มู่จิ่วซีตกตะลึง จากก็กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ : "ท่านผู้สำเร็จราชการแทน เจ้านี่ทึ่มจริง ๆ เจ้าไม่อยากบอก งั้นต่อให้ข้าจะรู้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็แค่สงสัยเท่านั้น""แล้วถ้าคนนี้เป็นคนที่เจ้ารู้จักล่ะ?" โม่จุนเกือบโมโหจนฉุนขาด"เจ้าไม่บอก ข้าก็ถือว่าไม่รู้จัก ยุ่งอะไรกับข้าด้วย" มู่จิ่วซีอยากจะจัดการเจ้าหน้าโลงผุคนนี้จริง ๆ แต่ก็เป็นเพียงแค่การสร้างวิมานบนอากาศ"เจ้าไม่อยากรู้?" โม่จุนกระตุกยิ้มตรงมุมปากและเอ่ยออกมา"ความสงสัยสามารถฆ่าแมวให้ตายได้ ข้ายังไม่อยากตาย ถ้าเจ้าไม่รู้จักพิษนี้ งั้นก็ถือซะว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน" มู่จิ่วซีเบะปากทำท่าอย่างกับไม่พอใจ"มู่จิ่วซี เจ้านี่ไม่เหมือนกับที่คนภายนอกล่ำลือกันเลย" โม่จุนอดไม่ได้ที่จะยอมรับข้อนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้สองคนจะเคยรู้จักกัน แต่ก็ไม่คุ้นเคยกันมากนักและไม่ได้รู้จักกันอย่างจริงจังมาก่อนเขาเข้าใจนางจากที่คนอื่นบอกเล่า รู้จักนางจากที่คนภายนอกพูดกัน"ปากของคนอื่น คนอื่นอยากจะพูดอะไร ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือไง? ท่านผู้สำเร็จราชการแทน คนโบราณได้กล่าวไว้ 'สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น' เจ้าเชื่อคำคนอื่นพูดง่ายขนาดนี้ นี่เจ้าเอาชน
"ก็ใกล้เคียงพอกัน ซึ่งคือเจ้าสำนักหอดาราจันทรา" โม่จุนกล่าวอย่างเรียบเฉยมู่จิ่วซีตกใจไปครู่หนึ่ง "เจ้าสำนักหอดาราจันทรา? ที่เขาว่ากันว่าเป็นเหมือนเทพมังกรเห็นหัวมิเห็นหาง จิ้งจอกม่วงคนนั้นน่ะเหรอ?"โม่จุนพยักหน้าและเอ่ยต่อ : "ทั้งหกแคว้นล้วนมีหอดาราจันทรา พลังของเจ้าสำนักคนนี้ไม่อาจดูถูกได้"มู่จิ่วซีถึงกับยิ้มแหยง : "เจ้าพูดก็เหมือนไม่ได้พูด ก็แค่เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวเดียว ข้าจะไปหาเขาเจอได้ที่ไหน""ช่วงนี้เขามาที่หอดาราจันทราของแคว้นเรา" โม่จุนหรี่ตาลงมู่จิ่วซีหัวใจเต้นกระตุกขึ้นมา นางมองไปยังใบหน้าที่พินิจพิเคราะห์ของเขาแล้วพูดขึ้นมา : "โม่จุน พูดตามความจริง หอดาราจันทราเก่งกาจขนาดนั้น เจ้าในฐานะท่านผู้สำเร็จราชการแทนของแคว้นเกาอวิ๋น เจ้าไม่รู้สึกถึงอันตรายเลยเหรอ ?"โม่จุนมองดวงตากลมโตทั้งสองข้างที่เจ้าเล่ห์และปราดเปรียบของนางอย่างครุ่นคิดและก็ไม่ได้พูดอะไร"เออ เออ เออ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด แต่ว่าข้าสงสัยถึงแรงจูงใจที่เจ้าบอกข้า" มู่จิ่วซีเผยยิ้ม"เจ้าสำนักหอดาราจันทราพักนี้เหมือนกำลังเปิดรับศิษย์" โม่จุนกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างเรียบเฉย "แต่ว่าก็อาจเป็นแค่ฉากบังหน้า"
เย่อู่เหิงและโม่จุนมองตากัน ในตาของทั้งสองต่างก็มีความตกตะลึงผู้หญิงคนนี้ต้องการจะใช้อุปกรณ์ทรมานเขาด้วยตนเองงั้นเหรอ?การทรมานที่ต้องมีเลือดตกยางออกแบบนี้นางไม่กลัวเลยงั้นเหรอ?มู่จิ่วซีเมื่อเห็นคมดาบของดาบวงพระจันทร์ ในใจของนางก็มีความสุขและก็รีบหยิบขึ้นมาเล่นครู่หนึ่ง สายตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดาบนี้ช่องคล่องมือดีจริง ๆเดี๋ยวกลับต้องมาไว้ป้องกันตัวสักหน่อย แค่เฉือนคอฉับเดียวต้องตายแน่หลังจากนางวางลง นางก็หยิบตะปูเหล็กเล็ก ๆ ยาว ๆ ขึ้นมากำหนึ่งจากนั้นนางก็เดินอย่างเชื่องช้ามาอยู่ตรงหน้าฉีฟั่ง นางแหงนหน้ามองเขา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายที่ไม่มีใครเทียบได้"อีสารเลว คิดว่าข้าจะยอมปริปากเพราะถูกทรมานรึไง? อย่าฝันไปเลย!" ฉีฟั่งถมน้ำลายไปทางมู่จิ่วซีมู่จิ่วซีเอี้ยวตัวหลบ น้ำลายที่มีเลือดผสมปนก็ถมลงพื้น ดูไปแล้วน่าขยะแขยงอย่างมาก"คุณหนูใหญ่ ให้ข้าน้อยจัดการไหมขอรับ?" เจ้าหน้าที่ชั้นศาลที่สาดน้ำรีบเข้ามาเอ่ยถามมู่จิ่วซีส่ายหัวพร้อมกับพูด : "พวกเจ้าจัดการเขาจนอยู่ในสภาพนี้แล้วยังไม่สารภาพเลย บ่งบอกว่าวิธีการไม่ถูกต้อง ข้าคงต้องลองวิธีใหม่ ๆ กับเขาถึงจะได้"ขณะพู
นี่มันโหดยิ่งกว่าเพชฌฆาตอีกผู้ชายสองคนลึกๆ ก็ได้แต่สงสัยในข่าวลือเรื่องของมู่จิ่วซีอีกครั้ง ว่ามีเพียงดื้อรั้นเอาแต่ใจจริงเหรอ?ทำเรื่องที่โหดร้ายทารุณได้ตาไม่กระพริบขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้ชายยังทำได้ยากเลย"อย่าเพิ่งหมดสติไปล่ะ ถ้าหมดสติไปก็จะต้องฟื้นอีก ไร้ประโยชน์น่า เสียงนี้ฟังดูไพเราะดีไหม?" มู่จิ่วซีจ้องหน้าฉีฟั่งที่ตกใจกลัวจนตาเหลือกพลางก็ดึงเหล็กหมาดไปมาเสียง "แกรกๆ" ทำให้คนได้ยินรู้สึกขนลุกขนพอง อีกอย่างหน้าอกของฉีฟั่งก็เต็มไปด้วยเลือดลดๆ ที่ไหลริน แดงเถือกไปทั้งซีกราวกับผีร้าย"จะ เจ้ามันเป็นนังปีศาจ..." ฉีฟั่งเจ็บปวดจนหน้าตาบิดเบี้ยว เขากัดปากตัวเองจนมุมปากแหวะ พูดจาไม่ชัดเจนแต่ความหวาดกลัวในจิตใจก็ทำให้ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว สายตาที่มองไปยังมู่จิ่วซีราวกับเห็นปีศาจร้ายก็ไม่ปาน"ตกอยู่ในมือข้า ถึงเจ้าจะอยากตายก็ไม่ได้ตายหรอก ไม่สู้สารภาพออกมาซะ ถ้าสารภาพข้าจะให้เจ้าได้ตายแบบศพสวยๆ สักหน่อย ถึงอย่างไรเจ้ามีชีวิตต่อไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว" มู่จิ่วซีกล่าว "แต่ว่าหากเจ้าไม่สารภาพ ในอีกหนึ่งร้อยวันต่อจากนี้ เจ้าจะได้ยินเสียงแบบนี้ทุกวัน"พูดไปก็มีเสียงแกรกๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
เย่ฮานมุมปากกระตุกทีหนึ่งก่อนจะพูดว่า "คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนก็คงจะรีบไปตามหาคนแซ่เซียวคนนั้นแหละขอรับ""คราวนี้ถึงค่อยร้อนรน ก็คนของเซียวหลิงเย่ว์ไม่ใช่หรือไง!" มู่จิ่วซีดูถูกโม่จุนผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้นักเย่ฮานรีบพูดขึ้นอย่างตกใจทันที "คุณหนูใหญ่ ท่านเดาออกแล้วเหรอ?""ข้าโง่ขนาดนั้นเชียว? แซ่เซียว มีไฝสีดำที่คาง คงเป็นเซียวเจี้ยนลูกพี่ลูกน้องของเซียวหลิงเย่ว์ล่ะสิ เมื่อสามปีก่อนตระกูลเซียวถูกฆ่าล้างตระกูล ประหารสามชั่วโคตร เซียวเจี้ยนก็คือคนที่หนีรอดไปได้"เย่ฮานก้มหน้าพึมพำ "เซ่อเจิ้งอ๋องคงจะต้องปกป้องสนมเอกสามแน่"มู่จิ่วซีเหล่มองเย่ฮานทีหนึ่งก่อนพูดว่า "ทุกคนต่างรู้ว่าเซียวหลิงเย่ว์กับโม่จุนมีใจต่อกัน แต่พระพันปีหลวงกลับยังประทานงานสมรสให้พวกข้า นี่ไม่ใช่จะทำร้ายข้าให้ตายหรือไง?"เย่ฮานมองไปรอบๆ ร้อนใจจนเหงื่อแตกพลั่ก กลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเข้า"ไปหาเย่อู๋เหิงยืมรถดีกว่า เราไปหอดาราจันทรากัน" มู่จิ่วซีเปลี่ยนเรื่องทันที"ไปหอดาราจันทรา?" สีหน้าของเย่ฮานเปลี่ยนไปฉับพลัน "คุณหนูใหญ่ ท่านจะไปหอดาราจันทราด้วยเหตุใด?""แน่นอนว่าไปหาท่านเจ้าของหอดาราจันทร
มู่จิ่วซีเห็นเจ้าอ้วนขมวดคิ้ว ก็เลยพูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยค "ทำไม หอดาราจันทราไม่อยากจะทำการค้าในแคว้นเกาอวิ๋นต่อแล้วอย่างนั้นเหรอ?"เจ้าอ้วนถึงได้แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา รีบพูดว่า "คุณหนูใหญ่มู่โปรดอภัย ขอให้ข้าน้อยไปรายงานสักหน่อย"มู่จิ่วซีนั่งลงอย่างสบายอารมณ์ เย่ฮานที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางฝ่ามือชื้นเหงื่อไปหมดแล้วไม่นาน เจ้าอ้วนก็วิ่งยิ้มๆ ออกมา "คุณหนูใหญ่มู่ เชิญ" จากนั้นมองไปที่เย่ฮานแล้วพูดว่า "น้องชายท่านนี้ไม่ต้องเข้าไปหรอกนะ"เย่ฮานคิดจะพูดอะไร มู่จิ่วซีก็พูดขึ้นว่า "เย่ฮาน เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ"จากนั้นนางก็เดินตามเถ้าแก่อ้วนเข้าไปด้านใน บรรยากาศด้านในค่อนข้างอึมครึม แต่การจัดวางไม่เลว ตกแต่งก็สวยงามมากเถ้าแก่อ้วนพานางมาจนถึงสวนด้านหลังสวนด้านหลังค่อนข้างใหญ่ เชื่อมต่อกับทะเลสาบลู่ ริมทะเลสาบมีแท่นสำหรับนั่งตกปลาและมีเรืออูเผิงเรียบง่ายอยู่ลำหนึ่งสองฟากมีบันไดไม้เชื่อมต่อ ตรงกลางเป็นสวนดอกไม้ มีศาลาหกเหลี่ยมอยู่หลังหนึ่งมู่จิ่วซียืนอยู่ใต้หลังคา มองเห็นภายในศาลาหกเหลี่ยมมีชายหนุ่มผู้สวมชุดคลุมสีม่วงแดง กำลังมองไปยังทิศทางริมทะเลสาบอยู่"คุณหนูใหญ่มู่ นั่นก็คือท่
"ดูเหมือนคุณหนูใหญ่มู่จะแตกต่างจากเรื่องที่เขาเล่าลือกันนะ"ฮั้วอวิ๋นเทียนเริ่มรู้สึกสนใจในตัวมู่จิ่วซีขึ้นมา กลิ่นอายในตัวของผู้หญิงคนนี้เขารู้สึกคุ้นเคยมาก นางเป็นนักฆ่า อีกทั้งยังฆ่าคนมาแล้วไม่น้อย"คนฉลาดมักจะไม่เชื่อคำเล่าลือ" มู่จิ่วซีหัวเราะอย่างเริงร่า"ใช่แล้ว เป็นฮั้วเองที่ตื้นเขินไป" ฮั้วอวิ๋นเทียนรู้สึกนับถือคำพูดง่ายๆ ประโยคนี้"เจ้าไม่ได้ชื่อจิ้งจอกม่วงหรอกเหรอ? ไม่ได้แซ่จื่อเหรอ?" มู่จิ่วซีประหลาดใจฮั้วอวิ๋นเทียนรู้สึกตามความคิดที่กระโดดไปไกลของนางไม่ค่อยทัน แต่ก็ส่ายหน้าก่อนตอบว่า "จิ้งจอกม่วงเป็นฉายาที่เหล่าสหายในยุทธภพตั้งขึ้นให้เท่านั้น""อย่างนี้นี่เอง กลับมาเรื่องเดิม ข้ารู้ว่าเจ้ามีวิชากำลังภายในที่แข็งแกร่งมาก ไม่ด้อยไปกว่าวิชากำลังภายในของเซ่อเจิ้งอ๋องเลย ข้าต้องการมาก""หืม?" ฮั้วอวิ๋นเทียนเลิกคิ้ว "เซ่อเจิ้งอ๋องบอกท่านอย่างนั้นเหรอ?""ใช่แล้ว!""เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าหรือยังไง?" รอยยิ้มบางๆ ของฮั้วอวิ๋นเทียน ไม่มีความอบอุ่นเจืออยู่เลย"ข้าก็เลยมาลองดูนี่ไงเผื่อจะโชคดีบ้าง" มู่จิ่วซียักไหล่กลิ่นอายของฮั้วอวิ๋นเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที นัยน์ตาแดงก
ทันใดนั้น มู่จิ่วซีก็เงยหน้าแล้วยิ้มให้กับฮั้วอวิ๋นเทียนนิ้วมือเรียวยาวเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เสียงดนตรีทุ้มต่ำไพเราะดังขึ้นราวกับภูติตัวน้อยที่ซุกซนราวกับสายน้ำที่ตกลงมาไม่ขาดสาย เสียงพิณไพเราะแต่ก็หนักแน่นมีพลัง จังหวะดนตรีสดใส เสียงเบาราวกับกำลังร่ำไห้ อารมณ์ปรับเปลี่ยนหลากหลาย ทำให้คนฟังน้ำตาไหลได้ตรงหน้าของฮั้วอวิ๋นเทียนราวกับมีหญิงงามแสนอ่อนโยนปรากฎตัวขึ้น รู้สึกปวดใจจนอยากจะร้องไห้ ขอบตารื้นชื้น"ขอแค่หัวใจใครซักคน อยู่กันไปจนแก่เฒ่า"เสียงพิณจบไป ประโยคที่มู่จิ่วซีเอ่ยขึ้นทำให้ฮั้วอวิ๋นเทียนได้สติขึ้นฉันพลัน เขาหันไปมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างตกตะลึงมู่จิ่วซีเมื่อเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความคลุมเคลือของฮั้วอวิ๋นเทียน นางก็ยิ้มออกมาน้อยๆ พลางพูดว่า "ดูท่าท่านหัวหน้าหอฮั้วก็เป็นคนที่จริงจังในความรักเหมือนกันสินะ"ฮั้วอวิ๋นเทียนรู้สึกหวาดกลัวในใจขึ้นฉับพลัน ราวกับเขาถูกคนล่วงรู้ความลับเข้าให้แล้วแต่เขาก็รีบสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว ร่างกายสั่นน้อยๆ สายตาดุดัน ค่อยๆ แผ่ซ่านกลิ่นอายความเย็นชาออกมา"ฝีมือการดีดพิณของข้าเป็นเช่นไรบ้าง?" มู่จิ่วซีรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที"เ