Share

บทที่ 10

Author: หว่านชิงอิ๋น
คนในกระจกพูดอย่างมีความสุข "เจ้าค่ะ บ่าวจำได้! บ่าวไม่รู้ว่าจะขอบคุณพระชายาอย่างไร จากนี้ไป บ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ท่านเอง หวังว่าพระชายาจะไม่รังเกียจบ่าวรับใช้ผู้นี้นะเจ้าคะ”

ขณะที่แม่นมเติ้งพูด นางก็หยิบปิ่นปักผมขึ้นมาปักบนหัวให้นาง

ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางจับมือแม่นม และยืนขึ้นเผชิญหน้ากับนาง

แม่นมเติ้งตกใจ และมองนางด้วยความงุนงง "พระชายา เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?"

เมื่อลั่วชิงยวนออกแรง แม่นมเติ้งเจ็บจนต้องปล่อยมือออก และปิ่นก็ร่วงลงกับพื้น

อีกฝ่ายก็สัมผัสได้ความหมายของลั่วชิงยวน ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นผ่านม่านตา นางรีบคว้าปิ่นที่เหลือบนโต๊ะอีกครั้ง และพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอย่างโหดเหี้ยม

ลั่วชิงยวนไม่สามารถทนแรงนั้นได้ ร่างนางถูกเหวี่ยงลงกับพื้น ปิ่นเงางามที่ลอยอยู่เหนือดวงตาของนางราวกับใบมีดคมกริบ

แม่นมเติ้งกัดฟัน พยายามแทงปิ่นลงไปที่ดวงตาของนางอย่างเอาเป็นเอาตาย

สิ่งที่นักปราชญ์ด้านฮวงจุ้ยขาดมิได้เลยก็คือ ดวงตาที่เฉียบแหลมคู่นี้ ลั่วชิงยวนมองไปที่แสงสีเขียวในดวงตาของแม่นมเติ้ง และก็ยิ่งแน่ใจว่ากำลังเจอกับอะไร!

“เจ้าสัตว์ร้าย รนหาความตาย!” นางปล่อยข้อมือของแม่นมเติ้งทันที

ปิ่นแหลมแทงลงมาอย่างแรง ลั่วชิงยวนหันศีรษะเพื่อหลบหลีก ในขณะเดียวกันก็ต่อยเข้าที่ท้องแม่นมเติ้ง และเตะนางออกไปอย่างแรง

นางพลิกตัวอย่างรวดเร็ว และกดแม่นมเติ้งเอาไว้ จากนั้นนางกัดนิ้วแล้ววาดยันต์ลงบนหน้าผากของแม่นมเติ้ง

ในขณะที่ยันต์ถูกวาด ควันสีดำลอยออกมาจากหน้าผากแม่นมเติ้ง นางพยายามดิ้นรน ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวและดุร้าย ก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

คนรับใช้ที่อยู่นอกลานได้ยินเสียงที่น่าสยดสยองนี้ ต่างก็รู้สึกขนลุกเกรียว

พลางจับกลุ่มรวมตัว พูดคุยกันเสียงต่ำ "แม่นมเติ้งเป็นอะไรไป? ร้องซะน่ากลัวเชียว?”

“พระชายาทุบตีนางรึ?”

"โอดโอยเยี่ยงนี้ ต้องใช่เป็นแน่!"

……

ทันทีที่ควันดำสลายไป เงาสีฟ้าก็เลื่อนผ่านโต๊ะไปอย่างรวดเร็ว และหายไปที่หน้าประตู

ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว มองแม่นมเติ้งที่หมดสติอยู่ ไม่นึกเลยว่าครอบครัวนางก่อปัญหาไว้ไม่น้อย ตอนแรกเข้าใจว่านางเพียงแค่เจอกับอะไรเข้า คงจะรักษาไม่ยาก

พอมาคิดดูอีกที ครอบครัวนั้นที่เซ่นไหว้คนตายด้วยเงิน ซึ่งมันน่าแปลก

แม่นมเติ้งตื่นค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา นางลุกขึ้นจากพื้น มองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง "พระชายา บ่าว...บ่าวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?"

ลั่วชิงยวนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดจากนิ้วตนเอง และถามว่า "ความทรงจำครั้งสุดท้ายของเจ้าคืออะไร?"

“เมื่อคืนบ่าวออกจากจวนตามคำแนะนำของพระชายา และบ่าวก็เอายาให้แม่กิน แต่มันดึกแล้ว บ่าวจึงไม่กล้าไปที่สุสาน รอจนเช้าตรู่ของวันนี้ หลังจากที่เผาเงิน และกระดาษเงินกระดาษทองพวกนั้นแล้ว บ่าวก็รีบกลับมาที่ตำหนัก แต่เหตุใดพอตื่นขึ้นมา ก็มาอยู่ในเรือนเสียแล้ว…"

แม่นมเติ้งรู้สึกสับสนมาก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหน้าผากของนางเปียก นางยกมือขึ้นแตะมัน ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นเลือดบนมือ

ลั่วชิงยวนพูดอย่างเป็นกันเอง "ไม่ต้องตกใจไป เรื่องครอบครัวของเจ้ายังไม่จบ"

"มีบางสิ่งต้องการกลายเป็นมนุษย์ด้วยวิธีที่ผิด ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กรรมจะได้รับการชดใช้ มันไม่มีทางจบด้วยดีเป็นแน่"

นางนั่งลงที่โต๊ะ ก่อนจะวาดยันต์สองอัน

แม่นมเติ้งฟังคำพูดของนาง น้ำเสียงที่ยากจะหยั่งรู้นั้นทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อนางกำลังจะถาม ลั่วชิงยวนก็พูดขึ้นอีกครั้ง "หากเจ้าอยากเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ข้าอาจจะช่วยเจ้าได้ การได้พบข้าถือเป็นโชคชะตาของเจ้า"

แม่นมเติ้งรู้สึกสับสน แต่นางพยักหน้า "เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง! บ่าวจะเดินในเส้นทางที่ถูกต้องเจ้าค่ะ!"

ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ลำแสง แสงสีฟ้านั้นซ่อนตัวและหายไปทันที

นางยื่นยันต์ทั้งสองให้แม่นมเติ้ง "เจ้าจงนำยันต์นี้ไปติดที่หัวเตียงแม่เจ้าอันหนึ่ง อีกอันก็ติดที่หัวเตียงของเจ้า ตั้งเครื่องบูชาไว้ในห้องข้าง ๆ และจุดธูปวันละสามดอก จะสามารถคุ้มครองพวกเจ้าให้ปลอดภัย และอาจจะได้พบโอกาสอื่นอีกด้วย"

แม่นมเติ้งพยักหน้าซ้ำ ๆ รับของและเก็บไว้ในอ้อมแขนของนาง "เช่นนั้นบ่าวจะกลับบ้านไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ"

"ไปเถอะ รีบไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่แม่บ้านเมิ่งจะกลับมา" ถ้าแม่ของเมิ่งจิ่นหวี๋กลับมา แม่นมเติ้งคงจะออกจากตำหนักมิได้ง่าย ๆ

“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้!”

แม่นมเติ้งรีบออกไปทันที ตอนนี้นางเชื่อมั่นในคำพูดของลั่วชิงยวน

ขณะที่แม่นมเติ้งจากไป ลั่วชิงยวนก็เงยหน้าขึ้นไปมองที่ลำแสง "เจ้ายังไม่กลับไปอีกรึ?"

แล้วแสงสีฟ้าก็แวบผ่านหายไปในหน้าต่าง

จิตใจของแม่นมเติ้งเต็มไปด้วยเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางรู้สึกขนลุกไปทั่วตัว โดยลืมไปเลยว่า บนหน้าผากของนางยังมีเลือดติดอยู่ นางเดินออกจากห้องของลั่วชิงยวนอย่างไม่ใส่ใจ ดึงดูดสายตาคนใช้ให้หารือกันให้ควั่ก

“สวรรค์ หัวนางเต็มไปด้วยเลือด!”

"พระชายาช่างดุร้ายยิ่งนัก! น่ากลัวเสียจริง!"

จากนั้นไม่นาน ข่าวพระชายาใจร้ายทุบตีบ่าวรับใช้อย่างทารุณก็แพร่สะพัดไปทั่วตำหนัก

แม่นมเติ้งคิดอยู่แต่กับเรื่องที่ลั่วชิงยวนบอก ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตกับเหตุการณ์เหล่านี้ และออกจากตำหนักไป

ในสายตาของคนอื่น ๆ ในตำหนัก ท่าทางงุนงงที่เดินออกไปของนางนั้น ดูราวกับว่านางโดนทุบตีจนไม่มีสติแล้วอย่างไรอย่างนั้น

“ว่าแต่ วันนี้ใครเป็นคนส่งสำรับกลางวันให้พระชายากัน? ยังไม่ส่งให้นางใช่หรือไม่?” มีคนสงสัยถามขึ้น

"ไอ้หยา ข้าลืมไปเสียสนิท!" เฉียงเวยอุทานอย่างตกใจ แต่เมื่อนางนึกไปถึงแม่นมเติ้งที่เดินออกไปทั้งที่ศีรษะเต็มไปด้วยเลือด นางก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง ผลักจือเฉาที่ยืนข้าง ๆ นาง แล้วออกคำสั่ง "เจ้าไปส่งข้าวให้นางซะ!"

จือเฉาถูกผลักจนเกือบล้ม นางกัดริมฝีปากต้องการปฏิเสธ แต่ไม่กล้า ทำได้เพียงพยักหน้ารับ

……

ขณะที่ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศออกมา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงที่สั่นเครือ "พระ... พระชายา บ่าว... นำอาหารกลางวันมาให้เจ้าค่ะ"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงรีบเก็บเข็มทิศอย่างตกใจ ไม่มีนางรับใช้คนใดในตำหนักนี้ที่มองว่านางเป็นพระชายาจริง ๆ ส่งข้าวส่งน้ำยังไม่ตรงเวลาเลย

"เข้ามา"

นางรับใช้ตัวน้อยเดินเข้ามา ดูอายุราว ๆ ประมาณสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น นางตัวผอมมาก ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรับใช้นำอาหารมาวางที่โต๊ะของนาง “พระชายา บ่าวนำอาหารมาส่งช้า โปรดทรงลงโทษบ่าวเถิดเจ้าค่ะ”

จือเฉานึกถึงศีรษะที่เปื้อนเลือดของแม่นมเติ้ง นางจึงคุกเข่าลงด้วยความกลัว

สิ่งนี้ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกน่าสนใจ "เจ้าเป็นนางรับใช้ที่เพิ่งมาใหม่อย่างนั้นรึ?"

จือเฉาพยักหน้า "บ่าวอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้บ่าวเคยทำงานที่หลังเรือน วันนี้เพิ่งถูกย้ายมาที่เรือนชั้นในเจ้าค่ะ"

ลั่วชิงยวนฟังเสียงที่แทบจะขาดอากาศของนางรับใช้ผู้นี้ จึงมองนางด้วยความสนใจ "เงยหน้าขึ้น"

จือเฉาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแต่ไม่กล้าสบตากับนางตรง ๆ

ลั่วชิงยวนเห็นว่า ดวงตาของนางถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีขาว โหนกแก้มของนางมีรอยฟกช้ำสีม่วง นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก นางจะมีชีวิตอยู่ได้น้อยกว่าหนึ่งปี

นางจับข้อมือของจือเฉาและดูชีพจรของนาง จือเฉาเกร็งร่างกายด้วยความหวาดกลัว

ชีพจรนี้ทำให้นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก โรคทำงานหนัก

ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย และถามนางรับใช้ผู้นี้อีกครั้ง

นางเป็นคนที่น่าสังเวช

นางแตะเข็มทิศที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อ ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก ชะตากรรมของนางเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่นางก็ชอบเขียนชะตากรรมของคนอื่นเสียด้วยสิ

แม้จะดูเหมือนฝืนโชคชะตา แต่การที่จือเฉาได้มาพบกับนางนั้นก็ถือเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่งเช่นกัน และนางก็คือตัวแปรในชะตากรรมของนางรับใช้ผู้นี้

“ข้ายังขาดนางรับใช้ประจำกายอยู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงมารับใช้ข้าก็แล้วกัน”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App
Mga Comments (1)
goodnovel comment avatar
preawphan
ออ๋งก็โงสุดๆๆ 5555ปากกาก็มา
Tignan lahat ng Komento

Kaugnay na kabanata

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 11

    เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ จือเฉาก็รู้สึกปลื้มปีติ นางพูดเสียงติดอ่างด้วยความตกใจ "พระ... พระชายา แต่บ่าวทำอะไรไม่เป็นเลยนะเจ้าคะ"“เจ้ารู้วิธีส่งชาและส่งน้ำหรือไม่? วิธีหวีผมแบบง่าย ๆ ทำได้หรือไม่? ถ้าทำได้ ก็เพียงพอแล้ว” นางดึงจือเฉาขึ้นมาจากพื้นจือเฉาสติยังกลับมาไม่สมบูรณ์นัก ลั่วชิงยวนวางชามและตะเกียบไว้ข้างหน้านาง "กับข้าวเยอะขนาดนี้ ข้ากินคนเดียวไม่หมดหรอก เจ้ามานั่งกินด้วยกันสิ" จือเฉารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร นางหยิบชามข้าวขึ้นมาอย่างเชื่อฟัง และเริ่มกินเมื่อเห็นท่าทางมึนงงของนาง ลั่วชิงยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงความทรงจำบางอย่าง ครั้นเมื่อน้องสาวคนเล็กถูกท่านอาจารย์รับมานั้น นางก็มีลักษณะท่าทางเช่นนี้เช่นกันหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดลง และฝนก็เริ่มตก หลังจากที่จือเฉาจากไป ในที่สุดลั่วชิงยวนก็มีโอกาสที่หยิบเข็มทิศแห่งโชคชะตาออกมา นางสำรวจมันอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นเข็มทิศก็หมุนอย่างรวดเร็ว นางตกใจเล็กน้อย จึงหยิบเข็มทิศแล้วเดินออกไปที่ประตู แต่กำลังจะเข้าไปในลาน จู่ ๆ ฝนก็ตกหนักนางเพิ่งส

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 12

    "เจ้าดูที่พื้นสิ มีกู่ฉงที่ข้าบดขยี้อยู่! ถ้าเอามันออกมาไม่ทันเวลา เจ้านายของพวกเจ้าคงตายไปแล้ว!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโหยวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่ห้องและตรวจดูที่พื้น และเห็นหนอนที่ถูกบดขยี้อยู่จริง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบซากมันขึ้นมา และถามท่านหมอกู้ที่เพิ่งเย็บแผลให้ท่านอ๋องเสร็จ “ท่านหมอกู้ ท่านคิดว่าสิ่งนี้คือกู่ฉงหรือไม่?”ดวงตาของท่านหมอกู้สว่างขึ้น เขาตรวจสอบก่อนจะพยักหน้าและพูดว่า "ข้าว่าแล้วทำไมพิษบาดแผลของท่านอ๋องถึงได้แปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่ทำลายชีวิต ที่แท้คือพิษกู่ฉงนี่เอง มันไม่ทำลายชีวิต แต่ช่วยให้หนอนตัวนี้ได้เข้าไปข้างในร่างกายนั่นเอง"หลังจากพูดจบ ท่านหมอกู้ก็อุทานว่า "โอ้! โชคดีจริง ๆ ที่นำสิ่งนี้ออกมาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นชีวิตของท่านอ๋องอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้!"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูโหยวและฟู่เฉินหวนที่อยู่บนเตียงต่างก็ตกใจซูโหยวรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่า ทำไมนางถึงยื่นมือเข้ามาช่วย แต่เมื่อสักครู่นางถูกตำหนิอย่างไม่เป็นธรรม ดังนั้นเขาจึงรีบบอกให้องครักษ์ตัวลั่วชิงยวนทันที"ข้าน้อยรีบร้อนจนเกินไป ขอประทานอภัยพระชายาด้วยขอรับ"

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 13

    เมื่อได้ยินเสียง ทุกคนมองไปที่ลั่วชิงยวนที่ประตูด้วยสายตารังเกียจซูโหยวขมวดคิ้วและก้าวไปข้างหน้า และกันไม่ให้นางเข้ามาด้านในอีกครั้ง ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างเฉียบขาด ก่อนจะผลักเขาออกไปแล้วเดินเข้ามาสายตาที่เฉียบคมเมื่อสักครู่ ทำให้ซูโหยวเกิดความกลัวเล็กน้อยน้ำเสียงของฟู่เฉินหวนเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ "เจ้าจะก่อเรื่องอันใดอีก?"ลั่วชิงยวนมองไปที่ลั่วเยวี่ยอิงอย่างเย็นชา นางหยิบเครื่องประดับปีศาจนั้นออกมา แล้วถามเสียงเย็น "ทำไมเจ้าไม่อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุที่ล่อสายฟ้านี้ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังหน่อยเล่า"ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกผิดเล็กน้อย และไม่กล้ามองนาง แต่นางก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง "ท่านพี่ถามข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ซูโหยวเองก็เห็นว่า ข้าเป็นคนหยิบของชิ้นนั้นออกไป ท่านพี่นำมันกลับมาเพื่อจะพิสูจน์อันใด?”"นั่นเป็นเพราะข้าเป็นคนขอให้เจ้านำของชิ้นนี้ออกมา แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้" ลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะลั่วเยวี่ยอิงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง นางมองหน้านางด้วยน้ำตาคลอเบ้า และพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสาร "ท่านพี่พูดอะไรก็ล้วนเป็นเช่นนั้น ท่านพี่เป็นบ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 14

    ลั่วชิงยวนยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับ ฟู่เฉินหวนสาวเท้าสองสามก้าว จ้องมองนางด้วยความโกรธ "เจ้าเป็นคนทำอย่างนั้นรึ?!"ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างสงบ พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถาง "ท่านเชื่อหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?"คำที่นางพูดออกมาหมายถึงยอมรับมันฟู่เฉินหวนรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เขาดึงดาบยาวออกมาจากเอวขององครักษ์ส่วนพระองค์ พลางชี้ไปที่คอของลั่วชิงยวน และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ข้าจะฆ่าเจ้า!"ลั่วชิงยวนชูคอด้วยท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง "หากท่านอ๋องต้องการฆ่าก็ฆ่าเถิดเพคะ หลังจากที่ฆ่าหม่อมฉันแล้ว สิ่งล่อสายฟ้าในตำหนักอ๋องนี้ยังไม่ถูกถอนออกไป และพายุฝนฟ้าคะนองนี้จะกินเวลาอีกหลายวัน ตำหนักของท่านอ๋องจะกลายเป็นซากปรักหักพังเป็นแน่ อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแม้แต่คนเดียว!"“เจ้า!” ฟู่เฉินหวนกำดาบยาวไว้ในมือ ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากเซียวชูพยุงฟู่เฉินหวนทันทีด้วยความตกใจ และเป็นกังวล "ท่านอ๋อง!"“ท่านหมอกู้อยู่ที่ไหน! ท่านหมอกู้!” เซียวชูตะโกนทันทีองครักษ์นายหนึ่งตอบว่า "หมอกู้หมดสติหลังจากหนีออกมาจากกองไฟ!"เห็นดังนั้นลั่วชิงยวนจึงก้าวไปข้างหน้า และคว้าข้อมือของฟู่เฉินหวนขึ้น

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 15

    หลังจากที่จากไป ลั่วชิงยวนก็พาเซียวชูไปจัดการกับสิ่งล่อสายฟ้าในตำหนักอ๋อง แม้ว่านางจะไม่สามารถหยิบเข็มทิศออกมาได้ แต่นางก็สัมผัสได้ถึงทิศทางที่เข็มทิศชี้ไป เนื่องจากมันเป็นสมบัติของครอบครัวยามนี้ ฝนได้ซาลงมากแล้ว ในตำหนักยังคงสาละวนอยู่กับเรือนหลังที่ถูกฟ้าผ่า จึงไม่มีใครสังเกตเห็นลั่วชิงยวนที่พาเซียวชูลัดเลาะไปมาภายในตำหนักลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกตัวตั้งนานแล้ว เมื่อนางรู้ข่าวว่า ท่านอ๋องอยู่ในห้องตำรากับลั่วชิงยวน นางจึงไม่สามารถเข้าไปรบกวนได้ ได้แต่เดินไปรอบ ๆ ห้องอย่างใจจดใจจ่อในที่สุด เมื่อนางได้ยินว่าลั่วชิงยวนออกมาจากห้องตำราแล้ว นางจึงรีบไปที่นั่นอย่างเร่งรีบแต่เมื่อนางไปถึงห้องตำรา ซูโหยวก็หยุดนางไว้ "คุณหนูรอง ท่านอ๋องบาดเจ็บสาหัส และกำลังพักผ่อนอยู่ขอรับ"ลั่วเยวี่ยอิงตกใจ ห้องตำราของท่านอ๋องไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าไป ลั่วชิงยวนสามารถเข้าไปได้ แต่นางกลับเข้ามิได้ หรือว่าท่านอ๋องจะทรงสงสัยจริง ๆ ว่านางแย่งความดีความชอบจากลั่วชิงยวน?“คุณหนูรอง รีบกลับไปพักผ่อนเถิดขอรับ” ซูโหยวเตือนเบา ๆลั่วเยวี่ยอิงกลับมาได้สติ นางหันหลังกลับและจากไป แม้แต่ซูโหยวก็มิไปส่งนางที่ห้องนางร

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 16

    หลังจากฝนตกหนักท้องฟ้าก็แจ่มใส อากาศสดชื่นขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อจือเฉากลับไปพักผ่อนแล้ว ลั่วชิงยวนก็ออกมาอีกครั้งพร้อมกับเข็มทิศนางออกค้นหาสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยสมบูรณ์ ที่ดูดซับแก่นแท้ของดวงตะวันและจันทรา เพราะมันสามารถช่วยให้นางฝึกฝนความแข็งแกร่งของกำลังภายใน และทักษะทางจิตใจได้ นางต้องการฟื้นฟูความสามารถของตนเองโดยเร็วที่สุด!……ยามนี้เป็นช่วงเวลากลางดึก ทั้งเรือนจึงเงียบสงบ นางใช้เข็มทิศออกค้นหาไปรอบ ๆ จนกระทั่งเดินมาถึงศาลาในสวนเล็ก ๆ อันเงียบสงบ นางจึงวางเข็มทิศไว้ข้างหน้าหมุนมันด้วยความคงที่อย่างช้า ๆ แสงจันทราสาดส่องลงบนเข็มทิศ กระจายแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมาจาง ๆครั้นรุ่งสาง เมื่อไก่ทองขัน และท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาแม้ว่านางเพิ่งจะฝึกฝนกำลังภายในได้เพียงแค่สองวัน แต่ผลที่ได้นั้นช่างน่าอัศจรรย์ นางกำหมัดขึ้นมา รู้สึกได้เลยว่ามันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก“กรี๊ดดด…”ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ทำลายเช้าอันเงียบสงบและสวยงามนี้……เมิ่งจิ่นอวี่ได้เสียชีวิตแล้วนางเสียชีวิตในบ่อน้ำ ในลานของลั่วชิงยวน และเสียชีวิตในลักษณะที่แปลกประหลาดใบหน้าซีดเซียวลอยอ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 17

    “พวกเจ้าดูให้ชัด ๆ ฆาตกรคือนางต่างหาก!”"แขนเสื้อหลุดลุ่ย มีร่องรอยของเศษเชือกป่านและตะไคร่น้ำ! คนที่ตัดเชือกที่นี่เมื่อคืนนี้คือลั่วเยวี่ยอิง!"“การตายของเมิ่งจิ่นอวี่ไม่เกี่ยวกับข้า!” ขณะนั้นเกิดความโกลาหลไปทั่วลั่วเยวี่ยอิงพยายามดิ้นรนอย่างหวาดกลัว ใบหน้าของนางซีดเซียว และพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล "ข้ามิได้ทำ มิใช่ข้า""หลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ เจ้ายังจะเถียงอีกหรือ! น้องสาวที่ดีของข้า เจ้าจงใจหลอกเมิ่งจิ่นอวี่และฆ่านาง จากนั้นก็โยนความผิดให้ข้า!" ลั่วชิงยวนคว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง ดวงตาของนางแหลมคมราวกับใบมีด นางพูดขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ "แล้วความรักที่ลึกซึ้งของพี่น้องเล่า? เจ้าทำเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร"ครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่านางรังแกได้ง่าย ๆ อย่างงั้นหรือ!ถึงลั่วชิงยวนยอมทนกับความโกรธนี้ แต่นางลั่วเหลาจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด!อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา แขนอันทรงพลังคู่หนึ่งก็ดึงลั่วเยวี่ยอิงออกไป ก่อนจะตบนางอย่างรุนแรง พร้อมกับด่าทอด้วยความโกรธ "ลั่วชิงยวน!"ในขณะนั้นแหวนบนมือของฟู่เฉินหวนปัดผ่านแก้มของลั่วชิงยวน ทิ้งรอยนิ้วมือทั้งห้าไว้บนใบหน้าของนางพร้อมกับคราบเลือดกลิ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 18

    เมื่อไม่มีใครอยู่ในลานแล้ว ลั่วชิงยวนก็หยิบเข็มทิศออกมาและเดินไปที่ด้านข้างของบ่อน้ำ ดูเหมือนว่าวิญญาณชั่วร้ายถูกเปิดออก พวกมันพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง และแพร่กระจายไปทั่วนางขมวดคิ้วสงสัยในใจ พลางผูกเชือกเข้ากับเสา แล้วปล่อยมันห้อยลงไปในบ่อน้ำ ก่อนจะจับเชือกแล้วค่อย ๆ เดินลงไปด้านในนางต้องการตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ด้านล่างนั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่บ่อน้ำนั้นไม่ได้ลึกอย่างที่นางจินตนาการไว้ นางจึงกลั้นหายใจและว่ายไปที่ก้นบ่อ ก่อนจะพบว่า มีกระจกยันต์แปดทิศอยู่ที่ก้นบ่อ แต่กระจกยันต์แปดทิศนั้นหนักมาก และตรงมุมมีเชือกผูกติดเอาไว้ นางมิสามารถนำมันขึ้นมาได้ วิญญาณชั่วร้ายถูกปล่อยออกมาจากกระจกยันต์แปดทิศนี้ แสดงว่ามันน่าจะเอาไว้สะกดวิญญาณศพที่อยู่รอบ ๆ และเมื่อศพถูกนำออกไป ตำแหน่งของกระจกยันต์แปดทิศจึงเปลี่ยน และได้ปลดปล่อยวิญญาณร้ายจะออกมานางแน่ใจได้เลยว่า นี่คือการรวมตัวของสิ่งชั่วร้ายในแคว้นหลี่ตราบใดที่กระจกยันต์แปดทิศถูกผนึกอย่างดี พลังงานชั่วร้ายจะไม่รั่วไหลออกไป และโดยทั่วไปแล้วตรวจจับได้ไม่ง่ายนัก เมื่อพลังงานชั่วร้ายรวมตัวกัน และมีพลังเพียงพอ เมื่อมันถูกเปิดออกอีกครั้ง พลังงานชั่ว

Pinakabagong kabanata

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1422

    ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1421

    ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1420

    ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1419

    ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1418

    ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1417

    นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1416

    “เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1415

    โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย

  • ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย   บทที่ 1414

    ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน

Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status