เฟิงเหยียนเอ่ยต่อ “อาจารย์ที่ยอดเยี่ยมของข้าคนนั้น เหมือนว่าจะรอบรู้ไปทุกเรื่อง ทำเป็นเสียทุกเรื่อง สอนอะไรพวกเรามามากมาย ทุกคนล้วนน้อบรับทั้งกายใจ เดิมทีพวกเราคิดว่า จะสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระเช่นนี้ไปได้ทั้งชีวิต แต่คิดไม่ถึงว่า...”จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง “จะถูกใช้ให้เป็นประโยชน์สินะ?”เฟิงเหยียนยิ้มขืน หญิงสาวคนนี้ฉลาดจริงๆจั๋วซือหรานร้องเชอะ “สอนท่านมาจนร้ายกาจขนาดนี้ แล้วให้ท่านกลับมาที่บ้าน พอคนในบ้านรู้ถึงคุณสมบัติตัวท่านแล้ว จะยอมปล่อยให้ท่านมีชีวิตอิสระเสรีต่อไปได้หรือ?”“แน่นอนว่าต้องให้ท่านสืบทอดพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อแน่ๆ กลายมาเป็นภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ค่านี้ แล้วยังต้องมาถูกควบคุมโดยตระกูลเฟิงอีก แล้วพวกสภาผู้อาวุโสที่แต่งตั้งตำแหน่งซือเจิ้งหน่วยสืบสวนพิเศษให้ท่าน ดูแล้วเหมือนจะยกย่องท่านขึ้นสูงส่ง แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาคิดจะชุบเลี้ยงท่านให้อยู่อย่างว่าง่ายในแคว้นชาง...รอจนวันหนึ่งที่ต้องการท่าน ค่อยลากท่านออกมาสังหารทิ้งหรือเปล่าก็ไม่รู้”คำพูดของจั๋วซือหราน แม้ฟังแล้วจะไม่ค่อยเข้าหู แต่มันก็ดูเป็นความจริงมากมุมปากเฟิงเหยียนยกขึ้น “ดังนั้น การมามีความสัมพ
จากนั้นบนโต๊ะหินเล็กด้านนอก ก็เจอเข้ากับ ‘หนูตัวใหญ่’ ตัวหนึ่ง ฉุนจวินกินจนปากมันเลื่อม พอเห็ฯจั๋วซือหรานเดินออกมาก็ตกใจสะดุ้งโหยง เขายื่นมือมาเช็ดปาก ดวงตาถลึงกลมโตคำพูดเองก็ติดๆ ขัดๆ“จิ่ว...แม่นางจิ่ว ท่านทำไมจึง...” ฉุนจวินลุกขึ้นยืน ท่าทางดูแล้วค่อนข้างไม่สบายใจ สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง เหมือนเด็กน้อยที่ทำอะไรผิดมา “ท่านไม่ใช่ถูกนายท่าน...นายท่านไม่ใช่กำลังทำ...”ฉุนจวินพูดอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจเขาพูดออกมาไม่ได้หรอก ว่าท่านเมื่อครู่กำลังทำนั่นโน่นนี่กับนายท่านอยู่...ทำไมถึงลุกขึ้นมาแล้วล่ะ? ไม่ใช่ต้องพักผ่อนเสียหน่อยหรือ?จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้ว “นั่นสิ นายท่านของเจ้าจำเป็นต้องบำรุงเสียหน่อย ข้าเองก็เตรียมจะบำรุงให้กับเขา แต่มาถูกหนูตัวใหญ่อย่างเจ้ากินไปแล้ว”ฉุนจวินหน้าแดงก่ำจั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ “ช่างเถอะ เจ้าไปอธิบายกับเจ้านายเจ้าเองก็แล้วกัน”พูดจบประโยคนี้ จั๋วซือหรานก็ยกเท้าคิดจะเดิน ฉุนจวินถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น “ดึกขนาดนี้แล้ว แม่นาวจิ่วจะไปไหนหรือ?”“โอ้” จั๋วซือหรานขานรับ ฉุนจวินเห็นว่าหญิงสาวงดงามตรงหน้านี้ รอยยิ้มในสีหน้าจู่ๆ ก็หายไป เหลืออยู่แค
ขอรับ!“จั๋วซือหรานหลังจากออกมาจากหน่วยสืบสวนพิเศษ ระหว่างทางที่ตรงไปทางบ้านตระกูลเฟิง ถือว่าคุ้นหูคุ้นตาดีแล้ว พอมาถึงด้านนอกกำแพงเรือนตระกูลเฟิง ยังไม่ทันที่องครักษ์จะพบนาง นางก็พลิกตัวข้ามกำแพงไปอย่างคล่องแคล่วกลางดึก ราวกับมีแมวดำคล่องแคล่วตัวหนึ่ง กำลังกระโจนพุ่งไปตามหลังคาบ้านตระกูลเฟิงยังคงเหมือนแต่ก่อน คุ้มกันหนาแน่ ความถี่การลาดตระเวนของเหล่าองครักษ์ก็ค่อยข้างถี่แต่ว่า จั๋วซือหรานเองก็ไม่ใช่เพิ่งมาเป้นครั้งแรก มาครั้งแรกไม่ชินครั้งต่อไปก็ชำนาญเอง เป็นธรรมดาที่จะมีประสบการณ์อยู่บ้างนางรีบเข้าไปในเรือนเฟิงเหยียนอย่างรวดเร็ว เฟิงเหยียนตอนที่ยังอยู่ในจวนเฟิงก่อนหน้า พักอยู่ที่เรือนนี้เฟิงเหยียนถึงแม้จะออกจากจวนตระกูลเฟิงไปแล้ว แต่องครักษ์เงาของเขาก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ทิ้งไว้ที่นี่องครักษ์เงาที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ เพียงไม่นานก็พบตัวจั๋วซือหราน แน่นอนว่าเป็นเพราะจั๋วซือหรานไม่ได้คิดที่จะระแวดระวังพวกเขาใครบุกรุกเข้ามากัน!” องครักษ์เงาถามขึ้นเสียงขรึม เพียงไม่นานจั๋วซือหรานก็ถูกล้อมไว้จากนั้นจึงเห็นหญิงสาวชุดแดงถูกล้อมไว้ตรงกลางอย่างชัดเจน“ท่าน...ท่าน...แม่นางจิ่ว?”
จั๋วซือหรานออกจากเรือนเฟิงเหยียน ตรงไปทางทิศโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษตระกูลเฟิงเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดูแล้วน่าเกรงขามมาก ทั้งๆ ที่อยู่ในจวนตระกูลเฟิง ด้านนอกของสิ่งปลูกสร้างนี้ ยังมีกำแพงล้อมเอาไว้อีกไม่ถือเป็นกำแพงที่สูงนัก รู้สึกเหมือนไม่มีประโยชน์ในการป้องกันอะไรเลย แค่มีวิชาหน่อยก็กระโจนข้ามไปได้แล้วและเพราะไม่รู้ว่าความหมายของกำแพงชั้นนอกของโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษนี้คืออะไร หรือแค่เพื่อทำให้การออกแบบสิ่งปลูกสร้างเสร็จสมบูรณ์? เพื่อให้มันดูสวยงามหรือ?จั๋วซือหรานเห็นสิ่งปลูกสร้างน่าเกรงขามในวงล้อมกำแพงท่ามกลางราตรีนั่นแต่ไกล แทบจะในพริบตาก็รู้สึกว่ากำแพงล้อมวงนี้น่าขันเสียเหลือเกิน “กำแพงล้อมนี้...ล้อมไว้อย่างโดดเดี่ยวจริงๆ”และตอนที่นางเดินเข้าไปใกล้สิ่งปลูกสร้างโถงศักดิ์สิทิ์บรรพบุรุษมากขึ้นเรื่อยๆ จั๋วซือหรานก็รู้สึกว่า...นิ้วมือก็เริ่มเจ็บปวดจากการถูกลวก“ซี๊ด...” จั๋วซือหรานขมวดคิ้วมองนิ้วของตนเอง และเห็นว่าแหวนเสวียนเหยียนบนนิ้วเริ่มเปล่งแสงสีแดงจั๋วซือหรานขมวดคิ้วแน่น แหวนเสวียนเหยียนของนางเป็นของวิเศษที่หาได้ยากยิ่ง ไม่เพียงมีมิติน้ำพุวิเศ
“พวกนี้มัน...อะไรกัน” จั๋วซือหรานกระพริบตาปริบเดิมทีคิดว่านี่เป็นแค่เพราะแรงบันดาลใจชั่วขณะทำให้เห็นสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นก่อนหน้าจั๋วซือหรานต่อให้เจ็บปวดอย่างรุนแรง ก็ยังไม่กล้ากระพริบตาจนกระทั่งพลังความการจดจำที่ยอดเยี่ยมของนาง จัดการจดจำรูปแบบหลักๆ ส่วนใหญ่ของอักขระคำสาปนี้ได้...แต่เนื่องจากรายละเอียดที่มากเกินไป จึงไม่สามารถจดจำได้หมดทุกกระเบียดแต่ภาพหลักๆ ส่วนใหญ่ ก็จดจำได้พอสมควรแล้วจั๋วซือหรานตอนนี้จึงกระพริบตาปริบๆ แต่ยังดีที่หลังจากกระพริบตา อักขระคำสาปเหล่านี้ก็ไม่ได้หายไปในระยะสายตาของนางจั๋วซือหรานหลักๆ สามารถยืนยันได้ ว่าอักขระคำสาปเหล่านี้ของโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษตระกูลเฟิง คนอื่นไม่มีทางมองเห็นแน่เกรงว่าต่อให้เป็นคนของตระกูลเฟิงเองก็ยังไม่แน่ว่าจะมองเห็น...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว งึมงำเอ่ยขึ้นว่า “แล้วทำไมข้าถึงมองเห็นล่ะ...”นางก้มหน้าลงมองแหวนเสวียนเหยียนบนนิ้วตนเองพอคิดถึงอาการลวกกับความเจ็บปวดจากการแผดเผาผิดปกติก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานก็เม้มปาก เป็นเพราะแหวนเสวียนเหยียนหรือ?ตอนที่เห็นอักขระซับซ้อนเหล่านี้...แม้ว่าจั๋วซือหรานจะไม่เคยค้นคว้าอะไรกับโลกของ
ชายชุดดำสีหน้ามืดมน ตอนที่มองจั๋วซือหราน ในสายตาก็มีความเคียดแค้นสลักเข้ากระดูกดำ ดูแล้วเหมือนอยากจะกัดเคี้ยวเลือดเนื้ออย่างไรอย่างนั้นพอเทียบกับสายตาเกลียดชังเข้ากระดูกดำของเขาแล้ว สีหน้ากับสายตาของจั๋วซือหรานกลับดูนิ่งกว่ามากนางยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิม มองอีกฝ่ายเงียบๆ ย้อนถามมาคำหนึ่ง “จ้าแน่ใจว่าข้าเข้ามาติดกับดักด้วยตนเอง แต่ไม่ใช่ว่าเจ้ารนมาหาที่ตาย?”ชายชุดดำร้องเชอะเย็นชา สีหน้ามืดมนแต่เดิมยิ่งดูน่ากลัวขึ้นไปอีก เอ่ยต่อว่า “เจ้าขยับตัวไม่ได้แล้ว ยังจะมาทำเป็นปากแข็ง ข้าว่าเจ้านั่นล่ะที่มาหาที่ตาย!”มือของเขาทาบอยู่บนด้ามกระบี่ข้างเอว บนด้ามกระบี่สลักอักษร “จื๋อ” อยู่ตัวหนึ่ง เขายื่นมือชักกระบี่ยาวออกจากฝัก“วันนี้ข้าจะละเลงเลือดเจ้าที่นี่ เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของลูกข้า!” เขาคำรามขึ้นเสียงต่ำจั๋วซือหรานมองเขาอย่างเย็นชา เดิมทีก็พอเดาถึงตัวตนฐานะคนผู้นี้ได้ น่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับสี่คนที่ร่างกายติดพิษกู่ร้อยไหมจนตายไปก่อนหน้านั้นตอนนี้ คำพูดของเขา ก็ยืนยันการคาดเดาในใจจั๋วซือหรานออกมาแล้วจั๋วซือหรานมองเขานิ่งๆ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพูดผิดแล้ว พวกเขาไม่ได้ตายเพราะข้า แ
ส่วนจั๋วซือหราน กลับขยับนิ้วเพียงเบาๆ เท่านั้น“ไม่มีอะไร” นางเอ่ยขึ้น “ก็แค่...ไม่ใช่ว่าการจะรับมือคนทั้งหมดข้าต้องลงมือด้วยตนเอง”ขณะที่ประโยคนี้ของนางพูดออกมา เฟิงจื๋อก็เห็นว่านางยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง นิ้วขาวนวลทั้งห้ากางแบออกเฟิงจื๋อถลึงตาโตมองในฝ่ามือนาง “เจ้า...เจ้า...นี่มัน...!”ในฝ่ามือนางมีแมลงสีขาวนวล กึ่งโปร่งใส ขนาดเท่ากับฝ่ามือตัวจ้ำม่ำตัวหนึ่งอยู่! ยิ่งไปกว่านั้นบนตัวของแมลงยังมีหนวดสัมผัสอีกมากมาย ตอนนี้ดูแล้วอ่อนยวบยวบ ราวกับเป็นขนอ่อนๆ นุ่มฟูอย่างไรอย่างนั้นพังพาบอยู่ในฝ่ามือนาง ดูแล้ว เหมือนเป็นสัตว์ที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์แต่กลับยังคงทำให้เฟิงจื๋อขนลุกชูชัน เพราะเขารู้ว่าความจริงไม่มีทางเป็นเช่นนี้!สิ่งของที่อยู่ในมือนาง ดูอันตรายกว่าที่มองเห็นร้อยเท่าหมื่นเท่า!เสียงของจั๋วซือหรานยังคงเรียบเฉย “เจ้าไม่ใช่คิดว่าตระกูลเฟิงทั้งสี่คนนั้นที่ติดพิษกู่มานานแล้ว จะยังมีชีวิตรอดต่อไปได้ใช่ไหม? เช่นนั้นเจ้าก็ลองดุเองเลย ว่าติดพิษกู่ร้อยไหมนานๆ แล้วจะยังรอดได้หรือเปล่า”เฟิงจื๋อถ้าหากพูดว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นตัวแม่ของกูพิษร้อยไหม จึงไม่รู้ว่าแมลงกู่ในฝ่ามือของ
เฟิงจื๋อมองออกถึงแสงไฟสีขาววูบนี้ในพริบตา นี่คือไฟวิเศษของเฟิงช่าน...เปลวเพลิงอู๋ซื่อ!นี่มันเปลวเพลิงอู๋ซื่อของลูกชายข้า! ทำไมจึงมาอยู่กับเจ้า!” เฟิงจื๋อเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึงจั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ “ต้องพูดอย่างไรดีล่ะ ตอนนั้นแมลงกู่รวมเข้าด้วยกันกับชีพจรหัวใจเขาแล้ว ทำให้ไฟวิเศษ พลังวิญญาณ แทบะจถูกดูดซับไปจนเกลี้ยงแล้ว ดังนั้น ตอนที่ข้าลอกเอาแมลงกุ่ออกมาจากศพเขา บนตัวแมลงกู่จึงมีไฟวิเศษของเขาอยู่ด้วย...”เสียงของจั๋วซือหรานนิ่งมาก เอ่ยต่อว่า “โอ้ แต่ว่าเจ้าคงไม่เชื่ออยู่แล้วนี่นะ เจ้ารู้สึกแต่ว่าข้าเป็นคนทำให้เขาตาย ไม่ใช่พิษแมลงกู่ที่ทำเขาตาย ช่างมันเถอะ”จั๋วซือหรานมองเฟิงจื๋อ “จั๋วซือหรานอย่างข้าถูกใส่ร้าย ถูกสาดน้ำสกปรกใส่บ่อยจะตายไป ดังนั้นจะเพิ่มเจ้ามาอีกสักคนก็คงไม่ต่างกันเท่าไร”“เจ้า...!” เฟิงจื๋อถลึงตามองนาง“ลูกชายเจ้าตายไปก็คู่ควรให้เห็นใจอยู่” ดวงตาของจั๋วซือหรานเย็นชาลง น้ำเสียงก็ค่อยๆ ไม่เหลือบความอบอุ่นอยู่อีก ถ้าหากบอกว่าเสียงก่อนหน้นี้คือเย็นชาล่ะก็ ตอนนี้เสียงของนางคือเย็นเยียบเลยทีเดียวจั๋วซือหรานมองเฟิงจื๋ออย่างเย็นชา เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “จะมาใส่
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"