“ก็แค่ตัวตลก”......จั๋วซือหรานไปที่จวนของตระกูลเฟิง พูดตามตรง นางค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทางนี้อาจเป็นเพราะนางแอบเข้ามาหลายครั้ง จนกระทั่งนางยังไม่ถึงทางเข้าหลักของจวนเฟิง แค่เห็นกำแพงของจวนเฟิง นางก็อยากปีนเข้าไปทันทีจั๋วซือหรานเดินถึงที่ประตูจวนเฟิง นางเห็นคนรับใช้หลายคนของจวนเฟิงยืนอยู่ที่นั่น“ จั๋วจิ่วมาเยี่ยม โปรดส่งข่าวและแจ้งให้ทราบด้วย” จั๋วซือหราน กล่าวอย่างสุภาพคนรับใช้หลายคนไม่กล้าละเลย พวกเขาอาจได้รับคำสั่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพานางเข้าไปข้างในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน คนรับใช้ก็พานางไปที่ห้องโถงด้านหน้า“อยู่ข้างในขอรับ เชิญคุณหนูจั๋วจิ่วเข้ามาขอรับ” คนรับใช้ยืนที่ด้านข้างและทำท่าทางเชิญชวน เขาพูดด้วยความเคารพจั๋วซือหรานเดินเข้าไป แต่ก่อนที่นางจะเดินถึงบันไดยาวที่อยู่หน้าประตูห้องโถงหน้า นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามนางจากด้านหลังคนที่มาคิดไม่ดีจั๋วซือหรานได้ยินเสียงลมที่มาจากทางอากาศ นางไม่หันตัวกลับมา แต่เพียงขยับตัวไปทางซ้ายเล็กน้อยมีดาบที่ไม่ได้หุ้มฝักแทงเข้าข้างหูของนางจั๋วซือหรานเหลือบเห็นดาบจากมุมตาของนาง นางรู้สึกดาบนี้คุ้น ๆ ตอนที่นางเพิ่งข้ามเ
จั๋วซือหรานได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ แต่เนื้อหาของคำพูดนั้นทำให้นางตกตะลึงรอยยิ้มที่แต่เดิมปรากฏเพราะนางล้อเฟิงหร่านนั้นก็หยุดลงทันที“ท่านพี่” เฟิงหร่านรีบกระโดดไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วรีบวิ่งไปข้างหลังของเฟิงเหยียน นางกำลังอยากบอกจั๋วซือหรานว่านางมีคนหนุนหลังแล้วทันใดนั้นนางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจั๋วซือหรานหายไปนั่นไม่ใช่การเปลี่ยนหน้ากะทันหัน แต่เป็นกระบวนการจากไม่มีถึงมี ซึ่งทำให้คนมักรู้สึกว่า นางกำลังเสียใจอย่างอธิบายไม่ได้เฟิงหร่านไม่รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะจั๋วจิ่วสวยมาก นางเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของจั๋วซือหรานค่อย ๆ หายไปความดีใจเดิมในการอยากแสดงความแข็งแกร่งหายไป และด้วยเหตุผลบางอย่าง อารมณ์บางอย่างที่สงสารผู้อื่นก็พุ่งขึ้นในหัวใจของนางเฟิงหร่านกัดริมฝีปากของนาง แต่นางไม่ได้พูดอะไรประชดแม้แต่คำเดียว หลังจากกลั้นหายใจอยู่นาน นางพูดได้เพียงประโยคเดียวว่า "เจ้า...ข้าจะไม่ถูกสั่งเข้าห้องลงโทษอีกหรอก"จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นและมองหญิงสาวผู้นี้ ต้องยอมรับว่าแม้ว่าคุณหนูสิบของตระกูลเฟิงมีนิสัยเอาแต่ใจอย่างคุณหนูของตระกูลขุนนางอื่น ๆ แต่เมื่อเทียบกับจั๋วหรูซิน คุณหนูสิบผู้นี้ด
“เหยียนเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น ให้เจ้าเรียกเด็กผู้หญิงคนที่เก้าของ ตระกูลจั๋วมาคุยเรื่องหมั้นของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ”“ใช่สิ ทำไม...เจ้าถึงไล่นางออกไป”เหล่าผู้อาวุโสดูกังวลเล็กน้อยแม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจจั๋วซือหราน แต่โดยเฉพาะพวกเขาทั้งหมดยังคงจำคำดูถูกของจั๋วซือหรานที่มีต่อตระกูลเฟิงได้อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างเห็นความสามารถของจั๋วซือหราน แม้ว่าพวกเขาไม่ยอมนาง แต่ด้วยสถานการณ์ที่แท้จริง พวกเขาต้องฝืนใจยอมรับนางเนื่องจากสภาพร่างกายของเขาเฟิงเหยียน เขาไม่ค่อยปรากฏตัวในวันที่มีแสงแดดจ้า แต่วันนี้เขาสามารถ...จะเห็นได้ว่าจั๋วจิ่วผู้นั้นพอมีความสามารถเฉพาะตัวความสามารถนี้ทำให้พวกเขาอดกลั้นอคติไว้ แม้ว่าพวกเขายังคงมีอคติต่อจั๋วซือหรานก็ตาม นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาส่งรถม้าที่มีขวัญจำนวนมากไปที่นั่นตั้งแต่เช้า“วันนี้ยังไม่ต้อง” เฟิงเหยียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไว้วันหลัง…”ก่อนที่เขาจะพูดจบ เฟิงหร่านก็อุทานจากด้านข้าง "ท่านพี่ หน้าของท่านพี่..."สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ชิดรีบถอดผ้าคลุมและคลุมเฟิงเหยียนทันที“ใช้เวทย์มนต์เร็วเข้า” ผู้อาวุโสนั้นพูดด้
เฟิงหร่านไม่เชื่อตัวเองดึงจั๋วซือหรานไม่ได้ นางดึงมือของจั๋วซือหรานแรงอีกครั้งแต่จั๋วซือหรานไม่ขยับตัวแม้แต่น้อยเหมือนเดิมเฟิงหร่านรู้สึกเมื่อครู่นี้นางยังรู้สึกจั๋วจิ่วน่าสงสาร ยังคิดว่าจั๋วจิ่วคนนี้ดูเรียวและอ่อนแอมานั้นหรือตัวเอง...ตาบอดจริง ๆเฟิงหร่านพูดอย่างกังวลว่า "มากับข้าเร็วเข้า มีเรื่องด่วน"เนื่องจากบริเวณโดยรอบไม่ใช่สถานที่ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ การเคลื่อนไหวของพวกนางได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินบนถนนแล้วยิ่งไปกว่านั้น ดาบประจำตรกูลที่อยู่รอบเอวของเฟิงหร่านแสดงให้เห็นตัวตนของนาง และจั๋วซือหรานเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่มีใครไม่ชอบที่จะเห็นความตื่นเต้นเช่นนี้เฟิงหร่านกัดริมฝีปากและลดเสียง นางขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า "ท่านพี่ของข้าเจอปัญหาใหญ่แล้ว"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ คิ้วของจั๋วซือหราน ซึ่งขมวดเล็กน้อยอยู่แล้วก็ขมวดแน่นยิ่งขึ้น "เกิดอะไรขึ้น"“อย่างไรก็ตาม... มากับข้าเร็ว ๆ นี้” เฟิงหร่านกังวล นางกลัวว่าจั๋วซือหรานไม่สบายใจเพราะคำพูดของท่านพี่ นางคิดไปคิดมาและกระซิบว่า " พี่จั๋วจิ่ว หนูขอร้อง"จั๋วซือหรานยังสงสัยคำพูดของเฟิงหร่านในก่
จากนั้นนางจึงถอดเสื้อคลุมที่คลุมเฟิงเหยียน ออกจากนั้นนางเห็นสภาพอันน่าเวทนา ทันทีที่จั๋วซือหรานเห็น นางรู้สึกเสียใจกับการกระทำของนางจริง ๆ แล้วนางเป็นคนที่ไม่ค่อยเสียใจ แต่ในตอนนี้ นางมีอารมณ์บางอย่างหนึ่งที่เรียกได้ว่าเสียใจ...ทำไมข้าต้องอารมณ์ฉุนเฉียวกับคนไข้ ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งเหมือนเด็กจั๋วซือหรานรีบรักษาเฟิงเหยียนทันทีพูดตามตรง สภาพปัจจุบันของเฟิงเหยียนแย่กว่าตอนที่เขาอยู่ที่ศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนในเมื่อวานนี้ บัดนี้เขามีรอยไหม้ทั่วร่างกาย และแม้แต่ตาและหูของเขาก็ถูกพลังวิเศษทำลายจนเป็นรอยแผลไหม้เขาอาจจะมองไม่เห็นและฟังไม่ได้เดิมทีจั๋วซือหรานคิดว่าการรักษาเขาคงจะยากกว่าเมื่อวาน นางยังคงกระตุ้นพลังของการแพทย์สายวิเศษต่อเนื่อง แต่พบว่า......เหตุใดพลังของการแพทย์สายวิเศษจึงดูนุ่มนวลกว่าเดิมนางไม่มีเวลาพิจรณาสถานการณ์ปัจจุบันของนาง แต่พูดจริง ๆ แล้ว จั๋วซือหรานรู้สึว่า ระบบเส้นลมปราณของนางเหมือนถูกขยายกว้างขึ้นมากจั๋วซือหรานไม่ทันสนใจท่ารักษาของนางจะถูกต้องหรือไม่ หรือจะสง่างามหรือไม่นางดึงเสื้อคลุมของเฟิงเหยียนออกทีเดียว“อ๊า——” เฟิงหร่านอุทานอย่างตกใจผู
เฟิงเหยียนรู้สึกมีคนตบเขาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่เกิดจากพลังวิเศษอันรุนแรง ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาจะอ่อนแอลงและได้รับผลกระทบจริง ๆเพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่คือการบาดเจ็บที่เกิดจากพลังวิเศษ ซึ่งแสดงแผลภายนอก ภายนอกก็เป็นเช่นนี้แล้ว แล้วไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บจากภายในจะเป็นอย่างไรหลังจากบังแสงอาทิตย์แล้ว พลังวิเศษจะไม่ได้รับการสะท้อนจากแสงแดดอีกต่อไป และจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเขาอีกต่อไป และร่างกายของเขาจะค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัวดังนั้นในเวลานี้ ประสาทสัมผัสทั้งห้าจะอ่อนแอลงเขาเพียงรู้สึกว่า มีคนตบเขาสองสามครั้ง จากนั้นความรู้สึกอ่อนโยนบางอย่างก็ค่อย ๆ กระจายไปในตอนแรกมันเป็นความรู้สึกที่เย็นสบายมาก แต่หลังจากที่มันแพร่กระจายออกไป มันกลับกลายเป็นความอบอุ่น โดยปกติแล้ว ด้วยพลังวิเศษของไฟที่รุนแรงเช่นนี้ เขาไม่ควรรู้สึกถึงความอบอุ่นใด ๆอะไรจะร้อนแรงไปกว่าพลังวิเศษของเขาได้ล่ะ ร้อนผะผ่าวแล้ว จะรู้สึกอบอุ่นได้อย่างไรแต่มันก็รู้สึกถึงอย่างมหัศจรรย์แม้ว่าหูยังไม่สามารถได้ยินอะไรและตาก็มองไม่เห็นความรู้สึกเย็นและความอบอุ่นที่ขัดแย้งกันนี้ยัง
แต่ ฃเฟิงเหยียนไม่ปล่อยมือของนางริมฝีปากอันบอบบางของเขาขยับเล็กน้อย อาจเป็นเพราะการได้ยินของเขาได้รับผลกระทบอย่างมากและเขาพูดเสียงดังเกินไป ดังนั้นเขาจึงลดเสียงลงเมื่อเขาพูดเขาบีบข้อมือนางแล้วกระซิบว่า "อย่าฝืนตัว" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเสริมว่า "ดีขึ้นแล้วหรือ"ตอนแรกจั๋วซือหรานยังไม่เข้าใจทำไมเขาพูดอย่างนั้น แต่นางเงียบไปสองวินาทีและนางเข้าใจความหมายของเขาทันทีแม้ว่านางไม่รู้ว่าเขาหมายถึงนางไม่สบายตัวตอนที่นางรักษาเขาจนอาเจียนเป็นเลือดในเมื่อวานนี้หรือว่าความเจ็บปวดที่นางต้องทนทุกข์ทรมานจากเมื่อเช้านี้หลังจากรักษาเขาเมื่อวานนี้อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะหมายถึงข้อใด อย่างน้อย... เขายังคงมีมโนธรรมเพียงแต่ว่าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงไม่ได้มีมโนธรรมมากนักพวกเขายืนอยู่อยู่ข้าง ๆ และพากันพูดว่า " เหยียนเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องกังวล ทักษะทางการแพทย์ของจั๋วจิ่วนั้นยอดเยี่ยมมาก และนางจะรักษาเจ้าให้หายในเร็ว ๆ นี้... "“ใช่สิ จั๋วจิ่ว รีบรักษาเหยียนเอ๋อร์สิ มิฉะนั้น หากอาการบาดเจ็บเป็นเวลานานไป ไม่รู้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขาหรือไม่”จั๋วซือหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ว่าน
จั๋วซือหรานมองไปที่ชายที่มีรอยแผลเต็มตัวตรงหน้าพูดตามตรง เมื่อก่อนนางรู้สึกชายคนนี้เหมือนทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งทำให้นางรู้สึกเขาอ่อนแอมากเขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ และมีรอยแผลเต็มตัว แม้แต่พลังรอบตัวของเขาก็ยังอ่อนแอเขาหน้าตาดี ราวกับว่าเขาเป็นผู้ชายหล่อเหลาที่มีร่างกายไม่แข็งแรง บาดแผลไหม้เกรียมหลายจุดบนใบหน้าของเขาไม่ได้ทำให้เขาดูน่าเกลียดหรือน่ากลัว แต่กลับทำให้เขามีความงามอันอ่อนแอที่เย้ายวนซึ่งน่าสงสารมากพูดตามตรง จั๋วซือหรานรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ นางยังรู้สึกว่า กาลเวลาไม่เคยทำให้คนสวยแก่ลง กาลเวลาไม่เคยเอาชนะใครเลย แต่พระเจ้าก็ไม่สงสารความงามเช่นกัน พระเจ้าจึงยอมให้เขาทนทุกข์ทรมานกับการลงโทษเช่นนี้จากนั้นนางก็เห็นเฟิงเหยียนโกรธเหล่าผู้อาวุโสเขาไม่แม้แต่ลงมือเลย...ผู้อาวุโสเหล่านี้อาเจียนเป็นเลือดจริง ๆ นี่คือตระกูลเฟิงนะ ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงก็ไม่น่าจะแย่มากเลยใช่ไหมเฟิงเหยียนมีพลังอันแข็งแกร่งมากแค่ไหนแล้วจั๋วซือหรานขจัดความสงสารในใจของนางอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวไม่แข็งแกร่งเท่าคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่านางไม่มีปัญญาพอที่จะให้ความเมตตาต่อผู้อื่น
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย