"ก็คงไม่บีบคั้นนาง! แล้วนางก็ไม่ต้องมาฆ่าคนด้วย!""มีคนไปผิดใจนางมาตั้งเยอะ ก็ยังไม่เคยเห็นนางคลั่งจนฆ่าคนแบบนี้เลย!""พวกท่านทำไมต้องทำแบบนี้? งานหมั้นหมายก่อนหน้านี้ก็เป็นพวกท่านที่กำหนด แล้วตอนนี้ทำไมถึงไปขับไล่พวกเขา""ทำไมคนที่ตายไม่ใช่พวกท่านกัน?"เหล่าผู้อาวุโสถลึงตาโต มองหน้ากันไปมา เบิกตาอ้าปากค้างตามหลักการที่พวกเขาพูดกับเหล่าอาวุโสแบบบี้ถือว่ากำเริบเสิบสาน แต่ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าผู้อาวุโสกระทั่งลืมที่จะตะคอกออกไปด้วยซ้ำเพราะวพกเขาก็รู้อยู่รางๆ ว่าเรื่องราวมันค่อยๆ ควบคุมไม่อยู่แล้วมีเรื่องบางอย่างเหมือนกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่พวกเขาควบคุมไม่ได้...อีกด้านหนึ่ง จั๋วซือหรานนั่งดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชา ดื่มไปคำหนึ่งก็ขมวดคิ้วไม่อร่อยเลยกินกับข้าวไปคำหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วอีกห่วยแตกเจี่ยงเทียนซิงรู้สึกจนใจ หัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "พวกเรารีบมารับช่วงต่อ ก็ไม่ห่วยแตกแบบนี้แล้ว"จากนั้น ที่ประตูก็มีเงาคนลับๆ ล่อๆ เดินเข้ามาบนหัวสวมหมวกปิดหัว เดินไปมาอย่างรีบร้อน ปิดบังหน้าส่วนใหญ่ไว้ แต่ตราประทับจันทร์เสี้ยวบนหน้าผากนั่นก็ยังเผยออกมาอย่างชัดเจนจั๋วซือหรานมองแล้วก็พูดไม่ออก เจ
จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง "มาก็มาแล้ว ทุกครั้งไม่เคยจะเข้ามาเสียที เอาแต่แอบฟังอยู่ข้างๆ มันใช่เรื่องไหม?"ฮั่วจือโจวเดินเข้ามา มองนางอย่างจำใจ "แม่นางจิ่วไม่รู้จริงหรือว่าตัวเองเป็นตัวยุ่งยากระดับไหน? ที่ข้าเข้ามา ก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายมากแล้วนะ"จั๋วซือหรานฟังคำพูดเขา หัวเราะพยักหน้า "ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นตัวยุ่งยาก เป็นความเสี่ยง"ฮั่วจือโจวคิดจะพูดต่อ แต่จั๋วซือหรานก็ชิงพูดมาก่อน "แต่ว่านะ ถึงแม้ข้าจะเป็นความเสี่ยง แต่ว่ากำไรกับความเสี่ยงมันก็ของคู่กันไม่ใช่หรือ?""ดังนั้นข้าถึงคอยฟังอยู่นี่ไง อยากจะฟังว่าเจ้าจะให้ผลกำไรอะไรกับข้า" ฮั่วจือโจวเอ่ยขึ้น "ถึงอย่างไรจากสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ ตระกูลเฟิงถ้าเจ้าคิดจะผิดใจให้ถึงที่สุด แล้วถ้าตะรกูลเฟิงไปจับมือกับตระกูลขุนนางอื่นล่ะก็..."ฮั่วจือโจวพูด ส่ายหัวเบาๆ "แม่นางจิ่ว ถึงตอนนั้นต่อให้ข้าอยากจะร่วมมือกับเจ้าแค่ไหน แต่ที่ตระกูลก็คงสร้างแรงกดดันกับข้าอย่างมาก ไม่ยอมให้ข้าทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน ""ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่มันก็เป็นอย่างที่เจ้าพูดนั่นล่ะ ตระกูลขุนนางก็เป็นกันเช่นนี้ เหนื่อสิ่งอื่นใดทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผลปร
"เท่าไรนะ?!""เจ้าบอกว่าเท่าไรนะ?!"ทั้งสามคนแทบจะร้องออกมาพร้อมกันจั๋วซือหรานแหงนตามองพวกเขา "แปดเม็ด ทำไมหรือ?"ฮั่วจือโจวพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ยื่นมือชี้ไปที่นาง สายตาตกตะลึง ครู่ต่อมา จึงพยักหน้าเอ่ยว่า "ขอตัวก่อน! จือโจวจะกลับไปหารือกับผู้อาวุโสทันที"จั๋วซือหรานขานรับอืมไปเสียงหนึ่ง นางคิดๆ เสิรมขึ้นมาว่า "มีแค่โอกาสเดียวเท่านั้นนะ""อะไรนะ?" ฮั่วจือโจวไม่ค่อยเข้าใจความหมายของจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า "ถ้าหากเจ้าปฏิเสธครั้งนี้ จากนี้จะมาเสียใจแล้วอยากร่วมมือกับข้า ข้าก็จะไม่รับปากแล้วนะ"ฮั่วจือโจวมองรอยยิ้มบนหน้านาง และได้ยินเสียงใสของนางดังขึ้นว่า "ข้าเป็นคนนิสัยแบบนี้ล่ะ ทำอะไรก็จะขีดเส้นไว้ ต่อให้เป็นศัตรู ถ้าไม่เกินเลยมากนักข้าก็จะให้โอกาสอีกสักครั้ง"ฮั่วจือโจวตอบ "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว"หลังจากฮั่วจือโจวออกไป เจี่ยงเทียนซิงกับอินเจ๋ออันในที่สุดก็อดกลั้นไม่ไหว โดยเฉพาะอินเจ๋ออัน ท่าทางนั่น จั๋วซือหรานแทบอยากจะพุ่งไปบีบคอเขาจริงๆ"เจ้า! เจ้านี่จริงๆเลย""ทำไมจึงไปรับปากเงื่อนไขแบบนั้น? เจ้ารุ้ไหมว่าลูกกลอนขั้นสี่มมันมูลค่าสูงแค่ไหน?"หายากนะเนี่ย ที่เจี
อินเจ๋ออันงึมงำขึ้นมา "เจ้านี่มันสุดยอดไปเลย!"จั๋วซือหรานยิ้มยิ้ม "แต่นี่ข้าก็แค่พูดกับพวกเจ้าเท่านั้นนะ เพราะข้ากับพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ที่อยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว ส่วนฮั่วจือโจวทางนั้น..."สายตาจั๋วซือหรานลึกซึ้ง "เขาดูแล้วถึงจะเหมือนว่านิสัยไม่เลวก็เถอะ แต่ข้าก็ไม่เคยชื่อใจพวกตระกูลขุนนาง ดังนั้น เรื่องนี้ยังไม่ต้องบอกพวกเขาแล้วกัน"เจี่ยงเทียนซิงกับอินเจ๋ออันเดิมทียังไม่ได้สติกลับมา แต่เห็นได้ชัด ว่าไม่ใช่เรื่องว่าจะบอกหรือไม่บอกพวกตระกูลขุนนาง แต่ว่าเรื่องนี้เดิมทีก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาตกตะลึงไปแล้ว"หก หกสิบเม็ด?" เจี่ยงเทียนซิงงึมงำจั๋วซือหรานพยักหน้า "หกสิบแปด หลังจากนี้ถ้าพัฒนาขึ้นก็น่าจะได้มากขึ้นไปอีก"อันที่จริงนี่คือการที่นักกลั่นยาของนางเลื่อนขั้นขึ้นมา ตอนนี้นางจะกลั่นยาลูกกลอนขั้นห้าออกมาก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ว่าเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องไปบอกให้ใครรู้ส่วนที่ว่าทำไมปริมาณการผลิตถึงได้มาก นี่ก็เป็นวิธีการใหม่ที่จั๋วซือหรานค้นพบ ตนเองขอแค่กลั่นยาในมิติน้ำพุวิเศษ ถึงแม้มาตรฐานขั้นการกลั่นยาจะไม่ได้แตกต่างกับการกลั่นยาภายนอกมากนักแต่ปริมาณการผลิดกลับเปลี่ยนไปอย่าง
จั๋วซือหรานฟังคำพูดนี้แล้ว มุมปากกระตุก "มองไม่ออกเลย ว่าข้าจะมีชื่อเสียงขนาดนี้"องครักษ์เงาเอ่ยต่อ "แล้วก็ตระกูลเฟิงเหมือนคิดจะร่วมมือกับพลังแห่งราชวงศ์..."จั๋วซือหรานฟังถึงตรงนี้ ดวงตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "พลังของราชวงศ์หรือ...ถ้าอย่างนั้นก็คงมีแค่ซือคงอวี้เจ้าขยะนั่น ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็เกือบจะลืมเรื่องเขาไปแล้วนะ เขาน่ะไม่ได้น่ากลัวอะไร ถ้าเขาไปสมคบคิดกับตระกูลเฟิงจริง วันไหนน่ารำคาญฆ่าทิ้งไปก็จบ"จั๋วซือหรานหลังจากได้รับข่าวนี้ จึงปล่ยอให้พวกเขาไปกินกันอย่างเอร็ดอร่อยส่วนนางหมุนตัวไปที่เรือนข้างๆคืนนี้ การคุ้มกันของตระกูลเฟิงยิ่งเข้มงวดขึ้น!ถ้าบอกว่าเมื่อคืนนี้ยังลาดตระเวนกันอยู่ล่ะก็ คืนนี้ไม่ใช่แค่ลาดตระเวน แต่กำหนดจุดยามเลยทีเดียวบนกำแพงสูงทุกช่วงของตระกูลเฟิง ล้วนมีคนคอยเฝ้าทั้งสิ้นเช่นนี้ ไม่เชื่อเลยว่านางจะยังลอบเข้ามาในจวนตระกูลเฟิงได้!แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ...ในค่ำคืนนี้ ตระกูลเฟิงยังคงมีคนตายทุกคนล้วนรู้ว่าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงไปผิดใจกับนังบ้าจั๋วไว้เต็มที่แล้ว นางคิดจะสังหารคนจริงๆ! ยิ่งไปกว่านั้นยังมองออกว่า นางสังหารคนแบบไม่มีทิศทางด
องครักษ์เงาเอ่ยขึ้นว่า "คร่าวๆ ก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข่าวนี้เพียงไม่นานก็ส่งออกมาจากจวนตระกูลเฟิง..."จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว "โอ๋? จวนตระกูลเฟิงก่อนหน้านี้เป็นถึงถังเหล็กเลยนี่ ข่าวไม่ได้รั่วออกมาง่ายขนาดนี้"ตอนนี้ดูท่า เขื่อนพันลี้ก็ยังพังทลายด้วยรังมดจริงๆองครักษ์เงามองจั๋วซือหราน ถามขึ้นว่า "แม่นางจั๋วคิดจะสังหารอีกสักกี่คน จะทำให้พวกเขายิ่งผวาขึ้นไปอีกไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะ "ข้าไม่เคยสังหารคนธรรมดาในตระกูลเสียหน่อย ที่ข้าสังหารไปทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา หรือไม่ก็เป็นสุนัขของพวกเขา"องครักษ์เงาไม่คอ่ยเข้าใจความหมายของจั๋วซือหราน "สังหารสุนัขของพวกเขา...กับสังหารคนธรรมดาในตระกูลมีอะไรแตกต่างกันไหม?"องครักษ์เงาเห็นบนหน้าแม่นางจิ่วยังคงมีรอยยิ้มเฉยเมยแบบนั้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว จุดเด่นของพวกสุนัขก็คือ...จะเป็นพวกที่เหมือนหญ้าบนกำแพง ลมพัดทางไหนก็เอนทางนั้น ดังนั้น ลงมือกับพวกเขาเสียก่อน หนึ่งคือข้าไม่ค่อยรู้สึกผิดมากนัก สองคือ พวกเขาน่าจะสามารถขึ้นไปเอาเรื่องกับพวกผุ้อาวุโสได้"องครักษ์เงาแปลกใจหน่อยๆ แต่พอฟังคำอธิบายนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ก็เข้
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ คืนวันนี้ จั๋วซือหรานหลังจากเอาของย่างหลายตัวให้กับพวกเขา ก็บอกว่าตนเองจะออกไปสักรอบหนึ่ง พรุ่งนี้ตอนมืดจึงจะกลับ ให้พวกเขาอยู่ในบ้านกันดีดีแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีความเห็นอะไรจะมีจ้านหลูที่อยากรู้อยากเห็น ถามออกมาคำหนึ่ง "แม่นางจิ่วจะออกไปทำอะไรหรือ?"จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่ง "โอ้ ข้าจะออกไปรับใช้จักรพรรดิอย่างขันแข็งเสียหน่อย"ทุกคน "..."คืนนั้น ยังคงเหมือนเดิมในตระกูลเฟิงยังมีคนตาย และยังเป็นพวกสุนัขของผู้อาวุโสไม่ว่าพวกเขาจะคิดหาวิธีอย่างไร ก็เหมือนไม่มีทางที่จะหนีสายฟ้าพายุนี่ได้เลยตอนที่ทุกคนในตระกูลเฟิงยังขวัญผวาอยู่นั้นจั๋วซือหรานกลับถือโอกาสตรงไปยังค่ายทหารในค่ายลาดตระเวนป้องกัน ต่อให้จะเป็นกลางดึก แต่ยังคงจุดไฟสว่างไสวหากคิดจะลอบเข้าไปนั้นเป็นเรื่องยากมากแต่ว่า ในมุมหนึ่งของกระโจมค่ายซือคงเซี่ยน ไม่รู้เมื่อไร ที่ปรากฏร่างเงาดำร่างหนึ่งออกมาซือคงเซี่ยนพักผ่อนไปแล้ว แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมางัวเงียกลางดึก หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้จึงตื่นขึ้นมาทันที!คิดจะตะคอกขึ้นมาทันทีว่า...ใครกัน?!แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปาก ก็ไ
ซือคงเซี่ยนพยักหน้า "ก็ได้ยินมาบ้าง แต่เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเขาก็แค่คิดจะร่วมมือกับซือคงอวี้เท่านั้น เพราะพูดขึ้นมา เจ้าเองก็เหมือนจะมีความแค้นกับซือคงอวี้อยู่นี่"เรื่องครั้งที่แล้วของซือคงอวี้ พังไม่เป็นท่าเพราะการปรากฏตัวของนาง"แต่ว่าตอนนี้ซือคงอวี้เดิมทีก็มีปัญหาอยู่มากมาย ยุ่งตัวเป็นเกลียว เอาจริงๆ ยังไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของข้าทางนี้หรอกกระมัง ข้ารู้" จั๋วซือหรานพยักหน้าเบาๆ"ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องกังวลมากนัก" ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานกลับเอ่ยขึ้นว่า "แต่ว่า จะอย่างไรก็ยังเป็นภัยเงียบอยู่ น่ารำคาญเหมือนกัน แก้ไขไปก่อนจะดีกว่า"ซือคงเซี่ยนมองนาง " แต่เจ้าไม่ใช่ว่าจะไม่สังหารเขาหรอกหรือ?"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้วงามซือคงเซี่ยนหัวเราะ "ถ้าเจ้าคิดจะสังหารเขา เขาคงตายไปนานแล้ว ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะไม่อยากมีความแค้นหยั่งลึกกับราชวงศ์กระมัง?"จั๋วซือหรานยิ้มปากโค้ง ซือคงเซี่ยนพูดไว้ถูกต้องจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ดังนั้น ท่านอ๋องรีบลุกเถอะ ไปกับข้า ข้าต้องการท่าน"ถึงแม้จะบอกว่าจั๋วซือหรานไม่มีความหมายนั้น แต่พอได้ยินประโยคนี้ในคำพูดของนางที่ว่าต้องการเขาในใจซื
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย