ลั่วชิงยวนหันหลังกลับไปมองแวบหนึ่ง พลันมิสบายใจขึ้นมาเมื่อคำนวณตำแหน่งและระยะทางอีกครั้ง ลั่วชิงยวนก็รีบกระซิบข้างหูคนใบ้ว่า “ไปสุสาน”“เข้าหมู่บ้านจากด้านหลัง”อาคมลวงตาของหมู่บ้านนั้นยังมิได้ถูกปลดออกไป ก่อนหน้านี้ตั้งไว้เพื่อป้องกันฝูเหมิ่ง จนถึงบัดนี้ก็ยังคงอยู่คนใบ้พยักหน้าแล้วรีบแบกลั่วชิงยวนเดินอย่างรวดเร็ว พาคนอื่น ๆ รีบรุดไปยังสุสานคนสิบกว่าคนที่อวี๋หงพามาต่างหยิบธนูออกมายิงใส่คนของเกาเหมียวเหมี่ยวเพื่อสกัดกั้นนางไว้มินานหลายคนก็ทยอยวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านลั่วชิงยวนถูกวางลงกับพื้น นางมองคนใบ้ด้วยความเป็นห่วง “อาถู่ เจ้ามิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”คนใบ้ส่ายหน้า แสดงว่าเขามิเป็นอะไรจากนั้นพวกอวี๋หงก็ทยอยมาถึงหลังจากทุกคนเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ลั่วชิงยวนก็ขยับตำแหน่งอักขระ“ท่านเจ้าเมือง ท่านให้คนสองคนเฝ้าอยู่ที่นี่ ส่วนคนอื่น ๆ ไปยังลานด้านหน้าก่อนเถิด”บัดนี้ใกล้พลบค่ำแล้ว หมอกหนาเริ่มก่อตัวในป่ากอปรกับฤทธิ์ของอาคมลวงตา จึงซ่อนหมู่บ้านทั้งหมดไว้พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านและได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ภายนอกหมู่บ้าน มีคนมิน้อย แต่ก็เพียงแค่เดินผ่านไปคนพวกนั้นหาหมู่บ้านมิพบเ
เวินซินถงโกรธจนกัดฟันแน่นนางพ่ายแพ้อีกแล้วเหตุใดลั่วชิงยวนจึงโชคดีถึงเพียงนี้ ไปที่ใดก็มีคนช่วยเหลือเสมอ!มิเพียงรอดชีวิตกลับมาจากเมืองแห่งภูตผีได้เท่านั้น นางยังได้สมบัติมากมาย ทั้งยังผูกมิตรกับเจ้าเมืองตลาดมืดได้อีกด้วยนับวันอำนาจของลั่วชิงยวนดูเหมือนจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆในใจนางร้อนรนวิตกกังวล แต่กลับคิดหาหนทางมิออกไปชั่วขณะเวินซินถงยังคิดจะหาโอกาสไปพบโหยวหัวหนิงอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกอวี๋หงจับได้ จึงส่งผู้คุ้มกันห้าสิบนายใช้กำลังเชิญนางลงจากเขาไปทางด้านอวี๋หงก็เตรียมการเกือบพร้อมแล้วเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวและมิให้เป็นที่สังเกต อวี๋หงจึงนำคนไปเพียงสิบกว่าคนพวกเขาออกเดินทางจากตลาดมืดอย่างรวดเร็วพวกลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนไปสวมชุดผู้คุ้มกันปะปนอยู่ในหมู่คณะหลังจากลงจากเขาก็ขึ้นรถม้าออกเดินทางไปยังเมืองแห่งภูตผีตลอดทางเงียบสงัด ลั่วชิงยวนเปิดม่านมองไปยังป่าข้างทางด้วยสายตาลึกล้ำค่อนข้างเงียบผิดปกติอวี๋หงก็เปิดม่านมองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “มิต้องรีบร้อน ไม่มีใครกล้าหาเรื่องตลาดมืดหรอก”หลังจากพูดจบเขาก็สวมหน้ากากก้าวออกจากรถม้า และเปลี่ยนไปขี่ม้าแทนเ
อวี๋หงตกใจ “ว่ากระไรนะ? หนีไปแล้วรึ?”ผู้คุ้มกันกล่าวอีกว่า “เมื่อครู่นี้มีพวกที่ตรวจตราเห็นท่านนักบวชระดับสูงต่อสู้กับฮูหยิน แล้วท่านนักบวชระดับสูงก็หนีไปขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋หงก็โกรธมากนางกล้าหนีไปหรือ?ลั่วชิงยวนเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “เรื่องอื่นมิเก่ง แต่เรื่องหนีเอาตัวรอดกลับวิ่งเร็วเสียจริง”สีหน้าของอวี๋หงโกรธเกรี้ยว เขามิน่าเชื่อคำพูดของนางเลยตั้งแต่แรก!จากนั้นอวี๋หงก็เงยหน้ามองลั่วชิงยวน “เช่นนั้นวันพรุ่งพวกเรายังจะไปเมืองแห่งภูตผีอีกหรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ไป”ในเมื่อพบญาติของอวี๋ตันเฟิ่งแล้วก็สมควรไปนำร่างกลับมาแต่ลั่วชิงยวนก็กล่าวอีกว่า “เพียงแต่ร่างนั้นเกรงว่าจะมิอาจให้ผู้อาวุโสทั้งสองเห็นได้ พวกท่านอาจจะรับมิได้”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋หงก็ยิ่งปวดใจในคฤหาสน์เกิดเรื่องวุ่นวาย ผู้อาวุโสทั้งสองได้ยินเสียงดังก็รีบร้อนออกมาดูอวี๋หงใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะปลอบประโลมผู้อาวุโสทั้งสองให้คลายกังวลลงได้ และเกลี้ยกล่อมให้กลับเรือนไปก่อนบาดแผลของอวี๋หงได้รับการพันผ้าเรียบร้อยแล้ว เขาถามอย่างลังเลว่า “แม่นางลั่ว พอจะช่วย… ดู
“อีกทั้งช่างเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่โหยวหัวหนิงแต่งงานกับท่าน”“เรื่องนี้มีเงื่อนงำหรือไม่ ท่านลองคิดดูให้ดี”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋หงก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด มองนางด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ“ว่ากระไรนะ?!”“หั่นศพรึ?!”น้ำเสียงของอวี๋หงทั้งตกใจทั้งโกรธลั่วชิงยวนกล่าวอย่างใจเย็น “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าข้ามิได้หลอกลวงท่านใช่หรือไม่?”“วันพรุ่งข้าจะพาท่านไปยังเมืองแห่งภูตผี ทุกความจริงย่อมปรากฏ”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋หงก็จะมิเชื่อก็คงมิได้แล้วทันใดนั้นเอง ผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เริ่มสะอื้นไห้เบา ๆโหยวหัวหนิงอ่อนแรงยิ่งนัก นางพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ขอโทษ…”“ท่านพี่อวี๋ ข้าขอโทษ”อวี๋หงพลันดวงตาแดงก่ำ มองนางด้วยความเหลือเชื่อโหยวหัวหนิงร่ำไห้ แล้วกล่าวว่า “ข้าสารภาพ เหตุผลที่ข้ากับพี่ชายเข้าหาพวกท่านก็เพื่อแย่งชิงทรัพย์สมบัติของพวกท่าน”“พี่ชายให้ข้าเข้าหาท่าน ส่วนเขาเข้าหาอวี๋ตันเฟิ่ง”“เพียงแต่หลังจากที่อวี๋ตันเฟิ่งจากบ้านไป ข้าก็คิดมาตลอดว่าพวกเขาทั้งสองครองรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”“ข้าจึงมิเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้”“ข้ามิคาดคิดว่า… พี่ชายข้าจะ
อวี๋หงตกใจสุดขีด รีบพลิกตัวกลับ เงื้อแขนขึ้นป้องกันแต่คาดมิถึงว่าเหตุใดโหยวหัวหนิงจึงมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนั้นเขาพยายามต้านทานสุดกำลัง โหยวหัวหนิงโกรธจัดจึงกัดแขนของอวี๋หงอย่างแรง กัดกระชากเนื้อแขนของเขาออกมาทั้งชิ้น“อ๊าก!”อวี๋หงเจ็บจนเส้นเลือดปูดโปน ถีบโหยวหัวหนิงกระเด็นออกไปอย่างแรงแต่เขายังมิทันลุกขึ้นจากพื้น โหยวหัวหนิงก็กระโจนเข้าใส่อีกคว้าขาของเขาแล้วกระชากล้มลงกับพื้นหมายจะงับคอของอวี๋หงอีกครั้งในช่วงเวลาคับขันนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางหน้าโหยวหัวหนิงไว้นางงับลงไปพอดี คมกระบี่จึงบาดปากนางจนเลือดกระฉูดนางร้องลั่นแล้วลุกขึ้น จ้องมองพวกเขาด้วยความโกรธแค้นคนใบ้รีบดึงตัวอวี๋หงขึ้น ช่วยเขาไว้ได้ทันลั่วชิงยวนรีบเข้าไปขว้างเชือกอักขระเวทออกไปรัดร่างโหยวหัวหนิงไว้แน่นจากนั้นเข็มทิศก็เปล่งแสงทองห่อหุ้มทั้งร่างของโหยวหัวหนิงไว้ในชั่วขณะนั้น ลั่วชิงยวนเห็นโหยวจิ้งเฉิงดิ้นรนจะออกจากร่างของโหยวหัวหนิง“โหยวจิ้งเฉิง! เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย! เจ้ายังมิตายจริง ๆ!” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยสายตาเฉียบคมโหยวจิ้งเฉิงดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส จ้อง
เมื่อลุกขึ้นได้ก็รีบวิ่งหนีไปโหยวหัวหนิงลุกขึ้นรีบไล่ตามนางไปเวินซินถงหนีไปตลอดทาง แล้วรีบปีนกำแพงหนีออกจากบ้านตระกูลอวี๋เสียงดังทำให้ผู้คุ้มกันหลายคนตื่นตกใจ เมื่อพวกเขาวิ่งตามไปก็เห็นเพียงโหยวหัวหนิงที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด“ฮูหยิน!”โหยวหัวหนิงหันขวับมามองพวกเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็กระโจนตัวขึ้นเหาะหนีไปอย่างรวดเร็วฝูงชนด้านล่างตกตะลึง“ฮูหยินมีวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อใด?”พวกลั่วชิงยวนกำลังย่องเข้าไปใกล้ห้องของโหยวหัวหนิง แต่ระหว่างทางได้ยินเสียงดัง เมื่อตามไปกลับมิพบสิ่งใดแล้วรอจนกระทั่งผู้คุ้มกันที่ตรวจตราหลายคนออกไป พวกลั่วชิงยวนจึงรีบรุดไปยังที่แห่งนั้นค้นหาไปทั่วก็ได้กลิ่นคาวเลือดแล้วพบศพในลานบ้านนั้นโฉวสือชีพลิกศพขึ้นมา เมื่อเห็นรอยแผลที่คอศพแล้วก็ร้องเสียงหลง “รอยแผลนี้ มันกัดกินกันสด ๆ เลยนี่…”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว หันไปมองทั้งสองคน “พวกเจ้าว่ารอยแผลนี่คุ้นตาหรือไม่?”ทั้งสามมองหน้ากันโฉวสือชีอุทาน “ฝูเหมิ่งหรือ?!”ลั่วชิงยวนมองร่างนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วกล่าวด้วยความกังวล “ฝูเหมิ่งตายไปแล้ว นี่คือโหยวจิ้งเฉิง!”โฉวสือชีรู้สึกเหลือเชื่อ “โหยวจิ้งเฉิ