดให้เธอเดินเข้าไปด้านใน
ทรงศักดิ์เงยหน้าขึ้นมองลูกสะใภ้ ก่อนจะหุบแฟ้มในมือลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หรูด้วยท่าทีทรงอำนาจเหมือนที่เคย
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ” เธอหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ยกมือไหว้ชายสูงวัยที่พยักหน้าแทนการรับไหว้
“นั่งสิ” ปรายตาไปที่โซฟา
“ขอบคุณค่ะ”
“ตามทรงกลดให้เข้ามาที่ห้องฉันตอนนี้” กดโฟนบอกเลขา ไม่นานเสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ตามด้วยร่างของทรงกลดที่เดินเข้ามาด้านในและนั่งลงที่โซฟาข้างดวงยี่หวา ทรงศักดิ์เดินมานั่งลงฝั่งตรงข้าม
“คิดว่าแกสองคนคงรู้อยู่แล้วว่าฉันจะพูดเรื่องอะไร คงไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลานะ”
คำพูดเดิม ๆ ของเขาที่คิดว่าตัวเองเป็นคนคุมเกมอยู่ตลอด มองหน้าสองสามีภรรยาสลับกันด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงไปด้วยพลังงานลบที่สัมผัสได้
“ฉันเห็นรูปถ่ายพวกนั้นจากขวัญชนกแล้ว”
ถอนหายใจทิ้งบ่งบอกความเหนื่อยล้าจากเรื่องไร้สาระที่ไม่เป็นไปดั่งใจ
“พวกแกเล่นอะไรกัน?”
“คิดว่าแค่จับไอ้ดินมาสวมแหวนหมั้นกับหลานคุณชรินทร์ แล้วถ่ายภาพไว้เพื่อเอามาตบตาฉันอย่างงั้นเหรอ?”
หลานสาวนักธุรกิจแนวหน้าอย่างคุณชรินทร์จะหมั้นหมายทั้งทีมันไม่เรียบง่ายขนาดนั้นหรอกกระมัง ข้อนี้ทรงศักดิ์รู้แก่ใจเป็นอย่างดี
“คุณพ่อครับ” ทรงกลดเอ่ยขึ้นแต่ผู้เป็นพ่อยกมือขึ้นห้ามไว้
“ยังไงก็แล้วแต่ไอ้ดินก็ต้องหมั้นและแต่งงานกับหนูขวัญอยู่ดี ถ้าแกจัดการไม่ได้ฉันจะให้คนมาเตรียมงานเอง”
คำสั่งเด็ดขาดที่คิดว่ามีอำนาจพอ เอนหลังพิงพนักโซฟา ยกขาไขว่ห้างฉายพลังอำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งกว่าฮิตเลอร์ออกทางดวงตา เขาที่คิดว่าตนเองถืออำนาจอยู่ในมือจะใช้เมื่อไหร่ก็ย่อมได้
ดวงยี่หวายิ้มน้อย ๆ มองหน้าทรงศักดิ์ด้วยอาการไม่สะทกสะท้านเหมือนคุยเล่นอยู่กับเพื่อนเสียอย่างนั้น
“ยังไงหนูก็ไม่ให้ตาดินหมั้นและแต่งกับขวัญข้าวแน่นอนค่ะ” ส่งยิ้มให้ทรงศักดิ์อย่างอ่อนน้อมแต่แววตาแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว
“เธอกล้าดียังไง?” ชายสูงวัยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาปราศจากความฉุนเฉียว เขากำลังประเมินลูกสะใภ้ว่าหล่อนคิดจะทำอะไรถึงแสดงท่าทีออกมาแบบนี้ ทั้งที่ระยะหลังมานี้ไม่แม้แต่จะอยากพูดกับเขาด้วยซ้ำ ถ้าไม่จำเป็น
“หนูไม่ได้แคร์มรดกร้อยล้านพันล้านของคุณพ่อหรอกค่ะ ไม่ว่าคุณพ่อจะให้หรือไม่ให้ตาดิน เพราะครอบครัวของหนูก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร” เธอเว้นวรรคก่อนจะยิ้มน้อย ๆ และพูดต่อ
“และหนูก็ไม่ได้แคร์ลูกชายคุณพ่อด้วย” ปรายตาไปมองหน้าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของตัวเอง
“ยี่หวา”
ทรงกลดปรามภรรยาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ ทำไมต้องเอาเรื่องภายในออกมาพูดให้คนอื่นรับรู้ด้วย ถึงแม้จะเป็นพ่อของเขาก็เถอะ
“คุณพ่ออาจจะคิดว่าผู้หญิงที่คุณพ่อหาไว้ให้ตาดินเหมาะกับตำแหน่งหลานสะใภ้ของรัตนไพโรจน์ แต่หนูไม่ยอมให้ลูกของหนูตกนรกไปทั้งชีวิตกับคนพวกนี้หรอกค่ะ”
ยื่นซองกระดาษสีน้ำตาลในมือวางลงที่โต๊ะของประธาน
“ถ้าคุณพ่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในแล้วยังยืนยันคำเดิมหนูก็คงไม่มีอะไรจะอธิบาย”
ทรงศักดิ์มองหน้าดวงยี่หวาแทนคำถาม หยิบซองกระดาษบนโต๊ะมาเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน หัวคิ้วของชายชราขมวดย่นเข้าหากัน หรี่ตามองภาพถ่ายในมืออันสั่นเทาของตัวเอง ถอดแว่นสายตาออกวางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา นี่มันอะไรกัน เขาเลื่อนดูแต่ละภาพอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
“ขวัญชนกเป็นอดีตเพื่อนสนิทของหนูตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ข้อนี้คุณพ่อคงทราบดีอยู่แล้ว หนูไม่ทราบว่าเธอบอกอะไรคุณพ่อไปบ้าง แต่ไม่มีใครรู้จักขวัญชนกดีเท่าหนูอีกแล้วค่ะ”
ทรงศักดิ์นิ่งอึ้งไม่มีเสียงตอบโต้ใด ๆ ออกจากปาก ภรรยาที่แสนดีและน่าสงสารของเขาที่อยู่ในชุดนอนสุดเซ็กซี่ กำลังแสดงความรักกับชายแปลกหน้า ทั้งโอบกอด จับ จูบ ลูบคลำ จากภาพถ่ายผ่านกระจกใสในมุมสูงของตึก และอีกหลายอิริยาบถในหลายสถานที่ และต่างเวลา ทั้งร้านอาหาร รีสอร์ต หรือแม้กระทั่งในทางเดินของโรงแรม ที่สื่อให้เห็นว่าเธอและชายแปลกหน้าคนนั้น...เป็นคนรักกัน
“ครอบครัวหนูพังก็เพราะเธอ” ดวงยี่หวาเชือดนิ่ม ๆ ต่อ อย่างสะใจในมาดนิ่งขรึม
“หนูจะไม่ยอมให้ลูกสาวของเธอมาทำลายชีวิตลูกชายหนูหรอกค่ะ”
ทรงศักดิ์เอื้อมมือที่ไร้เรี่ยวแรงหยิบภาพถ่ายอีกชุดมาเปิดดู สาวสวยว่าที่หลานสะใภ้ที่เขาวาดไว้ ควงแขนเข้าออกโรงแรมกับผู้ชายไฮโซเป็นว่าเล่น ภาพการพลอดรักในผับ บาร์ หรือแม้แต่ในรถ และอีกมากมาย
“และที่ตาดินโดนทำร้ายร่างกายครั้งก่อนตำรวจรู้ตัวแล้วว่าคนร้ายเป็นใคร ก็คือคู่ควงของยัยขวัญที่อยู่ในภาพถ่ายนั่นแหละค่ะ ทำร้ายตาดินยังไม่พอ ยังคิดทำไม่ดีไม่ร้ายกับหนูเอวาอีก ดีว่าตำรวจเข้าไปช่วยไว้ทัน”
“นี่เหรอคะคนดีของคุณพ่อ?”
ไม่ใช่แค่ทรงศักดิ์ที่อึ้ง ทรงกลดก็อึ้งไม่แพ้กัน
“ขวัญชนกเกี่ยวด้วยไหม?” คำถามจากทรงกลดที่สงสัยแผนครั้งนี้หล่อนอาจอยู่เบื้องหลัง
“ทำไม?”
“ห่วงเหรอ?” ดวงยี่หวาแกล้งแขวะสามีต่อหน้าทรงศักดิ์
“เปล่า....” ทรงกลดลากเสียงยาวหัวคิ้วผูกปม
“คุณพ่ออาจจะไม่ซีเรียสที่ต้องใช้ผู้หญิงร่วมกันกับลูกชาย”
“ยี่หวา” ทรงกลดดุเสียงเข้ม แต่ไม่ทำให้คนถูกดุสลดเลยแม้แต่น้อย และยังคงพูดต่อไปอย่างใจเย็น
“แต่หนูรับไม่ได้ค่ะที่ต้องใช้สามีร่วมกับผู้หญิงคนนี้” เธอรู้ว่าคำพูดเหล่านี้มันค่อนข้างรุนแรงและไม่เหมาะสม แต่เงื้อดาบแล้วก็ต้องฟัน
“ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่าผมกับเธอไม่มีอะไรกัน” ทรงกลดตะคอกอย่างเดือดดาลต่อหน้าผู้เป็นพ่อกับเรื่องเดิม ๆ ที่ไม่จบไม่สิ้นในหัวสมองของภรรยา
“ใครเชื่อคุณล่ะ?” ดวงยี่หวาสวนกลับทันควัน และหันหน้ามาคุยต่อกับทรงศักดิ์ ที่ยังนั่งมองภาพถ่ายในมือเหมือนเครื่องจักรที่ถูกปิดสวิสซ์
“จริง ๆ หนูไม่อยากทำแบบนี้หรอกค่ะ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณพ่อ”
“แต่คุณพ่อบีบหนูเอง ถึงดินจะเป็นหลานคุณพ่อแต่เขาก็คือลูกหนู”
นักธุรกิจสูงวัยที่เต็มไปด้วยความทระนง หนักแน่นมั่นใจ ตอนนี้มือสั่นเทาไร้เรี่ยวแรง เรื่องราวมากมายในแวดวงธุรกิจที่ไม่ชอบมาพากล เขาใช้เวลาไม่นานก็ได้ความกระจ่างแล้ว แต่ทำไมเรื่องพวกนี้ถึงเกิดขึ้นกับเขาได้
เขาปล่อยผ่านไปและเลือกที่จะเชื่อใจผู้หญิงที่เขารักต่างหาก รูปถ่ายมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะเลือนราง พอ ๆ กับดวงตาที่พร่ามัวของเขา ที่กำลังทอดมองไปในอากาศอย่างไม่มีจุดหมาย และปล่อยให้ความเงียบเกาะกินหัวใจอันเหี่ยวแห้งอยู่อย่างนั้น นายกว่าที่เขาจะเอ่ยขึ้น
“พอได้แล้ว” ทรงศักดิ์เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ลมหายใจเริ่มแรงขึ้น
“ถ้าคุณพ่อไม่เลิกกดดันตาดิน รูปถ่ายพวกนี้จะถูกส่งให้นักข่าวหลังจากหนูเดินออกจากห้องนี้ไป”
เป็นคำขู่ที่ไม่ได้เข้าในโสตประสาทของทรงศักดิ์เลยแม้แต่น้อย เพราะหัวใจที่แห้งเหี่ยวของเขาตอนนี้เหมือนเศษแก้วที่แตกสลายไม่สามารถประสานกันได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
“ออกไป” ชายชราตะคอกเสียงดัง
ดวงยี่หวาลุกจากที่นั่งยกยิ้มมุมปากอย่างละมุน ดวงตาไหวระริกเหมือนเด็กสิบห้าที่ได้ของขวัญถูกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ทรงศักดิ์
“หนูกลับนะคะ”
หันหลังเดินออกจากห้องไปด้วยท่วงท่าที่เหมือนเดินอยู่บนแคชวอร์กของเหล่าเซเลปทั้งหลาย กดโทรหาเพื่อนรักพิมพ์พรรณเพื่อนัดดื่มฉลองพร้อมกับเสียงหัวเราะแข่งกันของสองเพื่อนรัก ต่างกับบรรยากาศในห้องที่เพิ่งเดินออกมา ทรงกลดพยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงของผู้เป็นพ่อไปยังมุมพักผ่อนด้านใน กดสายหาเลขาท่านประธาน
“ตามหมอด่วน ท่านประธานไม่สบาย”
เสียงลมหนาวพัดผ่านรวงข้าวสีทองที่โอนเอนตามแรงลมอย่างอ่อนช้อย แสงอาทิตย์แรกของวันทาบทอลงบนท้องทุ่งกว้าง กลิ่นฟางกลิ่นดินที่ลอยคละคลุ้งในอากาศเมื่อหมอกจาง ๆ เริ่มคลายตัว กลุ่มนกน้อยใหญ่บินวนจิกเมล็ดข้าวในทุ่งนาโดยไม่สนใจหุ่นไล่กาเลยสักนิด ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่คุ้นหน้ากันเสียอย่างนั้นอิทธิพลขับมอเตอร์ไซค์ตามทางคดเคี้ยวที่ใช้เป็นทางลัดกลับจากท้ายทุ่ง โดยมีจิวารีนั่งซ้อนท้าย ในมือถือตะกร้าผักสดที่เก็บมาใหม่ ๆ สำหรับให้พ่อโจทำกับข้าวในเช้านี้ หลังจากสองหนุ่มสาวเคลียร์ความวุ่นวายของงานลงตัวแล้วและกลับมาเยี่ยมพ่อผ่านพ้นไปหลายฤดูที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามวันเวลาที่ล่วงผ่าน เช่นเดียวกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของการทำงาน ที่ไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันคือวัคซีนที่สร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับทุกปัญหาของการใช้ชีวิตอิทธิพลได้เข้าศึกษาต่อในสาขาบริหารธุรกิจเพื่อสานต่อตำแหน่งผู้บริหารเต็มตัวหลังจากทรงศักดิ์จากไปอย่างสงบในวัยชรา ดวงยี่หวาโอนกิจการร้านอาหารให้ทายาทเพียงคนเดียวหลังจากออกไปทำกิจการความสวยความงามตามที่เธอชื่นชอบ และมีจิวารีบริหารกิจการต่อจากเธอจิวากรลาออกจากบ
สองหนุ่มสาวหอบหิ้วถุงขนมขบเคี้ยวและกับแกล้มจากร้านสะดวกซื้อ หิ้วพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือไปหมด อีกทั้งเครื่องดื่มที่ตุนไว้สำหรับการเชียร์บอลในคืนนี้ด้วย จิวารีขอตัวไปอาบน้ำหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ชำระร่างกายคืนความสดชื่นแล้วยังไม่ทันจะได้นั่งพักเหนื่อยเสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้น ส่องดูหน้าคนเคาะที่ตาแมว อิทธิพลนั่นเอง“รอนานแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูให้เขาก็อ้อนทันที พร้อมกับจูงมือหญิงสาวเดินมาที่ห้อง เครื่องดื่มและของขบเคี้ยวถูกนำมาวางตรงโต๊ะหน้าทีวีสำหรับการเตรียมเชียร์บอลเรียบร้อย พร้อมกับเสียงบรรยายเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่ม จิวารีนั่งลงข้างเขาเอนพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย“ที่ร้านเป็นไงบ้างวันนี้ยุ่งหรือเปล่า?”“อือ ลูกค้าเยอะ วันนี้ใส่รองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ไม่สบายเท้าเลย แถมปวดขามากอีกต่างหาก” มือทุบที่หน้าขาตัวเองเบา ๆ“เหนื่อยก็พักมีพี่ไพลินอยู่ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอก” ยกแขนขึ้นโอบไหล่เธอและดึงเข้ามาซบไหล่ตัวเอง“แล้วเรื่องเรียนต่อของนายไปถึงไหนแล้ว?”“รอเรื่องงานลงตัวก่อนค่อยว่ากันอีกที?” ตอบและจูบที่หน้าผากจิวารีเงยหน้าขึ้นมองเขา“อะไร?” อิทธิพลถามเมื่อหญิงสาวเอาแต่ยิ้มแล
จิวารีอยากตอบตกลงการเริ่มงานใหม่กับเอวา เมื่อถูกทาบทามให้ไปทำงานที่สาขาใหม่ที่เพิ่งเปิดกับการร่วมหุ้นของสองครอบครัวระหว่างดวงยี่หวาและพิมพ์พรรณ แต่ดวงยี่หวาขอร้องให้เธอมาบริหารร้านอาหารแทน โดยยกเหตุผลทั้งร้อยแปดประการให้หญิงสาวใจอ่อน เพียงเพราะเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวไม่อยากให้สาวห่างไกลหูไกลตาเท่านั้นเองส่วนอิทธิพลนั้นตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งตามที่ทรงศักดิ์แต่งตั้ง ในการสานต่อธุรกิจของตระกูล เนื่องจากปัญหาสุขภาพของผู้เป็นปู่ เท่ากับว่าความรักที่เพิ่งผลิบานใหม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและภาระหน้าที่เพราะต่างฝ่ายต่างเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน ทำได้เพียงส่งข้อความหวานและโทรหาเพื่อฟังเสียงเท่านั้น หลังเลิกงานก็มารับหญิงสาวกลับห้องพร้อมกัน เพราะขนกระเป๋าเสื้อผ้ามาอยู่คอนโดที่เคยปฏิเสธแล้ว เนื่องจากดวงยี่หวาอ้างเป็นสวัสดิการและใกล้ที่ทำงานจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย“ร้านเดิมนะ ตอนเย็นหลังเลิกงานวันศุกร์”คือข้อความที่นัดเจอกันของกลุ่มเพื่อน หลังจากห่างหายจากการพบปะสังสรรค์นานแล้วหลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับการจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งเร
“มีอะไรหรือเปล่า?” เป็นเขาที่ถามขึ้นมาก่อน“เอ่อ....” เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ อิทธิพลปิดหลอดยาและเก็บลงกล่อง“เมื่อคืนนายไปส่งฉันใช่ไหม?” ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่จากที่เอวาบอก“อือ” ตอบและเดินไปหยิบรีโมทย์เปิดทีวี นั่งพิงพนักโซฟาอย่างผ่อนคลาย เลื่อนเลือกช่องดูผลการแข่งขันฟุตบอล“ขอบใจนะ” จิวารีอึกอักพูดต่อ“พี่แจ็คไม่อยู่บ้านน่ะ...ออกไปตั้งแต่เช้าก็เลยยังไม่ได้ถาม” ขยายความให้เผื่อเขาสงสัย“แล้ว...” เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น กลอกตาล้อกแล้กไปมาเหมือนหัวขโมยจอมโกหกที่กลัวคนจับได้“หือ...” อิทธิพลหันมามองหน้ายกคิ้วเป็นคำถาม และรอฟังว่าเธอจะถามอะไรต่อ จิวารีเม้มปากแน่น หายใจติดขัด“คือ...ฉัน...น่าจะเมาหนักมาก”“แล้ว...เผลอทำอะไรรั่ว ๆ หลุด ๆ ไปบ้างหรือเปล่า?” ถามอย่างมีเลศนัยอิทธิพลยกมือขึ้นจับคางทำท่าครุ่นคิด“ก็...”จิวารีลุ้นคำตอบตามอย่างตื่นเต้น“ไม่มีนะ”เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ฟังคำตอบจากเขา ค่อยยังชั่วหน่อย ที่แท้ก็แค่มโนเท่านั้น ยิ้มอย่างผ่อนคลาย กำลังจะอ้าปากถามเขาว่าอาหารจะมาส่งกี่โมง“เราก็แค่จูบกันเฉย ๆ” อิทธิพลพูดสวนขึ้นมารอยยิ้มบาง ๆ เมื่อครู่ค่อย ๆ หุบลง พร้อมกั
จิวารีงัวเงียตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้ามืด ตามด้วยการกินยาแก้ปวดและเดินกลับห้องทิ้งหัวลงหมอนนอนต่อ ลืมตาตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยง มือควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียงกดดูเวลาที่หน้าจอ ก่อนจะวางลงที่เดิม ค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งและนิ่งอยู่สักครู่ มือนวดวนอยู่ข้างขมับ ก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำเรียกความสดชื่นคืนให้ร่างกายละอองน้ำเย็นที่ซ่ากระเซ็นลงสู่ร่างตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เรียกความตื่นตัวคืนมาได้ไม่น้อย กลิ่นหอมของแชมพูบวกกับกลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ยังติดอยู่ที่ปลายจมูกผสมคละคลุ้งกันภายใต้ไอน้ำเย็นในห้องน้ำเล็ก ๆ จิวารียืนนิ่งใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลลงชำระความมึนเมาและความรุงรังในใจออกไปให้หมด ในสมองก็พลอยลำดับเหตุการณ์ของเมื่อคืนไปด้วยภายใต้ภาพความทรงจำที่แสนจะเลือนรางเท่าที่สมองจะบันทึกไว้ได้แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดกลับเป็นความฝันนี่เธอเป็นหนักเอาการถึงขั้นฝันว่าได้จูบกับเขาแล้วเชียวเหรอ มือเสยผมที่เปียกปอนลงสองข้างแก้มขึ้น เงยหน้ารับละอองน้ำเย็น เป่าปากถอนหายใจทิ้ง อีกนานแค่ไหนกันนะถึงจะกล้าเผชิญหน้ากับเขาเหมือนเดิมแบบไม่รู้สึกอะไรได้ เอาน่า ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ เรียนจบแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายหางานทำ
อิทธิพลจอดรถข้างริมฟุตบาทแวะซื้อข้าวต้มริมทาง เผื่อเธอสร่างเมาเมื่อถึงบ้านและเกิดหิวขึ้นมา ตลอดเส้นทางคนเมาที่ตื่นมาบ่นเป็นครั้งคราว“ดิน” เรียกชื่อเขาทั้งที่ตาหลับอยู่“หือ” คนขับหันไปมอง เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบลงและหลับต่อ อิทธิพลเอื้อมไปดึงมือเธอมากุมไว้อีกมือจับพวงมาลัย“ว่าไง” แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นั่งข้างกันรถวิ่งมาจอดหน้าบ้าน ดีว่าเขาเคยมาส่งตะวันในครั้งที่ลืมของไว้ที่นี่ไม่งั้นคงวุ่นวายหาบ้านอยู่เป็นแน่ว่าหลังไหน คนเมาก็พูดไม่รู้เรื่อง หันมามองคนข้าง ๆ ที่นั่งคอพับหลับอยู่“จิ๋ว” มือแตะไหล่ปลุกเธอให้ตื่น“ถึงบ้านแล้ว”“อือ” พลิกตัวหลับต่อ“จิ๋ว...เข้าบ้านนะถึงบ้านแล้ว” พูดซ้ำอีกครั้ง“ฮือ...ไม่เอา...จะนอน” งัวเงีย เสียงในลำคอบ่งบอกว่ารำคาญ“เข้าใปนอนในบ้าน”“กุญแจบ้านอยู่ไหน?” ถามคนเมาที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของเธอมาเปิดหากุญแจ เปิดเข้าไปในบ้านสำรวจก่อนเพื่อความแน่ใจว่าห้องของเธอห้องไหนและเปิดประตูทิ้งไว้ เดินกลับมาอุ้มคนที่หลับอยู่เข้าบ้านวางหญิงสาวลงบนที่นอน ถอดรองเท้าออกให้ และกลับมาปิดรั้วบ้าน ก่อนจะเข้าไปสาละวนกับคนเมาอีกครั้ง“ทำไมเมาทิ้งตัวขน







