หมอหลวงเองก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง “อ๊ะ เขากระอักโลหิตเสียแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอาการเช่นนั้นมาก่อนเลย” ทุกคนก้าวเข้ามาตรวจอาการของลั่วไห่ผิงด้วยท่าทีร้อนใจยิ่ง ลั่วเยวี่ยอิงที่ตกอยู่ท่ามกลางความสิ้นหวัง ออกแรงผลักลั่วชิงยวนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “เจ้ามันสตรีใจอำมหิต ท่านเป็นบิดาของเจ้านะ! ไฉน! ไฉนเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย?” ลั่วเยวี่ยอิงโมโหเสียจนหน้าตาเหยเก ดูเหมือนว่านางพร้อมจะฉีกทึ้งลั่วชิงยวนให้เป็นชิ้น ๆ แล้ว หลังจากลั่วชิงยวนโดนอีกฝ่ายผลักอย่างแรงจนซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว ลั่วชิงยวนก็ปัดมือของอีกฝ่ายออกอย่างหมดความอดทน โดยไม่คิดจะอธิบายสักนิด บัดนี้เอง หมอหลวงที่เป็นกังวลเรื่องอาการของลั่วไห่ผิงก็ร้องอุทานออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า “ชีพจรเช่นนี้มิดีแล้ว!” “เขาหายใจเร็วเสียแล้ว หากมิสามารถควบคุมการหายใจได้ มีความเป็นไปได้มากว่า…” “อาการของอัครเสนาบดีเข้าขั้นวิกฤตแล้ว!” หมอหลวงเอาแต่พูดคุยกัน เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ อาการป่วยของลั่วไห่ผิงก็วิกฤตขึ้นมาราวกับว่าเขาควบคุมมิได้อีกแล้ว พวกเขาต่างก็ร้อนใจขึ้นมา เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่รอดแล้ว ตอนนี้ฟู่เฉินหวนเองก็มอง
ในยามนี้เอง หลังจากลั่วเยวี่ยอิงได้ยินวาจาเหล่านี้ก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ “ลั่วชิงยวน เจ้าทำเกินไปแล้ว!” นางรู้สึกตื่นตระหนกมากเสียจนอยากจะพุ่งเข้าไปหา แต่กลับถูกฟู่เฉินหวนรั้งแผ่นหลังเอาไว้ ลั่วชิงยวนหยิบเข็มเงินแล้วฝังให้ลั่วไห่ผิงด้วยความเชี่ยวชาญ หามีหมอหลวงคนใดกล้าเดินเข้ามาอีกไม่ อย่างไรเสีย หากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นกับท่านอัครเสนาบดี พวกเขาคงแบกรับมิไหวเป็นแน่ พวกเขาจึงได้แต่จับตามองทุกความเคลื่อนไหวของลั่วชิงยวน ทว่าสิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้แก่พวกเขาก็คือ การที่ลมหายใจของลั่วไห่ผิงค่อย ๆ สงบลงทีละนิด มิได้เร็วเท่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว เห็นได้ว่าหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงสม่ำเสมอแล้ว หมอหลวงต่างตกตะลึง หลังจากลั่วชิงยวนฝังเข็มเสร็จสิ้น นางก็ถอนเข็มเงินออกมาแล้วหยิบโอสถเสริมลมปราณออกมาจากล่วมยามาป้อนให้ลั่วไห่ผิงกิน หลังจากนั้นสักพัก สีหน้าของลั่วไห่ผิงกลับมีเลือดฝาด มิได้ซีดขาวเช่นก่อนหน้านี้อีก ลั่วชิงยวนเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “เดี๋ยวข้าจะเขียนเทียบโอสถให้ เพียงแต่ต้องใช้เครื่องยาสมุนไพรทั่วไปเพื่อบำรุงกำลัง กินสักสามวันเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” “เขาคงฟื้นแล้วลุกขึ้นได้ภายในส
“ถึงเวลาปล่อยฟู่อวิ๋นโจวไปแล้ว”น้ำเสียงเย็นชาของลั่วชิงยวนทำให้ฟู่เฉินหวนรู้สึกโกรธอีกครั้งดวงตาของเขามืดลงและพูดอย่างเย็นชา “ข้าเป็นคนรักษาคำพูดอยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดี!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาและไม่มีความอบอุ่นใด ๆ ระหว่างทางกลับตำหนัก ทั้งคู่ต่างพากันเงียบ บรรยากาศอึดอัดไม่น้อยเมื่อมาถึงตำหนักอ๋อง ลั่วชิงยวนบอกให้ฟู่เฉินหวนปล่อยตัวเขาทันทีฟู่เฉินหวนไม่รอช้า และได้ปล่อยฟู่อวิ๋นโจวออกจากคุกน้ำทันทีลั่วชิงยวนไปยังเรือนทักษิณาหลังจากนั้นใบหน้าของฟู่อวิ๋นโจวทั้งซีดและดูซูบผอม เส้นผมที่เปียกโชกของเขาแนบแก้มและลำคอ เผยให้เห็นผิวขาวซีดอย่างคนป่วยลั่วชิงยวนรีบจับชีพจรของเขาอย่างรวดเร็วฟู่อวิ๋นโจวฟื้นคืนสติขึ้นมาด้วยความงุนงง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ชิงยวน ข้าเป็นภาระเจ้าอีกแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “ครั้งนี้ท่านเป็นหวัด ดังนั้นโปรดรักษาตัวด้วยเพคะ หม่อมฉันจักสั่งยาให้ท่าน ขอให้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่เถิดเพคะ”ขณะที่นางกำลังพูด จู่ ๆ หมอกู้ก็เดินเข้ามา“มิรบกวนพระชายา ข้าดูแลองค์ชายห้าเองขอรับ”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและหันไปมองหมอกู้ “ในเมื่อหมอกู้เป็นหมอเทวดา ไฉน
“องค์ชาย หม่อมฉันจักพยายามโน้มน้าวแม่นางฝูเสวี่ยอย่างเต็มที่ แต่หม่อมฉันมิสามารถรับประกันได้ว่าแม่นางฝูเสวี่ยจักยอมรับปากเพคะ”ลั่วชิงยวนบังเอิญได้ยินการสนทนาของพวกเขาและอดไม่ได้ที่จะแอบตกใจ กับเรื่องนี้แล้วฟู่จิ่งหลีนับว่าหน้าใหญ่ใจโตไม่น้อยเลย“องค์ชายฟู่” ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยปากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของนาง ฟู่จิ่งหลีก็เงยหน้าขึ้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นี่ ช่างบังเอิญนัก ท่านเซียนฉู่ก็มาที่นี่เพื่อดื่มด้วยงั้นรึ?”“กระหม่อมมาเพราะมีเรื่องจะถามองค์ชายฟู่พ่ะย่ะค่ะ” ลั่วชิงยวนกล่าวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหลีก็โบกมือและขอให้เหล่าสตรีที่อยู่รอบตัวเขาออกไปก่อนแม่เล้าเฉินเองก็จากไปอย่างรู้งานเช่นกันลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้า และฟู่จิ่งหลีก็รินสุราให้นางหนึ่งแก้ว “ไม่ง่ายเลยที่จะได้พบกับท่านเซียนฉู่ที่นี่ มาดื่มกันหน่อยเถอะ”ลั่วชิงยวนปฏิเสธ “กระหม่อมดื่มมิเก่ง เพราะฉะนั้นกระหม่อมมิดื่มกับองค์ชายฟู่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมมาที่นี่ครั้งนี้เพื่อถามองค์ชายฟู่ว่า ภาพวาดที่ถูกนำมาประมูลครั้งก่อนนั้นเป็นของสะสมตระกูลองค์ชายฟู่จริงหรือ?”“กระหม่อมได้ยินมาว่าภาพวาดนั้นสร้าง
ผู้มาเยือนคือสตรีในอาภรณ์และผ้าคลุมสีขาว นางดูมีอายุ แต่ชุดของนางบ่งบอกได้ถึงความไม่ธรรมดาและดูสูงส่งราวกับเทพธิดาตรงข้ามกับการแต่งกายของลั่วชิงยวนในขณะนี้อย่างสิ้นเชิงทันใดนั้นเสียงของลิ่นฝูเสวี่ยก็ดังขึ้น “ลี่เซียง!”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย และหลังจากพินิจมองอย่างถ้วนถี่ นางก็เห็นว่าสตรีผู้นี้คือลี่เซียงซึ่งเป็นนายหญิงคนปัจจุบันของหอเจาเซียง เป็นท่านอาฉินจริง ๆ ด้วยทุกคนในที่นี้ถูกท่านอาฉินดึงดูดและแอบซุบซิบกันอย่างไม่รู้ว่านางเป็นผู้ใดมาจากไหนจนกระทั่งร่างที่คุ้นเคยของหลีเถาติดตามนางไปแม่เล้าเฉินสะดุ้งและก้าวไปข้างหน้าทันที “วันนี้ คนจากหอเจาเซียงอย่างเจ้าคิดจักมาก่อปัญหางั้นรึ?”“พวกเจ้าขับไล่แม่นางฝูเสวี่ยผู้นี้มาด้วยตัวเอง ยามนี้เจ้ามายังหอฝูเสวี่ยของข้าเพื่อก่อปัญหา มิคิดว่าผิดจรรยาบรรณไปหน่อยหรือ?”แม่เล้าเฉินหัวเราะเยาะและดูประหลาดใดใบหน้าของท่านอาฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาที่เฉียบคมของนางจ้องมองไปที่อาภรณ์สีแดงเพลิงบนเวทีโดยตรง ก่อนจะเอ่ยย่างเย็นชา “หอฝูเสวี่ยของพวกเจ้านี่มันอะไรกัน? กล้าขโมยชื่ออาจารย์ของข้าไปใช้ วันนี้ข้าย่อมต้องมาเปิดโปงพวกเจ้าอยู่แล้ว!”
คำพูดอันชอบธรรมของท่านอาฉินทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ในเวลานี้ ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เสียงที่ชัดเจนดังขึ้น ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบลงทันที“ข้าชื่อฝูเสวี่ย แต่ข้ามิได้บอกว่าชื่อของข้าคือลิ่นฝูเสวี่ย ในฐานะผู้เป็นนายของหอเจาเซียง ท่านมาร่ายรำเทพเหมันต์ที่หอฝูเสวี่ยของข้า มิทราบว่าจุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกัน?”“อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าทุกคนในหอสมุทรมรกตประสบอุบัติเหตุในปีนั้น และไม่มีผู้ใดรอดแม้แต่คนเดียว จู่ ๆ ศิษย์ของลิ่นฝูเสวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้น ข้าสงสัยยิ่งนักว่าท่านรอดมาได้เช่นไร?”“เหตุใดจึงเร้นกายไปเสียหลายปีเช่นนี้เล่า?”ลั่วชิงยวนถามคาดคั้น ทำให้ใบหน้าของท่านอาฉินซีดลงท่านอาฉินโต้กลับอย่างเย็นชา “ในปีนั้นหอสมุทรมรกตประสบเรื่องราวเช่นที่เจ้าว่าจริง ข้าโชคดีที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้เพียงผู้เดียว มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตสำหรับข้า ข้าจึงเลือกปลีกวิเวกเร้นกายจากสังคม แปลกมากหรือไร?”“ข้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังด้วยรึ?”มุมปากของลั่วชิงยวนยกขึ้นด้วยความสนใจ “โอ้? เพราะความเจ็บปวด ท่านจึงหายตัวไปและกลายเป็นนายหญิงหอเจาเซียงเช่นนั้นรึ?”“ทุกคน
เป็นไปได้อย่างไร?!ใต้หล้านี้ นอกจากลิ่นฝูเสวี่ยแล้วจะยังมีผู้ใดที่สามารถแสดงรำเทพที่สมบูรณ์ได้อีกหรือ?!แม้แต่ตัวนางเองก็ได้เรียนรู้ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!เป็นลิ่นฝูเสวี่ยที่กลับมาจากความตายหรืออย่างไร? เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!การแสดงจบลงแล้วภายในโถงกว้างเงียบราวกับสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นได้เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่จะมีเสียงปรบมือดังกึกก้องดังขึ้นตามมา“งดงามยิ่ง! นี่สิ รำเทพเหมันต์ของจริง!”แม้แต่ฟู่จิ่งหลีก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนอย่างมีความสุขไม่น้อย ก่อนเอ่ยอย่างฝีปากกล้า “แม่นางฝูเสวี่ยเก่งกาจสมคำร่ำลือจริง ๆ! ข้ายังชมการร่ายรำไม่จุใจเลย ข้าจักขอถามแม่นางฝูเสวี่ยว่าจะสามารถร่ายรำอีกสองสามครั้งได้หรือไม่?”“วันนี้ ข้าจะดูแลเรื่องเครื่องดื่มและของว่างทั้งหมดในหอฝูเสวี่ยเอง!”ท่าทางใจป้ำเช่นนี้ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นเร้าใจในหอฝูเสวี่ยแม่เล้าเฉินมีความสุขมาก “เพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยองค์ชายเจ็ดแล้ว!”ฟู่จิ่งหานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในขณะที่เขานั่งอยู่บนที่นั่งของเขา กวักมือเรียกเครื่องเคียงและสุราดี ๆ “องค์ชายเจ็ดผู้นี้เอื้อเฟื้อนัก หากข้าม
ลิ่นฝูเสวี่ยกลับเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “หากวันหนึ่งข้าจากท่านไป ข้าจักไปบอกแม่ในภพชาติใหม่ของท่านว่ามิเสียแรงที่นางคลอดบุตรีอย่างท่านมา!”ได้ยินดังนี้ แววตาของลั่วชิงยวนมืดครึ้มลง “ยายเฒ่าเจ้าเล่ห์!”ลิ่นฝูเสวี่ยเล่าเรื่องท่านแม่ให้นางฟังทุกครั้ง แต่กลับมิเคยพูดจุดสำคัญสักครั้งลั่วชิงยวนรู้ว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะทำเรื่องในใจสำเร็จ ไม่มีทางบอกข่าวใดกับนางแน่แต่นางเองก็ไม่บังคับ เพราะการที่ลิ่นฝูเสวี่ยขึ้นแสดงก็สามารถนำมาซึ่งรายรับด้านการเงินผู้ใดจะคิดว่าเงินมากไปกันวันนี้ฟู่จิ่งหลีเหมาหอ เมื่อได้ยินข่าวนี้ ชาวบ้านต่างมาที่หอฝูเสวี่ยคนในหอฝูเสวี่ยยิ่งอยู่ยิ่งมากเสียงพิณไพเราะดังขึ้น กลีบดอกไม้ค่อย ๆ ร่วงโรย อาภรณ์สีแดงลอยขึ้นจากนั้นสยายลงพื้นดึงดูดสายตาของผู้คนในทันทีภายในหอเงียบลงทันใด เชยชมการร่ายรำงดงามนี้กันอย่างสงบฟู่จิ่งหานมองอย่างหลงใหล และดื่มด่ำกับการเต้นรำกระทั่งฟู่เฉินหวนยังถูกร่างนั้นดึงดูด ละสายตาออกมิได้แม้แต่นิดโดยเฉพาะสายตาของนาง บางครั้งก็ยั่วยวน บางครั้งก็เฉียบคม ราวกับมีสองคนในหนึ่งร่างลึกลับเสียจนทำผู้คนอยากเปิดหน้ากากนางออก เพื่อชมโฉมจริงลั่วชิงยวนร
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน