เพราะองค์หญิงเจาหมิ่นอุตส่าห์ติดกับดักนี้ เพื่อฉวยโอกาสที่ดีนี้มาเจรจากับตระกูลเฟิงกระมังจั๋วซือหรานคิดในใจ ในเมื่อนางทำลายแผนขององค์หญิงระหว่างครึ่งทางแล้ว อย่างไรก็ตาม นางต้องจัดกลที่ยิ่งใหญ่สักหน่อย จึงเหมาะกับกับดักนี้จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "ผู้อาวุโส สิ่งที่ข้าต้องการคือการเคารพ ความเกรงกลัวก็ได้ พูดตรง ๆ พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับการที่ปฏิบัติต่อผู้อาวุโสขตระกูลเฟิง หรืออย่างน้อยพวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับที่พวกเจ้าปฏิบัติต่อเฟิงเหยียน "เฟิงเหยียนยังคงเงียบอยู่ข้าง ๆ และเขารู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสจ้องมองเขาเป็นครั้งคราวเหมือนพวกเขาหวังว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างเขาพูดอะไรได้บ้าง เขาไม่อยากพูดอะไรเลยก่อนหน้านี้เขาเคยมอบโอกาสให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาพลาดไปเองก่อนหน้านี้พวกเขายังด่าว่า คนของตระกูลจั๋วโง่ทั้งนั้น นับขยะเป็นสมบัติ แต่สมบัติที่แท้จริงนี้กลับถูกละทิ้งเหมือนทิ้งขยะตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลแต่ละตระกูลโง่ทั้งนั้น ตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ดีกว่าตระกูลอื่นนะผู้ที่ต้อยความสามารถมักจะครอบงำโลก ซึ่งเขาจนปัญญาเฟิงเหยียนไม่สนใจสายตาที่เต็บไปด้วยคำร้องขอความช่วยเหลือขอ
“อะไรนะ” ผู้อาวุโสตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เบิกตากว้างอย่างเห็นได้ชัด จากสีหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธบ้างเพราะเงื่อนไขของจั๋วซือหรานเขาอาจรู้สึกว่านางได้คืบจะเอาศอกและข่มขืนใจเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุกคนรู้ดีว่าสัญญาจิตวิญญาณการพูดเป็นสัญญาที่มีข้อผูกมัดอย่างสูงหากเงื่อนไขที่จั๋วซือหรานเสนอมาเป็นเงื่อนไขใด ๆ ที่บอกถึงทุกรายละเอียด ให้พวกเขาทำสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพวกเขาสามารถได้ยินและยืนยันได้ว่าพวกเขาทำได้หรือไม่ และเงื่อนไขของนางสมเหตุสมผลไหมแต่สิ่งที่จั๋วซือหรานพูดเป็นเพียงสัญญาที่...ภาพลวงตาใครจะรู้ว่าวันหลัง นางอยากให้พวกเขาทำอะไรเมื่อถูกผูกมัดด้วยสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดนี้ หากนางต้องการให้พวกเขาทำสิ่งที่ทรยศต่อตระกูลในภายหลัง พวกเขาต้องผูกมัดกับสัญญาและถูกนางควบคุมหรือยิ่งไม่ต้องพูดถึง......“เจ้าเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยฝึกฝนในลัทธิ นางจะมีโอกาสเรียนรู้สัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดได้อย่างไร อย่าบอกนะ เจ้าได้ยินจากผู้อื่น แล้วเอามาพูดเล่นกับพวกเรา…”จั๋วซือหรานแสดงฝ่ามือของนาง และมีสัญลักษณ์ที่ส่องแสงวาบอยู่บนฝ่ามือของนางแม้ว่าเหล่าผู้อาว
ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ เขายังเหลือบมองคนสองคนที่กำลังคลานมา ซึ่งมีปฏิกิริยาผิดปกติเขากล่าวต่อว่า “ข้าไม่อยากเป็นแบบพวกเขา มันน่าเกลียดมาก ไม่สุภาพ ดูไม่ได้เลย”ความรังเกียจในดวงตาของเขานั้นมีอยู่จริง เหมือนเขาไม่คำนึงว่าจั๋วซือหรานเป็นคนนอก และผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นคนของเขาเองผู้อาวุโสอีกหลายคนโกรธเขาอย่างเห็นได้ชัด“เฟิงฮ่วน เจ้าทำ…ได้อย่างไร”“เจ้าไม่ฉลาดจริง ๆ ”ผู้อาวุโสที่ชื่อเฟิงฮ่วนมองพวกเขา เขาพยักหน้าอย่างไม่จริงใจ "ใช่ ๆ พวกเจ้าฉลาด พวกเจ้าสู้ต่อเลย ข้าโง่ ข้าไม่รู้เรื่อง ข้าขอรับการรักษาก่อน"หลังจากเขาพูดอย่างนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปตรงหน้า จั๋วซือหราน " แม่นางจิ่ว รีบหน่อย"จั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่าจะมีผู้อาวุโสเช่นนี้ซ่อนอยู่ในท่ามกลางคนหัวโบราณของตระกูลเฟิงตอนนี้นางกลับมาคิด ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ด่านางในก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโส เฟิงฮ่วน ไม่เคยพูดเสริมอะไรเลยแม้ว่าเขาจะไม่ได้ช่วยนาง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าข้างพวกเขาเช่นกันเขาแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ...และมองดูก่อนที่เขาจะเข้าใจสถานการณ์ เขาไม่แสดงความคิดเห็นและเข้าข้างฝ่ายใดฝ
ความแข็งแกร่งของระบบเส้นลมปราณของนางช่างน่าประหลาดใจจั๋วซือหรานยิ้ม "ไม่เป็นไร ข้ายังพอรักษาเจ้าได้"ดวงตาของเฟิงฮ่วนเป็นประกายดวงตาของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็เบิกกว้างขึ้นทันทีโถ ไม่นะ อะไรนะ...นางหมายความว่าอย่างไรเป็นไปได้ไหมว่าหลังจากที่นางรักษาเฟิงฮ่วนแล้ว นางไม่มีแรงที่จะรักษาพวกเขาอีกต่อไปแล้วพอมาคิดในตอนนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆก่อนหน้านี้เมื่อจั๋วจิ่วรักษาฉูนจวีน มันโหดร้ายมาก ปากและจมูกของนางมีเลือดไหลออกมา เหมือนนางกำลังจะตายในวินาทีถัดไปคงไม่ว่า...พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ชายสองคนที่กลายพันธุ์ และหัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเย็นชาเป็นไปได้ไหมที่ตัวเองจะกลายเป็นเช่นนั้นผู้คนได้มักจะรับผลกระทบจากจิตวิทยาจริง ๆ ยิ่งคิดเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาเหลือเวลาไม่พอแล้วก่อนที่จะกลายพันธุ์พวกเขายิ่งรู้สึกว่าร่างกายเริ่มคันจากระบบเส้นลมปราณมากขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่ายิ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้นพวกเขาอดไม่ได้ที่ต้องจ้องมองที่เฟิงฮ่วน เป็นไปได้ไหมที่เฟิงฮ่วนผู้นี้รู้ล่วงหน้าแล้วนั่นเป็นเห
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ แม่นางจิ่ว มีวิธีอื่นอีกไหม”“ก่อนหน้านี้ พวกเราพูดจาหยาบคายเกินไป นั่นเป็นความผิดของเรา แม่นางจิ่ว ได้โปรดอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราเลย”“เจ้าเป็นคนเก่ง เจ้าต้องมีวิธีอื่นกระมัง”จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้น นางมองพวกเขา และนางเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ "จั๋วจิ่วไม่เก่งพอ ข้ารักษาได้แค่วันละสองคน หลัก ๆ เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังไม่รู้จักอาคมหนอนพิษกู่นี้ ข้าจึงรักษายาก"ขนาดที่นางพูด นางมองลูกหลานของตระกูลเฟิงสองสามคนที่ถูกนางยิงที่ศีรษะ "หากให้ข้าศึกษาดี ๆ บางทีอาจมีวิธีรักษาที่ดีกว่านี้อีก แต่ข้าไม่ควรปล่อยให้ผู้อาวุโสเหล่านี้กลายเป็นเช่นนั้น ให้พวกเขารอข้าด้วยสภาพนั้นสิ อีกอย่าง ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่า หากกลายเป็นเช่นนั้นแล้ว ค่อยรักษาพวกเขา จะมีผลกระทบต่อการฝึกฝนของพวกเขาหรือไม่"เมื่อก่อนพวกเขาแค่คิดว่ามันน่าอายเกินไปที่ต้องมีสภาพนั้นแต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหรานในตอนนี้ นางบอกว่าอาจส่งผลกระทบต่อทักษะการฝึกฝนของพวกเขาพวกเขาไม่สนใจความไร้ยางอายอะไรอีกเลย" แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาวิธีแก้ปัญหา"“ใช่สิ ใช่สิ แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาทางแก้ปัญหาหน่อยเถิด เร
หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ทุกคนทราบทันทีอาคมหนอนพิษกู่มีแม่ของพิษกู่สีหน้าของพวกเขาแย่ลงเล็กน้อย พวกเขาพากันมองไปที่ศพที่ไร้ชีวิตทั้งสี่ศพ“เจ้ากำลังบอกว่าหากมีคนคิดวิธีการอันเลวร้ายเช่นนี้เพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังตระกูลเฟิงของเรา เฟิงช่าน เฟิงจู้ และพวกเขาทั้งสี่คนนั้นคือแม่กู่”เฟิงเซินพูดอเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมอย่างมาก ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมเช่นกันจั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย "ประมาณเช่นนี้"ผู้อาวุโสเฟิงเซินส่ายหัว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ทำไม หากมีคนต้องการทำร้ายตระกูลเฟิงจริง ๆ ทำไมล่ะ สำนักงานใหญ่ของตระกูลเฟิงมีสมาชิกมากมาย แต่ทำไมต้องเป็นเฟิงช่าน เฟิงจู๋และศิษย์อื่น ๆ ที่ฝึกฝนในลัทธิไม่ได้กลับมาบ่อย ๆ…”“ใครจะรู้ เพราะพวกเขาแวะกลับบ้านพอดีกระมัง” จั๋วซือหรานยักไหล่ โดยบอกว่านางไม่ทราบสาเหตุหลัก นางให้เหตุผลแบบขอไปทีแต่เฟิงเซินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้สึกนางพูดมีเหตุสม เพราะเฟิงช่าน เฟิงจู และคนอื่น ๆ ต้องเดินทางจากที่อื่นกลับมาอยู่เมืองหลวงอยู่ดีจั๋วซือหรานกล่าวว่า "อีกอย่าง เพราะพวกเขาเก่ง อีกฝ่ายจึงอาจรู้ว่าเพราะพวกเขาเก่ง พวกเจ้าจะไม่สามารถเพิกเฉยต่อเด
จู่ ๆ ตระกูลเฟิงของพวกเขาต้องสูญเสียพรสวรรค์ไปสี่คน และในสายตาของผู้ที่ลอบสังหารพวกเขานี่เป็นเพียง...อะไรนะ การสูญเสียหายที่ไม่สำคัญหรือยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน พวกเขาก็สงสัยจั๋วซือหรานเป็นคนแรกเพราะตอนนี้ในสายตาของพวกเขา พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณของจั๋วซือหราน และติดความโปรดปรานของจั๋วซือหรานด้วยใครจะรู้ว่านี่คือแผนใหญ่ของจั๋วซือหรานหรือไม่แน่นอนว่า จั๋วซือหรานสามารถสังเกตเห็นความสงสัยในดวงตาของพวกเขาได้ แต่นางก็ไม่สนใจนางแค่พูดว่า "ข้ารู้ว่าข้าน่าสงสัยมาก แต่..."จั๋วซือหรานมองไปที่พวกเขา "ตอนนี้ข้าอยู่ภายใต้สายตาของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ"เฟิงฮ่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง "แม่นางจิ่วพูด...สมเหตุสมผล"จั๋วซือหรานกล่าวว่า "สรุปก็คือ พวกเจ้าปิดประตู อย่าออกไปข้างนอก แล้วกระจายข่าวไปยังโลกภายนอก โดยบอกว่าสมาชิกในตระกูลเฟิงกำลังเป็นโรคแปลก ๆ ข้าเชื่อว่าคนที่อยากให้พวกเจ้าติดหนี้ความโปรดปรานของนั้น จะปรากฏตัวในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ "หลังจากพูดจบ จั๋วซือหรานจึงส่งพลังวิเศษเข้าไปใน ระบบเส้นลมปราณของเฟิงฮ่วนทันใดนี้ผู้อาวุโสหนุ่มคนนี้พูดไม่ออกสักคำ เขาไม่มี
ตอนแรกคนรับใช้สองคนนี้ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเจาหมิ่นองค์หญิงเจาหมิ่นกล่าวต่อว่า "หากจั๋วจิ่วช่วยพวกเขา พวกเขาจะทราบพิษกู่ไหม นอกจากแม่กู่นั้นอันตรายกว่า อาคมหนอนพิษกู่ที่แม่กู่นั้นแพร่กระจายนั้นรับมือยากเฉย ๆ แต่ก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น สำหรับตระกูล เฟิง นั่นไม่ใช่สารพิษร้ายหรอก"“ด้วยความสามารถและความฉลาดของจั๋วจิ่ว นางต้องเดาได้อย่างรวดเร็วว่าคนที่วางยาพิษจะต้องการทำเช่นนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากตระกูลเฟิง บางทีนางอาจจะให้ตระกูลเฟิงรอข้าไปปรากฏตัวเอง มันเป็นกับดัก ตราบใดที่ข้าไม่ปรากฏตัว จั๋วจิ่ว นางต้องเป็นแพะรับบาป"หลังจากได้ยินคำพูดขององค์หญิงเจาหมิ่น คนรับใช้หญิงสองคนนั้นจึงตระหนักได้ทันทีมีคนหนึ่งกล่าวว่า "ท่านนักปราชญ์หญิงของช่างฉลาดเหลือเกิน"อีกคนยังคงกังวลเล็กน้อย “แต่หากจั๋วจิ่วไม่แตะต้องแม่กู่เหล่านั้นเลยล่ะเพคะ”เจาหมิ่นหัวเราะเยาะหลังจากได้ยินคำพูดนี้“นางไม่แตะต้องแม่กู่เหล่านั้น นางอยากหาวิธีถอนพิษกู่ไหม นางทำไม่ได้ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้ว่านางคือจั๋วจิ่วก็ตาม แต่การถอนพิษกู่ไหมนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก"เจาหมิ่นพูดและมองไปที่คนรับใช้หญิงสองคนนั้น "แม้ว
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"