Share

บทที่ 10

คนในกระจกพูดอย่างมีความสุข "เจ้าค่ะ บ่าวจำได้! บ่าวไม่รู้ว่าจะขอบคุณพระชายาอย่างไร จากนี้ไป บ่าวจะปรนนิบัติรับใช้ท่านเอง หวังว่าพระชายาจะไม่รังเกียจบ่าวรับใช้ผู้นี้นะเจ้าคะ”

ขณะที่แม่นมเติ้งพูด นางก็หยิบปิ่นปักผมขึ้นมาปักบนหัวให้นาง

ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นยะเยือก นางจับมือแม่นม และยืนขึ้นเผชิญหน้ากับนาง

แม่นมเติ้งตกใจ และมองนางด้วยความงุนงง "พระชายา เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?"

เมื่อลั่วชิงยวนออกแรง แม่นมเติ้งเจ็บจนต้องปล่อยมือออก และปิ่นก็ร่วงลงกับพื้น

อีกฝ่ายก็สัมผัสได้ความหมายของลั่วชิงยวน ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นผ่านม่านตา นางรีบคว้าปิ่นที่เหลือบนโต๊ะอีกครั้ง และพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอย่างโหดเหี้ยม

ลั่วชิงยวนไม่สามารถทนแรงนั้นได้ ร่างนางถูกเหวี่ยงลงกับพื้น ปิ่นเงางามที่ลอยอยู่เหนือดวงตาของนางราวกับใบมีดคมกริบ

แม่นมเติ้งกัดฟัน พยายามแทงปิ่นลงไปที่ดวงตาของนางอย่างเอาเป็นเอาตาย

สิ่งที่นักปราชญ์ด้านฮวงจุ้ยขาดมิได้เลยก็คือ ดวงตาที่เฉียบแหลมคู่นี้ ลั่วชิงยวนมองไปที่แสงสีเขียวในดวงตาของแม่นมเติ้ง และก็ยิ่งแน่ใจว่ากำลังเจอกับอะไร!

“เจ้าสัตว์ร้าย รนหาความตาย!” นางปล่อยข้อมือของแม่นมเติ้งทันที

ปิ่นแหลมแทงลงมาอย่างแรง ลั่วชิงยวนหันศีรษะเพื่อหลบหลีก ในขณะเดียวกันก็ต่อยเข้าที่ท้องแม่นมเติ้ง และเตะนางออกไปอย่างแรง

นางพลิกตัวอย่างรวดเร็ว และกดแม่นมเติ้งเอาไว้ จากนั้นนางกัดนิ้วแล้ววาดยันต์ลงบนหน้าผากของแม่นมเติ้ง

ในขณะที่ยันต์ถูกวาด ควันสีดำลอยออกมาจากหน้าผากแม่นมเติ้ง นางพยายามดิ้นรน ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวและดุร้าย ก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

คนรับใช้ที่อยู่นอกลานได้ยินเสียงที่น่าสยดสยองนี้ ต่างก็รู้สึกขนลุกเกรียว

พลางจับกลุ่มรวมตัว พูดคุยกันเสียงต่ำ "แม่นมเติ้งเป็นอะไรไป? ร้องซะน่ากลัวเชียว?”

“พระชายาทุบตีนางรึ?”

"โอดโอยเยี่ยงนี้ ต้องใช่เป็นแน่!"

……

ทันทีที่ควันดำสลายไป เงาสีฟ้าก็เลื่อนผ่านโต๊ะไปอย่างรวดเร็ว และหายไปที่หน้าประตู

ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว มองแม่นมเติ้งที่หมดสติอยู่ ไม่นึกเลยว่าครอบครัวนางก่อปัญหาไว้ไม่น้อย ตอนแรกเข้าใจว่านางเพียงแค่เจอกับอะไรเข้า คงจะรักษาไม่ยาก

พอมาคิดดูอีกที ครอบครัวนั้นที่เซ่นไหว้คนตายด้วยเงิน ซึ่งมันน่าแปลก

แม่นมเติ้งตื่นค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมา นางลุกขึ้นจากพื้น มองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง "พระชายา บ่าว...บ่าวมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?"

ลั่วชิงยวนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดจากนิ้วตนเอง และถามว่า "ความทรงจำครั้งสุดท้ายของเจ้าคืออะไร?"

“เมื่อคืนบ่าวออกจากจวนตามคำแนะนำของพระชายา และบ่าวก็เอายาให้แม่กิน แต่มันดึกแล้ว บ่าวจึงไม่กล้าไปที่สุสาน รอจนเช้าตรู่ของวันนี้ หลังจากที่เผาเงิน และกระดาษเงินกระดาษทองพวกนั้นแล้ว บ่าวก็รีบกลับมาที่ตำหนัก แต่เหตุใดพอตื่นขึ้นมา ก็มาอยู่ในเรือนเสียแล้ว…"

แม่นมเติ้งรู้สึกสับสนมาก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหน้าผากของนางเปียก นางยกมือขึ้นแตะมัน ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นเลือดบนมือ

ลั่วชิงยวนพูดอย่างเป็นกันเอง "ไม่ต้องตกใจไป เรื่องครอบครัวของเจ้ายังไม่จบ"

"มีบางสิ่งต้องการกลายเป็นมนุษย์ด้วยวิธีที่ผิด ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กรรมจะได้รับการชดใช้ มันไม่มีทางจบด้วยดีเป็นแน่"

นางนั่งลงที่โต๊ะ ก่อนจะวาดยันต์สองอัน

แม่นมเติ้งฟังคำพูดของนาง น้ำเสียงที่ยากจะหยั่งรู้นั้นทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อนางกำลังจะถาม ลั่วชิงยวนก็พูดขึ้นอีกครั้ง "หากเจ้าอยากเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ข้าอาจจะช่วยเจ้าได้ การได้พบข้าถือเป็นโชคชะตาของเจ้า"

แม่นมเติ้งรู้สึกสับสน แต่นางพยักหน้า "เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง! บ่าวจะเดินในเส้นทางที่ถูกต้องเจ้าค่ะ!"

ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ลำแสง แสงสีฟ้านั้นซ่อนตัวและหายไปทันที

นางยื่นยันต์ทั้งสองให้แม่นมเติ้ง "เจ้าจงนำยันต์นี้ไปติดที่หัวเตียงแม่เจ้าอันหนึ่ง อีกอันก็ติดที่หัวเตียงของเจ้า ตั้งเครื่องบูชาไว้ในห้องข้าง ๆ และจุดธูปวันละสามดอก จะสามารถคุ้มครองพวกเจ้าให้ปลอดภัย และอาจจะได้พบโอกาสอื่นอีกด้วย"

แม่นมเติ้งพยักหน้าซ้ำ ๆ รับของและเก็บไว้ในอ้อมแขนของนาง "เช่นนั้นบ่าวจะกลับบ้านไปจัดการเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ"

"ไปเถอะ รีบไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่แม่บ้านเมิ่งจะกลับมา" ถ้าแม่ของเมิ่งจิ่นหวี๋กลับมา แม่นมเติ้งคงจะออกจากตำหนักมิได้ง่าย ๆ

“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้!”

แม่นมเติ้งรีบออกไปทันที ตอนนี้นางเชื่อมั่นในคำพูดของลั่วชิงยวน

ขณะที่แม่นมเติ้งจากไป ลั่วชิงยวนก็เงยหน้าขึ้นไปมองที่ลำแสง "เจ้ายังไม่กลับไปอีกรึ?"

แล้วแสงสีฟ้าก็แวบผ่านหายไปในหน้าต่าง

จิตใจของแม่นมเติ้งเต็มไปด้วยเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ นางรู้สึกขนลุกไปทั่วตัว โดยลืมไปเลยว่า บนหน้าผากของนางยังมีเลือดติดอยู่ นางเดินออกจากห้องของลั่วชิงยวนอย่างไม่ใส่ใจ ดึงดูดสายตาคนใช้ให้หารือกันให้ควั่ก

“สวรรค์ หัวนางเต็มไปด้วยเลือด!”

"พระชายาช่างดุร้ายยิ่งนัก! น่ากลัวเสียจริง!"

จากนั้นไม่นาน ข่าวพระชายาใจร้ายทุบตีบ่าวรับใช้อย่างทารุณก็แพร่สะพัดไปทั่วตำหนัก

แม่นมเติ้งคิดอยู่แต่กับเรื่องที่ลั่วชิงยวนบอก ดังนั้นนางจึงไม่ทันสังเกตกับเหตุการณ์เหล่านี้ และออกจากตำหนักไป

ในสายตาของคนอื่น ๆ ในตำหนัก ท่าทางงุนงงที่เดินออกไปของนางนั้น ดูราวกับว่านางโดนทุบตีจนไม่มีสติแล้วอย่างไรอย่างนั้น

“ว่าแต่ วันนี้ใครเป็นคนส่งสำรับกลางวันให้พระชายากัน? ยังไม่ส่งให้นางใช่หรือไม่?” มีคนสงสัยถามขึ้น

"ไอ้หยา ข้าลืมไปเสียสนิท!" เฉียงเวยอุทานอย่างตกใจ แต่เมื่อนางนึกไปถึงแม่นมเติ้งที่เดินออกไปทั้งที่ศีรษะเต็มไปด้วยเลือด นางก็ตื่นตระหนกอีกครั้ง ผลักจือเฉาที่ยืนข้าง ๆ นาง แล้วออกคำสั่ง "เจ้าไปส่งข้าวให้นางซะ!"

จือเฉาถูกผลักจนเกือบล้ม นางกัดริมฝีปากต้องการปฏิเสธ แต่ไม่กล้า ทำได้เพียงพยักหน้ารับ

……

ขณะที่ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศออกมา เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงที่สั่นเครือ "พระ... พระชายา บ่าว... นำอาหารกลางวันมาให้เจ้าค่ะ"

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงรีบเก็บเข็มทิศอย่างตกใจ ไม่มีนางรับใช้คนใดในตำหนักนี้ที่มองว่านางเป็นพระชายาจริง ๆ ส่งข้าวส่งน้ำยังไม่ตรงเวลาเลย

"เข้ามา"

นางรับใช้ตัวน้อยเดินเข้ามา ดูอายุราว ๆ ประมาณสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น นางตัวผอมมาก ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรับใช้นำอาหารมาวางที่โต๊ะของนาง “พระชายา บ่าวนำอาหารมาส่งช้า โปรดทรงลงโทษบ่าวเถิดเจ้าค่ะ”

จือเฉานึกถึงศีรษะที่เปื้อนเลือดของแม่นมเติ้ง นางจึงคุกเข่าลงด้วยความกลัว

สิ่งนี้ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกน่าสนใจ "เจ้าเป็นนางรับใช้ที่เพิ่งมาใหม่อย่างนั้นรึ?"

จือเฉาพยักหน้า "บ่าวอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้บ่าวเคยทำงานที่หลังเรือน วันนี้เพิ่งถูกย้ายมาที่เรือนชั้นในเจ้าค่ะ"

ลั่วชิงยวนฟังเสียงที่แทบจะขาดอากาศของนางรับใช้ผู้นี้ จึงมองนางด้วยความสนใจ "เงยหน้าขึ้น"

จือเฉาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแต่ไม่กล้าสบตากับนางตรง ๆ

ลั่วชิงยวนเห็นว่า ดวงตาของนางถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีขาว โหนกแก้มของนางมีรอยฟกช้ำสีม่วง นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก นางจะมีชีวิตอยู่ได้น้อยกว่าหนึ่งปี

นางจับข้อมือของจือเฉาและดูชีพจรของนาง จือเฉาเกร็งร่างกายด้วยความหวาดกลัว

ชีพจรนี้ทำให้นางประหลาดใจเป็นอย่างมาก โรคทำงานหนัก

ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย และถามนางรับใช้ผู้นี้อีกครั้ง

นางเป็นคนที่น่าสังเวช

นางแตะเข็มทิศที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อ ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก ชะตากรรมของนางเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่นางก็ชอบเขียนชะตากรรมของคนอื่นเสียด้วยสิ

แม้จะดูเหมือนฝืนโชคชะตา แต่การที่จือเฉาได้มาพบกับนางนั้นก็ถือเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่งเช่นกัน และนางก็คือตัวแปรในชะตากรรมของนางรับใช้ผู้นี้

“ข้ายังขาดนางรับใช้ประจำกายอยู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจงมารับใช้ข้าก็แล้วกัน”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status