จ้าวต้าเปียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่นใจว่า “ข้าคิดจะเผาสวนเซียงอู๋จริง ๆ! ข้าทำงานอยู่ในสวนเซียงอู๋มาหลายปี ยามที่ข้าเห็นเหล่าคุณชายและคุณหนูผู้มั่งคั่งพวกนั้นต่างพากันมาที่สวนเซียงอู๋ด้วยท่าทีสุขสำราญใจเช่นนั้น ข้าก็รู้สึกขุ่นเคืองใจนัก!” “ไฉนพวกเราต้องเกิดมายากจนข้นแค้น? ไฉนพวกเราต้องมีชีวิตลำบากลำบนถึงเพียงนี้! หลังจากพวกเราตรากตรำทำงานหนักมาตลอดปี เงินที่พวกเราหามาได้ยังมีมูลค่ามิเท่ากับถ้วยชาสักใบที่บรรดาคุณชายและคุณหนูพวกนั้นใช้เลยกระมัง? เพราะเหตุใดกัน!” ลั่วชิงยวนหรี่ตาเล็กน้อยแล้วอดมิได้ที่จะเหลือบมองมาที่ลั่วไห่ผิง ลั่วไห่ผิงจงใจเตือนสติจ้าวต้าเปียว เขาพยายามที่จะช่วยลั่วเยวี่ยอิงให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหา หรือว่าเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังด้วย? เรื่องนี้เตือนให้ลั่วชิงยวนระลึกถึงการเสียชีวิตของท่านมหาราชครู อย่างไรเสียวันนั้นครั้นเมื่อท่านมหาราชครูพบปะกับลั่วไห่ผิงตามลำพัง ก็คงมีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ทราบเรื่องที่คุยกัน ลั่วไห่ผิงแค่นเสียงเย็นชา “แน่นอนว่าย่อมต้องแยกออกเป็นสองคดีอยู่แล้ว!” “ฝูเสวี่ยเป็นสตรีจากหอนางโลมแท้ ๆ แต่บังอาจวางแผนสังหา
เมื่อลั่วชิงยวนสัมผัสได้ถึงอันตรายก็ดึงตัวฟู่จิ่งหลีเข้ามา หลบเลี่ยงการจู่โจมได้อย่างหวุดหวิด แต่กลับมีเสียงล้มลงกับพื้นดังขึ้นสองคำรบ... จ้าวต้าเปียวกับหวังเยวี่ยชิงล้มลงทันที หญิงชราร้องอุทานว่า "ลูกข้า!" นางเองก็หมดสติไปด้วยความตื่นตระหนก ทุกคนต่างตกตะลึง ใต้เท้าเหอลุกพรวดขึ้นมาทันที “จับตัวมือสังหารไว้!” คนของทางการกลุ่มหนึ่งพุ่งตัวออกมา ฟู่จิ่งหลียังรู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง เมื่อเห็นทั้งสองศพที่นอนอยู่กับพื้น หากลั่วชิงยวนดึงตัวเขาได้มิทันเวลาล่ะก็ เขาคงตายไปแล้ว ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงแล้วตรวจสอบบาดแผลที่ทำให้จ้าวต้าเปียวกับหวังเยวี่ยชิงถึงแก่ชีวิต เข็มพิษแทงเข้าตรงท้ายทอย อาวุธลับเช่นนี้เป็นอันตรายถึงชีวิต นางหันหน้าไปมองลั่วเยวี่ยอิงที่หวาดกลัวเสียจนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ลั่วไห่ผิงฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ปลอดภัย ไปกันเถอะ” หลังจากเขาพูดจบก็คุ้มครองลั่วเยวี่ยอิงออกไป ใต้เท้าเหอมองศพบนพื้นแล้วให้รู้สึกหงุดหงิดใจยิ่งนัก "นี่มันสุดจะรับได้จริง ๆ! พยานถูกสังหารในโถงพิจารณาคดี" ฟู่จิ่งหลีเดินเขามาถามว่า “ใต้เท้าเหอ สิ่งที่สองคนนั้นว่ามาน
เดิมทีนางคิดจะเดินเลี่ยงห้องของมารดาตน แต่นางพบว่าวันนี้ดูเหมือนทั้งจวนจะดูผิดปกติไป เพราะไม่เห็นคนรับใช้เดินไปมาแม้สักคนเดียว ช่างเงียบอย่างน่าประหลาด ยามที่นางผ่านเรือนของมารดาแล้วเดินเข้าไป ก็พบว่าช่างเงียบสงัดจนน่ากลัว แต่นางกลับเห็นสวีซงหย่วนที่เพิ่งจะเปิดประตูเดินออกมา “ท่านพี่สวี… ท่าน...” ลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้วพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ดูเหมือนว่าสวีซงหย่วนจะฟาดนางจนสลบไป สวีซงหย่วนตื่นตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มพลางถามว่า “อวิ๋นสี่ เจ้ายังปวดศีรษะอยู่หรือไม่?” เขาเดินเข้ามาหมายจะแตะหน้าผากของลั่วอวิ๋นสี่ ลั่วอวิ๋นสี่ก้าวถอยหลังด้วยท่าทีตั้งรับ “ไฉนเมื่อคืนท่านต้องฟาดข้าให้สลบไปด้วย? เหตุใดยามนี้ท่านจึงเดินออกมาจากห้องมารดาของข้าอีก?” “คนในจวนแห่งนี้ไปอยู่ที่ไหนกันหมด? ไยจึงเงียบถึงเพียงนี้เล่า?” ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกสับสนอย่างถึงที่สุด สวีซงหย่วนยิ้มพลางกล่าวว่า “อวิ๋นสี่ มารดาของเจ้าตอบตกลงให้พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว เจ้าดีใจหรือไม่?” เมื่อลั่วอวิ๋นสี่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง “ตอบตกลง? เรื่องนั้นเป็นไปได้อย่างไรกัน!” นางรู้นิสัยของมารดาตนดี อีกฝ่
โลหิตสด ๆ อาบย้อมหน้าอกและอาภรณ์ของลั่วหรง ร่างกายของนางชุ่มโชกไปด้วยโลหิตและลมหายใจหลุดลอย ลั่วอวิ๋นสี่ทรุดตัวร้องไห้กระทั่งเสียงแหบแห้งจนเปล่งเสียงไม่ออก นางรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง เป็นนางที่ทำร้ายมารดาตนเอง! ดวงตาอันแดงก่ำของนางกลับเต็มไปด้วยน้ำตาและความชิงชัง จากนั้นนางก็พุ่งเข้าใส่สวีซงหย่วนหมายจะสังหารเขา! สวีซงหย่วนสายตาเย็นชาแล้วกำดาบในมือเอาไว้แน่น “เห็นแก่ที่ระยะนี้เจ้าดูแลข้าดีมิน้อย ข้าจักมิสังหารเจ้าก็ได้ ทว่าก็มิอาจเก็บมือไม้ของเจ้าเอาไว้ได้” สวีซงหย่วนเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาพลางตวัดดาบ ลั่วชิงยวนที่รีบรุดมาเห็นภาพนี้เข้าพอดี ลั่วชิงยวนชักมีดสั้นออกมาขว้างใส่อย่างสุดแรงเกิด เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาสังหาร สวีซงหย่วนก็ยกดาบขึ้นต้านทานพลังจู่โจมเพื่อสกัดขัดขวางมีดสั้นเอาไว้ ชั่วครู่ต่อมา ลั่วชิงยวนกระโดดเตะสวีซงหย่วนอย่างรุนแรง จากนั้นก็ฉุดลั่วอวิ๋นสี่ออกห่าง ลั่วอวิ๋นสี่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็ร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ต่อหน้าลั่วหรง เมื่อเห็นร่างอาบโลหิตของท่านอาลั่วหรง ลั่วชิงยวนก็ให้รู้สึกปวดใจและบังเกิดโทสะ นางกำหมัดแน่น สายตาค
สวีซงหย่วนกัดฟันแน่น ราวกับว่าเขาไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใด “ให้ข้าเดาเถอะ เป็นลั่วเยวี่ยอิงใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนค่อย ๆ โน้มตัวมาข้างหน้า น้ำเสียงของนางฟังดูเยียบเย็น สวีซงหย่วนโต้ตอบด้วยท่าทีแค้นเคือง “หากเจ้าอยากฆ่าก็ฆ่าเลยสิ! เลิกเอ่ยวาจาเลื่อนเปื้อนสักที!” “ดูเหมือนจะมิใช่นะ” ลั่วชิงยวนออกแรงมือเพียงเล็กน้อย ก็หักนิ้วข้อเล็ก ๆ ของอีกฝ่ายได้แล้ว “อ๊าก…" สวีซงหย่วนเจ็บปวดเสียจนเหงื่อกาฬชุ่มโชก “ลั่วไห่ผิงเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนแววตาเย็นชา สวีซงหย่วนยังคงกัดฟันมิยอมตอบ “ดูเหมือนจะมิใช่เช่นกัน” ลั่วชิงยวนใช้ดาบจู่โจมลงมาอีกครั้ง ข้อนิ้วก็ขาดกระเด็นไปอีกข้อหนึ่ง โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนชายกระโปรงของนาง ลั่วอวิ๋นสี่ที่เฝ้ามองดูจากด้านข้างก็ตะลึงงันไปเสียแล้ว ช่างเป็นวิธีการอันโหดเหี้ยมนัก ฝูเสวี่ยผู้นี้หน้ามิเปลี่ยนสีเสียด้วยซ้ำไป นางเป็นผู้ใดกันแน่? นางทนดูภาพเช่นนั้นมิไหวแล้ว แต่เมื่อนางได้ยินเสียงแผดร้องของสวีซงหย่วน นางก็อดมิได้ที่จะรู้สึกเบิกบานใจ ลั่วอวิ๋นสี่กุมดาบเอาไว้แน่นพร้อมน้ำตาอาบหน้า สายตาของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและชิงชัง “เช่นนั้น… ก็เป็นตระกูลฝ
ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้ามาสุดกำลังโดยหาได้ใส่ใจสิ่งใดไม่ เพียงแค่หมายจะผลักฟู่เฉินหวนออกไป แต่ทันทีที่นางวิ่งเข้ามา จู่ ๆ มือสังหารที่มีรอยสักรูปนกอินทรีก็หันกลับมาใช้มีดสั้นคมกริบหมายแทงใส่หน้าท้องของลั่วชิงยวน มือสังหารสวมหมวกเพื่ออำพรางใบหน้า ทว่าสายตาอำมหิตและกระหายเลือดของอีกฝ่ายก็ชวนให้ลั่วชิงยวนกระดูกสันหลังเย็นวาบ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง นางแลเห็นวิญญาณที่มีแค้นหนักหน่วงอยู่บนแผ่นหลังและหัวไหล่ของมือสังหาร พวกมันเต็มไปด้วยความแค้นใจ แต่กลับถูกพลังชั่วร้ายทั่วทั้งร่างขับไล่ออกไปจนวิญญาณร้ายมิอาจรบกวนได้ ลั่วชิงยวนมิเคยเห็นผู้ใดที่มีพลังชั่วร้ายแกร่งกล้าถึงเพียงนั้นมาก่อน ยามที่นางเห็นสายตาของคนผู้นั้น นางจึงรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่คืบคลานเข้าสู่จิตใจ ทันทีที่มีดสั้นพุ่งเข้าหานาง ก็ช่างรวดเร็วเสียจนลั่วชิงยวนมิอาจหลบเลี่ยงได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่พยายามมิให้ทำร้ายจุดสำคัญของตนอย่างสุดกำลัง แต่ขณะที่นางหลบหลีก กลับมิได้ถูกมีดสั้นแทงอย่างที่คาดคิดเอาไว้ เมื่อนางลืมตาขึ้นก็เห็นมือที่กำลังกำคมมีดสั้นเอาไว้แน่นเพื่อสกัดขัดขวางฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ มือของเขาชุ่มโลหิตเสียแล้ว ลั่ว
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยวาจา เซียวซูก็พรวดพราดเข้ามาทันที “ท่านอ๋อง บาดแผลของพระองค์...” ฟู่เฉินหวนถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนอยู่ที่ใดเล่า? เจ้าจับตัวได้หรือไม่?” เซียวซูก้มหน้า “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” “คนผู้นี้วิ่งเข้าไปในตลาดอันยุ่งวุ่นวาย มีผู้คนมากมายเหลือเกินจึงมิอาจจับตัวได้พ่ะย่ะค่ะ!” ฟู่เฉินหวนสายตาเย็นชาเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า “มันคงเป็นมือสังหารของสำนักเทียนอิงที่พวกเรากำลังตามหาอยู่” เขาเห็นรอยสักบนหลังมือของมือสังหาร เซียวซูรู้สึกตื่นตกใจ “เช่นนั้นกระหม่อมจะส่งกำลังคนออกตามหามันอีก! หากคราวนี้มันหลบหนีไปได้ คราวหน้าก็คงมิเจอตัวแล้ว!” ลั่วชิงยวนครุ่นคิด คราวหน้าพวกเขาคงได้แต่ไปตามหามือสังหารของสำนักเทียนอิงที่จวนตระกูลฝูแล้ว วันนั้นนางพบมือสังหารของสำนักเทียนอิงที่จวนตระกูลฝู นางควรจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟู่เฉินหวนฟังหรือไม่? “ที่จริงแล้ว...” ก่อนที่นางจะทันได้พูดให้จบประโยค ลั่วอวิ๋นสี่ก็พลันเดินเข้ามา “ฝูเสวี่ย ข้ามีเรื่องขอถามเจ้า” ลั่วอวิ๋นสี่ยังคงดวงตาบวมแดง แต่ยามนี้แววตาของนางกลับเฉียบคมเป็นพิเศษ แม้น้ำเสียงจะแหบแห่งยิ่งกว่าเดิมก็ตามที ฟู่เฉิน
บนพื้นมีศพถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คนของทางการยังคงหามศพแล้ววางลงไปทีละศพ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนรับใช้ของจวนมหาราชครู เมื่อลั่วอวิ๋นสี่เดินออกมาเห็นภาพนี้เข้า นางก็พลันยกมือปิดปากพลางพิงกับกรอบประตูแล้วทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง น้ำตาไหลอาบหน้าด้วยความเศร้าโศก นักการในศาลาว่าการรายงานต่อใต้เท้าเหอ หลังจากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ใต้เท้าเหอก็เดินเข้ามาบอกพวกนางทั้งสองคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มิพบผู้รอดชีวิตในจวนมหาราชครู” แม้แต่ลั่วหรงก็ถูกสังหาร เรียกได้ว่าเป็นการสังหารล้างตระกูลก็ว่าได้ “ศพที่อยู่ข้างนอกเป็นศพของมือสังหารใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “เจ้าค่ะ” “ทุกคนในจวนมหาราชครูล้วนตายตกด้วยน้ำมือของมัน” เมื่อใต้เท้าเหอได้ยินเช่นนี้ สายตาของเขาก็ทอดมองลั่วอวิ๋นสี่ที่อยู่ข้างกายนาง “วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นในจวนมหาราชครูกันแน่? แม่นางลั่ว เจ้าตามข้าไปที่ศาลาว่าการแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังได้หรือไม่?” อย่างไรเสียจวนมหาราชครูก็เกือบที่จะถูกสังหารล้างตระกูล เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้นขึ้นในเมืองหลวง หากเขามิทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็คงมิสาม
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน