ทันทีที่ออกจากตำหนัก ลั่วชิงยวนก็เช่ารถม้าคันหนึ่งและไปตามที่อยู่ที่ฟู่อวิ๋นโจวให้มาทันที เพราะนางมิคุ้นเคยกับเส้นทาง ดังนั้นเมื่อออกจากตำหนักนางหาอยู่นานมาก จึงยืนยันตำแหน่งได้ ตำแหน่งของนักทำนายชะตาคนนั้นเปลี่ยวร้างมาก รถม้าเข้าไปมิได้ นางจึงได้แต่ลงจากรถม้าและเดินเข้าไปเอง เดินผ่านผืนป่า เห็นบ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่หลังป่าไผ่ บรรยากาศที่นั่นเงียบสงบ ภายในเรือนยังมีเสียงตัดฟืนส่งมา ดูท่านักทำนายชะตาคนนั้นจะอยู่ที่นี่! ในใจของลั่วชิงยวนรู้สึกดีใจ นางรีบวิ่งเข้าไปทันที ขอเพียงแค่เขายังอยู่ ไม่ถูกใครฆ่าปิดปากไปเสียก่อน! แต่แล้วนางไม่รู้ ฟู่เฉินหวนเองก็ตามนางมาจนถึงที่นี่ และอยู่หลังนางในทิศไม่ไกล! เอี๊ยด… ลั่วชิงยวนผลักประตูบ้านออก นักทำนายชะตาที่กำลังตัดฟืนเพื่อเตรียมต้มยาเงยหน้ามองทีหนึ่ง และตกใจจนใบหน้าถอดสีทันที “ทำไมจึงเป็นเจ้า? เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร?” ลั่วชิงยวนเดินขึ้นหน้าอย่างไว พร้อมกับปิดประตูลงทันที นางถามเอ่ยเสียงเย็น “หว่างคิ้วของเจ้าก่อเป็นลางมรณะแล้ว เจ้าเองก็ดูดวงเป็น คงรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะเจอเรื่องเลวร้ายแล้วใช่หรือไม่เล่า?” ลั่วชิวยวนรู้ว่าต
สายตาของลั่วชิงยวนครบกริบ นางดึงคอเสื้อของนักทำนายชะตาไว้ “เห็นหรือยัง! ต่อให้เจ้าใส่ร้ายข้า คนที่อยู่เบื้องหลังก็ไม่ปล่อยเจ้าไปอยู่ดี!” วางแผนถึงตัวนางงั้นหรือ? นางจักต้องถามออกมาให้ได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือใคร! นักทำนายชะตามองแมลงที่ถูกทุบจนเละ ในใจของเขาสั่นคลอน แต่นัยน์ตากลับฉายแววเด็ดขาด “ตกในมือเจ้า จะมีจุดจบ ดี ๆ งั้นรึ?” สิ้นเสียง เขาก็กัดพิษที่ซ่อนไว้ในปากจนแตกทันที สายตาของลั่วชิงยวนเย็นลง รู้ตัวทันทีว่าเขาอยากกัดพิษฆ่าตัวตาย จึงเหวี่ยงหมัดเข้าไปอย่างแรง แรงเสียจนนักทำนายชะตาหน้าเบี้ยว ฟันหลุดไปสองซี่ ยาพิษเองก็หล่นออกจากปาก ฟู่เฉินหวนเห็นเข้า เขาขมวดคิ้วอย่างแรง การตอบสนองอันว่องไวนี้ มิเหมือนคุณหนูตระกูลชั้นสูงธรรมดาคนหนึ่ง นางโดนใส่ร้ายจึงอยากยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง หรือนางกำลังถือโอกาสแลกความเชื่อใจจากเขากันแน่? ลั่วชิงยวนหยิบเชือกมาเส้นหนึ่งมัดตัวนักทำนายชะตาไว้ พร้อมกับกล่าวเย็น ๆ “อย่าคิดจะตาย!” “ในเมื่อเจ้ามิยอมให้ความร่วมมือดี ๆ งั้นคงต้องให้เจ้าได้รับความทรมานหน่อยเสียแล้ว” นางผลักนักทำนายชะตาให้เดินออกไปทางด้านนอก จนมาถึงด้านหน้าฟู่เฉินหวน
คิ้วของลั่วชิงยวนกระตุก นางดึงตัวนักทำนายชะตาหมอบลงกับพื้น ลูกธนูแหลมคมทะลุผ่านกำแพงรถม้าทันที หัวใจของฟู่เฉินหวนบีบรัด เขาหวั่นเกรงเล็กน้อย และเปิดประตูรถม้าตรวจดูอย่างว่องไว สายตาของเขาตกอยู่บนตัวลั่วชิงยวน แต่เมื่อลั่วชิงยวนเงยหน้า สายตาเขากลับกวาดไปทางนักทำนายชะตาเสียแล้ว ยืนยันว่าอีกฝ่ายยังรอดชีวิต เขาหันหน้า ดึงเชือกควบม้าในทันที “นั่งให้ดีล่ะ!” แส้ฟาดไปบนก้นม้า ม้าร้องกังวานทีหนึ่ง จากนั้นก้าวขาวิ่งไปทางด้านหน้าอย่างไว วินาทีนั้น ลั่วชิงยวนที่อยู่ในรถม้าลำตัวกระเด็นขึ้นลง ส่วนนักทำนายชะตาก็กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในรถม้า พวกเขาควบคุมร่างกายของตนไม่ได้แม้แต่นิด ฟิ้ว ๆ ๆ … ลูกธนูมากมายยิงมาทางรถม้าของพวกเขาราวกับสายฝน ลั่วชิงยวนต้องพยายามทรงตัว และคอยดึงตัวนักทำนายชะตาหลบลูกธนู เจ้านี่จะตายไม่ได้เด็ดขาด หากเขาตายนางยิ่งอธิบายไม่ได้ไปใหญ่เลย! “สวรรค์ สะเทือนเยี่ยงนี้ ให้ข้าออกไปตายเถิด!” นักทำนายชะตารับแรงสะเทือนไม่ไหว และกำลังจะอ้วกออกมา “อย่าคิดจะได้ตายง่าย ๆ!” ลั่วชิงยวนกดเขาไว้ที่พื้น น้ำหนักครึ่งตัวของนางทับเขาไว้ จนเขาปีนออกไปไม่ได้อีก ระหว่างทางหลบหนี ล
เมื่อนางพูดถึงตรงนี้ ร่างของนักทำนายชะตาสั่นเป็นเจ้าเข้า มิรู้เพราะความเจ็บปวดหรือเพราะกลัวในสิ่งที่ลั่วชิงยวนพูดกันแน่ เมื่อถึงเวลานี้ ในที่สุดเขาจึงเอ่ยปากสั่น ๆ “ข้าพูด! ข้าพูดได้!” “ผู้นั้นคือ…” ลั่วชิงยวนรับรู้ถึงความอันตราย นางหลบหลีกทันขวัญ ลูกธนูลูกหนึ่งยิงจากทิศบนเข้ามาในรถม้า และยิงไปโดนบ่าขวาของนักทำนายชะตา ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนตรวจสอบบาดแผลของนักทำนายชะตา โชคดีที่มิได้โดนจุดสำคัญ มิอันตรายถึงชีวิต บรรยากาศเงียบสงัดลง และเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ด้านนอก ชายชุดดำสามสี่สิบคนวิ่งตามจนถึงที่นี่ ในมือถืออาวุธไว้หลากหลายชนิด นอกรถม้า เสียงที่ฟู่เฉินหวนกระโดดลงจากรถม้าเบา ๆ พร้อมกับน้ำเสียงที่แสนหยิ่งทะนงของเขา “ปรากฏตัวเสียที” ลั่วชิงยวนเปิดประตูรถม้าออกอย่างคิ้วขมวด ก็พบกับนักฆ่าชุดดำที่อยู่สี่ทิศแปดด้าน แต่ท่าทีใจเย็นและนิ่งเฉยของฟู่เฉินหวน กลับเต็มไปด้วยไอข่มเหง เขาหันหน้ามองนางทีหนึ่ง จากนั้นมองไปที่ใต้รถม้า มิได้เอ่ยพูดสิ่งใด แต่ลั่วชิงยวนกลับเข้าใจความหมายของเขา คือให้ไปหลบอยู่ที่ใต้รถม้า วินาทีต่อมา เหล่าคนชุดดำกรูโจมตีพร้อมกัน
ศพกระจายเต็มพื้น! และกองกันเป็นสันเขาเล็ก ๆ แค่ปีนออกไปนางยังทำมิได้ นางผลักศพออกอย่างยากลำบาก ร่างที่หนาใหญ่ของนางมุดออกมา ก็เห็นแผ่นหลังที่ไร้พันธะและดุดันของฟู่เฉินหวนทันที เขาสะบัดดาบยาว แทงไปที่ลำคอของนักฆ่าชุดดำตรง ๆ นักฆ่าคนสุดท้ายก็ตายแล้ว! เขาโยนดาบยาวที่เปื้อนไปด้วยเลือดทิ้ง เดินมือไขว้หลังเข้ามา แสงแดดส่องอยู่เบื้องหน้า ส่วนเขาเดินเข้าหาแสง เบื้องหลังคือความมืดมิดและการฆ่าฟันที่ไร้ที่สิ้นสุด เขาก้าวผ่านศพและเลือด ราวกับอสูรในนรกที่จะมาคร่าชีวิตนาง ในใจของลั่วชิงยวนสั่นคลอน กลิ่นอายฆ่าฟันรุนแรงมาก! วินาทีนั้น ราวกับนางเห็นครึ่งชีวิตหลังของเขา นั่นคือความมืดมิดและการฆ่าฟันที่แสนหนักอึ้ง นางมิเคยเห็นคนเช่นนี้มาก่อน ต่อให้แสงที่จ้าจนแสบตา ก็กลบความมืดทมิฬที่อยู่เบื้องหลังของเขามิได้ ราวกับว่า… เขาเกิดมาเพื่อสังหาร เขายิ่งเข้าใกล้ เงาดำที่อยู่ด้านหลังเขาก็ยิ่งใหญ่โต เมื่อลองตั้งใจมอง ในความมืดมิดนั้น มีเงามังกรซ่อนอยู่ ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วอย่างอดมิได้ หรือไอมังกรของเขาจะได้มาจากการสังหาร? วินาทีนี้ราวกับนางเห็นชะตาชีวิตของฟู่เฉินหวน นางมิกล้ายื่นคำข
เหตุใดเขาจึงดีต่อนางเช่นนี้? อย่าบอกนะ… แต่ในใจของร่างเดิมมองฟู่อวิ๋นโจวเป็นเพื่อนมาโดยตลอด และรับรู้ไม่ถึงความคิดของฟู่อวิ๋นโจว หวังว่านางจะคิดมากไป “หากองค์ชายห้าเป็นคนทำ เช่นนั้นเขาดีต่อพระชายามิน้อย” แม่นมเติ้งพูดขึ้นอย่างอดมิได้ ลั่วชิงยวนกลับยิ้มอ่อน “แล้วจะมีประโยชน์อันใดเล่า” ต่อให้ช่วยฟู่เฉินหวนไป แล้วมีประโยชน์อะไรล่ะ คนคนนี้ราวกับเป็นงูพิษ ทั้งมีพิษร้ายและเลือดเย็น ช่วยเขา มีแต่จะทำให้เขาสงสัยในจุดประสงค์ของนาง “พระชายาหมายถึงสิ่งใดกันเจ้าคะ?” แม่นมเติ้งฟังแล้วรู้สึกงุนงง “เอาเถอะ ไม่พูดแล้ว” ลั่วชิงยวนทายาเสร็จ ก็นอนราบลงบนเตียงทันที วันนี้ทั้งวัน นางเหนื่อยเกินไป ทุกจุดในร่างกายต่างเจ็บปวด โดยเฉพาะหน้าอกนางเจ็บปวดอย่างอดทนได้ยาก โชคดีที่ก่อนหน้านี้ท่านอาลั่วหรงให้เครื่องยาสมุนไพรชั้นดีกับนางไว้เยอะ ตอนนี้กลับได้ใช้พอดี ยังไม่ทันถึงตอนเย็น ลั่วชิงยวนก็นอนลงทันที ส่วนทางนี้ ฟู่เฉินหวนกลับห้องตำราไปก็เอ่ยสั่งซูโหยว “ทำอย่างที่นางพูด ช่วงนี้ห้ามปล่อยให้ใครเข้าไปเจอนักทำนายชะตาทั้งนั้น” สิ้นเสียง ซูโหยวชะงักเล็กน้อย “ต้องหาคนมาเฝ้าระวังหรือไม่พ่ะย่ะค
”องค์จักรพรรดิทรงเตรียมกำลังคนเอาไว้แล้ว”เขาโบกมือแล้วก็มีองครักษ์เงาสองนายกระโดดออกมาจากเงามืดลั่วชิงยวนก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาได้เห็นผู้ที่ลอบเข้ามาในห้องเมื่อคืนหรือไม่?“ว่ามา” ฟู่เฉินหวนเอามือไพล่หลังและมองลั่วชิงยวนด้วยแววตาเย็นชา“กรายทูลท่านอ๋อง เมื่อคืนผู้ที่เข้าห้องนี้มีเพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”“เป็นนางรับใช้ข้างกายพระชายา แม่นางจือเฉา”ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกใจมาก “จือเฉาหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร!”“คนของข้าไม่ผิดพลาดแน่ นางเข้าไปในห้องพร้อมอาหาร” องครักษ์เงาทั้งสองต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันลั่วชิงยวนรู้สึกยากจะเชื่อ จะเป็นจือเฉาไปได้อย่างไรนางรีบส่งคนไปตามจือเฉามาทันทีเมื่อจือเฉามาถึง นางก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น“จือเฉา ข้าขอถามเจ้า เมื่อคืนนี้เจ้าออกมาจากเรือนหรือไม่?” ลั่วชิงยวนถามอย่างร้อนใจจือเฉาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด นางพยักหน้าและบอกว่า “ข้าออกเจ้าค่ะ”“แต่เมื่อคืนนี้พระชายาเข้านอนเร็ว และข้าก็ทำงานของข้าเสร็จเร็วจึงเข้านอนแต่หัววัน เมื่อคืนนี้ข้าเลยเข้านอนเร็วกว่าปกติ”ลั่วชิงยวนรู้สึกร้อนใจ จึงถามต่อว่า “ข้าหมายความว่า เมื่อคื
”หากหม่อมฉันต้องการฆ่าเขา หม่อมฉันมีวิธีการมากมายที่จะทำโดยไม่ให้ท่านรู้และให้เขาตายไปเงียบ ๆ”“เหตุใดหม่อมฉันต้องส่วนนางรับใช้ข้างกายไปฆ่าคนปิดปากด้วย และยังทิ้งร่องรอยไว้มากขนาดนี้?”ตอนนี้แววตาฟู่เฉินหวนเองก็ดำคล้ำเขาจ้องนางเขม็ง ดวงตาสั่นไหวด้วยความคลางแคลงใจลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเขาเองก็คิดเรื่องนี้ และอาจจะมีเวลาที่คิดว่านางนั้นโดนใส่ร้ายแต่แววตาฟู่เฉินหวนก็กลับมาเย็นเยียบ เขาสั่งเสียงเย็นชาว่า “เอานางไปขังไว้”หลังจากนั้นเขาก็เดินจากไปลั่วชิงยวนตกตะลึงเขานั้นยอมสังหารคนบริสุทธิ์นับพันดีกว่าปล่อยคนผิดลอยนวลเมื่อมีความแคลงใจบ่มเพาะในใจ ก็ยากที่จะมองคนผู้นั้นโดยไร้อคติอีกต่อไปลั่วชิงยวนเข้าใจเรื่องนี้ดี“ท่านอ๋องเพคะ พระชายาบริสุทธิ์ พระชายาไม่เคยส่งหม่อมฉันไปที่คุก และหม่อมฉันเองก็ไม่เคยเข้าไปที่นั่นด้วยซ้ำ ทรงพิจารณาด้วยเถิดเพคะ”จือเฉาคุกเข่าขอร้อง นางถึงกับลุกเพื่อวิ่งตามฟู่เฉินหวนไปแต่ว่าเขาไม่ได้หยุดเท้าแม่นมเติ้งพยุงลั่วชิงยวนให้ลุกขึ้นอย่างไม่สบายใจ “พระชายา บ่าวควรทำเช่นไรดี?”ตอนนั้นเององครักษ์เงาสองคนก็เข้ามา และพาตัวลั่วชิงยวนและจือเฉาไปขังไว้ในคุก
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน