ชีหยวนชำเลืองมองเขาอย่างเฉยชา ก่อนยกมุมปากขึ้นเอ่ย: “ข้าน้อยพูดผิดไปหรือท่านอ๋อง? ก่อนหน้านี้ท่านเห็นข้าน้อยสังหารอ๋องเฉิงแล้ว การตอบสนองแรกสุดของท่านก็คือบอกกับข้าน้อยว่า ท่านเตรียมหนทางรับมือเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันทั้งชาตินี้และในชาติก่อน ชีหยวนพอจะเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของเซียวอวิ๋นถิงอยู่บ้าง นางเอียงศีรษะถาม: “วิธีของท่านอ๋อง ก็คงไม่ต่างจากสิ่งที่ข้าคิดไว้เท่าใดนัก?” มิเช่นนั้นจะตอบสนองได้รวดเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร คุณชายรองหลิ่วก็กำลังดื่มสุราอยู่ดี ๆ ที่เรือนหน้า มีหรือจะบังเอิญถูกเซียวอวิ๋นถิงหลอกพาตัวมาได้ในจังหวะเวลาที่ประจวบเหมาะเช่นนั้น แต่จะมาเถียงเรื่องเหล่านี้ในตอนนี้ไป ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ครู่เดียวนางก็เปลี่ยนประเด็นสนทนาทันใด: “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่ข้าสังหารอ๋องเฉิง ยังมีคนของอ๋องฉีและสกุลหลิ่วซ่อนตัวอยู่ในสวน!” แม้นางจะไม่ทราบว่าเหตุผลใดบุคคลผู้นั้นถึงไม่ได้โต้ตอบอะไรออกมาในตอนนั้น และมิได้ออกมาขัดขวางนางตอนสังหารอีกคน ทว่าบุคคลผู้นั้นก็หนีไปแล้ว ถึงอย่างไรก็นับเป็นอันตรายที่แฝงเร้นไว้อยู่ดี เซียวอวิ๋นถิงเปล
แต่ใครเล่าจะทราบท่านอ๋องกลับไม่มีท่าทีตอบสนองแม้เพียงสักนิด แบบนี้ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก! คนหากได้รับแรงกระทบกระเทือน แม้จะคลุ้มคลั่งเสียสติไปก็ยังบ่งบอกได้ว่าสมองของเขายังคงรู้สึกตัวดีอยู่ ทว่าบัดนี้… ครั้นประตูปิดลง ชีจิ่นพลันสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหนัก ก่อนจะโขกศีรษะต่ออ๋องฉีอย่างสุดแรง: “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีความผิด หม่อมฉันมีความผิดเพคะ!” สภาพจิตใจของอ๋องฉีบัดนี้ย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด ลำพังแค่ขาของเขาจนถึงตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวหายดี ก็น่าหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าหลังกลับมาจะยังคงพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่แบบนี้! ผิดกับชีหยวนนางหญิงแพศยาคนนั้น กลับได้ทุกสิ่งที่นางต้องการไปหมดแล้ว ทั้งปกป้องสกุลเซี่ยไว้ได้ และยังปลิดชีพหลิ่วจิงหงไป มิหนำซ้ำยังทำลายองครักษ์ลับที่เขาเพียรสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากไปด้วยอีก บัดนี้แม้แต่อ๋องเฉิงและคุณชายรองหลิ่วก็ยังถูกนางฆ่าตายจนหมดสิ้น! มีสิทธิ์อะไร? นางก็เป็นแค่อิสตรีคนหนึ่งก็เท่านั้น! สตรีคืออะไร? คือของขาดทุนมาแต่กำเนิด แค่เกิดมาก็อยู่ต่ำกว่าบุรุษเพศอยู่หนึ่งขั้นแล้ว พ
เสี้ยวพริบตาเดียวนั้น ขนทั่วทั้งร่างของชีจิ่นพลันลุกชันขึ้นมา นางย่อมรู้ดีหากตนเองถูกลากออกไปจากห้องนี้ นั่นหมายถึงต้องตายอย่างแน่นอน ทว่านางไม่อยากตาย ตอนแรกชีเจิ้นสั่งให้นางหวังสังหารนาง นางไม่อยาก บัดนี้นางยิ่งไม่อยาก หลังจากได้สัมผัสวิถีชีวิตของชีหยวนด้วยตนเองแล้ว นางยิ่งไม่อยากตาย มีสิทธิ์อะไรกัน?! ทั้งที่นางได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาดีกว่าชีหยวน ได้รับสิ่งต่าง ๆ ที่มากกว่าชีหยวนเป็นเท่าตัวมาตลอด ในเมื่อชีหยวนสามารถมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ได้ นางก็ต้องมีได้เหมือนกัน! นางก็แค่ยังมีจิตใจโหดเหี้ยมไม่พอ ขอเพียงแค่มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตมากพอ ไร้ยางอายมากพอ และกล้าได้กล้าเสียมากพอ นางก็จะมีชีวิตที่ดียิ่งกว่านี้ได้แล้ว! ความรู้สึกอยากเอาชนะและความหวาดกลัวอันมหาศาลนี้ ได้ปลุกความมุ่งมาดปรารถนาอยากมีชีวิตรอดที่แข็งแกร่งที่สุดของนางออกมา นางเบิกตากว้างจ้องมองอ๋องฉีอย่างไม่วางตา: “ท่านอ๋อง สกุลชี! ไม่มีผู้ใดเข้าใจสกุลชีไปมากกว่าหม่อมฉันแล้วเพคะ! หม่อมฉันแค่ยังเข้มแข็งไม่พอ ทว่าหม่อมฉันสามารถยืมแรงผู้อื่นสังหารอีกฝ่ายได้แน่ ในสกุลชีหม่อมฉันมีมีดเล่มหนึ่งน่าใช้งานที่สุด!” ค่อยน
หลายครั้งเหลือเกินที่นางลืมไปแล้วว่าตนเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ ครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งละเลียดน้ำชาอยู่ในเรือนแบบนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องของชาติที่แล้วอย่างไรอย่างนั้น นางค่อย ๆ หลับตาลง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา: “จวนจะถึงวันปีใหม่แล้วสินะ” สาวใช้ข้างกายหัวเราะออกมา พลางก้าวขึ้นมาและรินน้ำชาให้นาง “ใช่แล้วเจ้าค่ะคุณหนู จวนจะถึงวันปีใหม่แล้ว แต่ละบ้านแต่ละครอบครัวต่างก็เริ่มแขวนโคมไฟ ทำความสะอาดสิ่งของกันแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูดูสิเจ้าคะหลายวันมานี้ บนหน้าต่างตามท้องถนนมีกุนเชียงกับเนื้อตากแห้งแขวนเอาไว้ทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” ชีจิ่นลูบถ้วยน้ำชา ผ่านไปเนิ่นนาน ถึงจะเปล่งเสียงรับคำออกมา นางไม่มีครอบครัวให้ฉลองวันปีใหม่ร่วมกันอีกแล้ว แต่ก็ช่างปะไร อีกไม่นานชีหยวนก็จะไม่มีเหมือนกัน สกุลชีเองก็จะไม่มีอีกแล้วเช่นกัน นางจะทำให้คนเหล่านี้ที่เคยทอดทิ้งนางคุกเข่าลง คุกเข่าลงต่อหน้านางอ้อนวอนร้องขอให้นางยอมให้อภัย หลังจากดื่มน้ำชาคำสุดท้าย นางก็เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า: “จงไปเก็บข้าวของ และทำตามที่ข้าสั่ง ปล่อยข่าวลือออกไปล่วงหน้า” สาวใช้ขานรับคำสั่งทันที ขณะเดียวกัน สกุลชีทั้งนา
อันที่จริงตอนแรกโหวผู้เฒ่าชีก็มิได้ชอบสุนัขตัวนี้มากนัก และมันก็มิใช่สายพันธุ์เลอค่าอะไร หากจะพูดถึงความงดงามแล้วยังเทียบกับสุนัขสิงโตสีขาวปลอดที่ฮูหยินผู้เฒ่าเลี้ยงไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป ทว่าทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น ใครขอให้เจ้าสุนัขตัวนี้เป็นสุนัขของชีหยวนกัน ในเมื่อชีหยวนสามารถเดินอย่างผึ่งผายอยู่ในจวนโหวแห่งนี้ได้ ก็เป็นธรรมดาที่สุนัขของนางจะไม่เหมือนสุนัขตัวอื่นในจวน หลังจากโหวผู้เฒ่ากลับไปก็กำชับห้องครัวว่า อาหารของเจ้าสุนัขตัวนี้จะต้องเหมือนกับสุนัขสิงโตของฮูหยินผู้เฒ่า หรืออาจจะต้องดีกว่าด้วย! ไม่เพียงเท่านั้น ยังสั่งให้คนไปหาบ่าวรับใช้ส่งไปช่วยชีหยวนเลี้ยงสุนัขตัวนั้นโดยเฉพาะ การกระทำที่ยิ่งใหญ่เกินหน้าเกินตาของเขา ทำให้นางหวังอดถามด้วยความสงสัยออกมาไม่ได้: “เจ้าว่าอย่างไรนะ? จะสร้างเรือนให้ผู้ใดหรือ?” แม่นมสวีแสดงสีหน้าท่าทางใหญ่โตเป็นที่สุด น้ำเสียงยังเจือด้วยความริษยา: “จะใครเสียอีกเจ้าคะฮูหยิน? บัดนี้ในจวนของเรา ทั้งนายบ่าวรวมกัน ใครที่ไหนเล่าจะได้รับความรักความเอ็นดูมากไปกว่าคุณหนูใหญ่?” พูดถึงชีหยวน สีหน้าของนางหวังก็ดูปรวนแปรจนมิอาจคาดเดา ถูกต้องแล้ว ในจวนยามน
นางหวังเป็นเช่นนี้ แม่นมสวีเองก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ไม่ต่างกัน เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้นางรู้สึกไม่ถูกชะตากับชีหยวนก็คือการที่ชีหยวนไม่ให้ความเคารพต่อชีอวิ๋นถิง ทั้งที่คนป่วยคือนางหวัง ทว่าเมื่อสองคนยืนอยู่ด้วยกันแล้ว คนที่ดูป่วยหนักกว่าเหมือนจะเป็นชีอวิ๋นถิงเสียมากกว่า เขาซูบผอมลงไปมาก ดวงตาลึกโหล ดูซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงอย่างถึงที่สุด อย่าว่าแต่แม่นมสวีที่รู้สึกทุกข์ใจเลย ยิ่งนางหวังยิ่งเจ็บปวดหัวใจจนน้ำตาไหลพรากออกมา: “ไฉนเจ้าจึงทรมานตนเองจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?” ชีอวิ๋นถิงเม้มปาก ไม่อยากพูดอะไรกับนางหวังมากนัก เพียงแต่ยื่นมือออกไปและเอ่ยกับนางว่า: “ท่านแม่ ขอเงินหน่อย” นับแต่เกิดเรื่องเผาศาลบรรพบุรุษ เขาก็กลายเป็นสวะไร้ค่าของสกุลนี้ไป ไม่เพียงชีเจิ้นจะไม่เห็นเขาในสายตา แม้แต่พวกบ่าวรับใช้ก็เริ่มไม่แยแสเขาแล้ว หากเขาจะไปเอาเงินจากห้องบัญชี โดยที่เกินจากจำนวนที่กำหนดไว้ ไม่ว่าอย่างไรคนในห้องนั้นต้องไม่มีทางยอมมอบเงินให้เขาเด็ดขาด ได้ยินเขาเอ่ยปากขอเงิน นางหวังก็ซับน้ำตาพลางเอ่ยว่า: “ต้องการเท่าใดหรือ?” บุตรชายลำบากเกินไปแล้วจริง ๆ นางหวังส่งสายตาให้แม่นมสวี แม่
ชีอวิ๋นถิงรู้สึกว่าหัวใจเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกจากอกเขาเสาะหานางมาหลายเดือนแล้วนับแต่ชีจิ่นหายตัวไป เขาก็พลอยกินไม่ได้นอนไม่หลับ อยู่ไปวัน ๆ อย่างเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดทว่านานเพียงนี้แล้วกลับไร้ซึ่งข่าวคราว!ทุกครั้งที่ครุ่นคิดว่าอาจิ่นระหกระเหินอยู่ภายนอก ไม่รู้ว่าต้องทนตรากตรำเพียงใด เขาก็อยากจะบุกไปยังหอหมิงเยว่ แล้วปลิดชีพชีหยวนเสียแต่สตรีบ้าผู้นั้นกลับเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก เขาไม่อาจต่อกรกับนางได้เลย!โชคดีที่สวรรค์มีตาในที่สุดก็เมตตาให้เขาได้ล่วงรู้ที่อยู่ของอาจิ่นอาจิ่นเป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอม อาหารการกินพิถีพิถัน แพรพรรณที่สวมใส่ก็เป็นของชั้นเลิศหลายเดือนที่อยู่ภายนอก เห็นทีจะลำบากไม่น้อย คงกินไม่ดี อยู่ไม่สบาย ต้องทนรับความลำบากเขาต้องชดเชยให้นางอย่างดีชีอวิ๋นถิงแลกเงินมาแล้ว ก้าวถัดไปคือไปยังร้านแพรพรรณที่ดีที่สุดในเมือง ซื้อผ้าไหมเฟิ่งหวงมาหลายพับ ล้วนแต่เป็นสีที่ชีจิ่นโปรดปรานจากนั้นก็ไปที่หอเจินเป่าเพื่อซื้อเครื่องประดับและอัญมณีมามากมายใช้เงินไปหมดแล้ว เงินสองพันตำลึงไม่เหลือแม้แต่อีแปะเดียว เงินส่วนตัวของเขากว่าห้าร้อยตำล
นางจึงถือโอกาสไปดูเรือนพักนอกเมืองด้วยตนเองชิงเถาและหลีฮวาอยู่ที่นั่นแม้ว่านางจะบอกว่าเรือนพักนอกเมืองนี้ใช้สำหรับให้พวกนางอยู่ แต่หากไม่ไปดูด้วยตนเอง นางก็ยังไม่วางใจเมื่อเห็นนาง ชิงเถาและหลีฮวาก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกโดยเฉพาะหลีฮวา จับข้อมือชีหยวนไว้ ดวงตาก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา “ฮือ ๆ คุณหนู ข้าคิดว่าคุณหนูไม่ต้องการข้าแล้วเสียอีก!”เด็กน้อยจริง ๆชีหยวนอดขำไม่ได้ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว “จะเป็นไปได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ข้าแค่ติดธุระจึงไม่มีเวลามา ตอนนี้พอมีเวลาว่างแล้วก็รีบมาดูพวกเจ้านี่ไง”กล่าวจบ นางก็ถามต่อ “อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง? มีใครรังแกพวกเจ้าหรือไม่”ชิงเถาและหลีฮวารีบส่ายหน้ามองดูดวงตาของพวกนางที่เป็นประกาย แก้มแดงระเรื่อ ชีหยวนก็รู้ว่าพวกนางปรับตัวอยู่เรือนพักนี้ได้ดี จึงยิ้มออกมาแล้วถามอีกว่าปกติพวกนางทำอะไรกันบ้างชิงเถาเป็นคนเงียบขรึม ส่วนหลีฮวานั้นร่าเริงกว่า “จริง ๆ แล้วพวกเราไม่ต้องทำอะไรเลยเจ้าค่ะ แม่นมเสิ่นไม่ให้พวกเราทำงานหนัก ที่เรือนนี้ พวกเราแค่ทำความสะอาดเรือนใหญ่ แล้วก็ดูแลดอกไม้ในสวน สบายมากเลยเจ้าค่ะ!”พูดแล้วเงียบไปครู่หน
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ
สวีฮว่านรู้สึกอึดอัดกับแรงกดของกริชเล่มนั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจหรือไม่ เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ารอยแผลที่ชีหยวนกรีดไปนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สิ่งนี้ทำให้เขาหวาดกลัวถึงขีดสุดจริง ๆ คนย่อมมีจุดอ่อน ชื่อเสียงและความรู้สึกหวงแหนชีวิตก็คือจุดอ่อนของสวีฮว่าน เขาเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าช่วยเจ้าได้! ข้าช่วยล้างมลทินให้ตระกูลของเจ้าได้ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมให้ความร่วมมือ ความผิดนี้ ข้าสามารถโยนให้คนอื่นรับไว้ได้!” ใบหน้าของชีหยวนไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าความเยือกเย็นในดวงตากลับยิ่งลุ่มลึกขึ้นมา ปลายกริชที่นางกดเอาไว้บนลำคอของเขาขยับเล็กน้อย เพียงเสี้ยวพริบตาก็สร้างรอยแผลเลือดซิบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอยให้เขาได้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มข้นขึ้น “จะผลักความผิดให้แม่ทัพขุนศึกท่านอื่นที่บัดนี้ยังคงสู้รบในสมรภูมิอย่างซื่อสัตย์ภักดี พร้อมยอมพลีชีพเพื่อชาติได้อย่างนั้นหรือ? หรือคิดจะโยนความผิดให้บรรดาบุตรชายของครอบครัวทหารที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิรบตั้งแต่วัยเพียงสิบสองสิบสามเหล่านั้นกัน พวกเขายังไม่ทันได้เติบโตด้วยซ้ำ ก็ต้องมาตายภายใต้อุบายชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้า”
หากว่ามี เช่นนั้นก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี หากว่าไม่มี เช่นนั้นก็ต้องคิดหาหนทางเลือกเด็กสักคนในตระกูลมาเป็นบุตรบุญธรรมของเขา เพื่อจะได้เป็นทายาทสืบทอดวงศ์ตระกูล ขณะที่กำลังคิดสะระตะ เขาพลันได้ยินเสียงลมหายใจระลอกหนึ่งพัดผ่านข้างใบหู เสียงลมหายใจ! ทว่าในห้องมีเขาอยู่เพียงคนเดียว! เสี้ยวพริบตาเดียวสวีฮว่านพลันรู้สึกเส้นขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว สติหลุดออกจากร่าง และทันใดนั้นก็คิดจะหมุนศีรษะกลับไปโดยสัญชาตญาณ ทว่าจังหวะที่เขากำลังคิดจะผินศีรษะกลับไป กริชเล่มหนึ่งก็ปักลงบนลำคอของเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง หลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ เสียงนี้ชัดเจนว่าเป็นเสียงของดรุณีน้อยงามเพริศพริ้งสดใส เหมือนกับเสียงของบุตรสาวของเขาที่เข้ามาออดอ้อนเขาในยามปกติ ทว่าในเสี้ยวขณะนี้เวลานี้ เขากลับไม่รู้สึกว่าเสียงนั่นกำลังออดอ้อนสักนิด! เพื่อแสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตของตนเองแล้ว เรือนของเขายังต้องเช่าอาศัย และในเมื่อเรือนยังต้องเช่าอาศัย ดังนั้นในเรือนย่อมไม่สามารถมีบ่าวรับใช้ที่มากเกินไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่สามารถมียามเฝ้าเรือนได้ด้วย ดังนั้นองครักษ์เหล่านั้นของเขา ล้วนแต่ถูกเลี
อาภรณ์ชุดใหม่ในเรือนตัดเย็บเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ปีนี้นับเป็นปีที่หาได้ยากที่เหล่าดรุณีสกุลสวีจะได้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ออกไปเที่ยวชมพระโพธิสัตว์ สกุลสวีทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างปีติยินดี แม้แต่ฮูหยินสวีก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ชุดใหม่ทั้งตัว ในปีนี้นางสวมเสื้อนวมสองชั้นที่ทำจากผ้าไหมฝูกวงซึ่งเป็นแบบที่ทันสมัยที่สุด ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมขนนกยูง มองแล้วดูหรูหราเจิดจ้าจับตา เดิมทีนางรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ก่อนออกจากเรือนยังถึงขั้นถามสวีฮว่านขึ้นมาเป็นพิเศษว่า “วันนี้เป็นวันที่สาม ต้องขึ้นเขาไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ จุดธูปทอนน้ำมัน ทว่าก็มีบรรดาสตรีผู้มีหน้ามีตาในเมืองหลวงไปที่นั่นด้วยเช่นกัน พวกเราแต่งกายเช่นนี้ เหมาะสมแล้วหรือ?” หลายปีที่ผ่านมานี้ บรรดาสตรีในสกุลสวีได้ชื่อว่ามัธยัสถ์เรียบง่ายมาตลอด แต่กระนั้นก็ไม่มีใครดูถูกดูแคลนพวกนาง ใครต่างก็รู้ว่าในเมืองหลวงสวีฮว่านขึ้นชื่อว่าสุจริตมือสะอาด งานเลี้ยงของคนอื่น งานสังสรรค์สุราของคนอื่น เขาไม่เคยไปร่วมเลยสักครา เพราะไปกินของคนอื่น ย่อมเลี่ยงไม่ได้ต้องเชิญคนอื่นมากินเลี้ยงตอบแทนกลับในภายหลัง ใต้เท้าสวีเคร่งครัดในความสุจร
“ไม่!” ชีหยวนส่ายหน้า มองเซียวอวิ๋นถิงตรง ๆ พลางถามว่า “ท่านอ๋อง หากต้องให้คนอื่นมาพูดแทนท่านปู่และท่านพ่อของข้าน้อย ตรงกันข้าม ขอให้คนของท่านยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจท่านพ่อและท่านปู่ของข้าน้อยด้วยดีกว่า!” เหล่าจ้าวคิดในใจ นี่เขาไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง? คุณหนูใหญ่สกุลชีเสียสติไปแล้วหรือ?! ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับเข้าใจความหมายของชีหยวนได้ในทันที การลักลอบค้าขายสิ่งของผิดกฎหมายและการสมรู้ร่วมคิดกับข้าศึกขายชาติให้อริศัตรูถือเป็นแผนการอันชั่วช้าเลวร้ายมากเกินไปจริง ๆ เหตุผลที่ผู่อู๋ย่งทำเช่นนี้ ก็เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็สามารถทำให้สกุลชีสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายพระเนตรของฮ่องเต้หย่งชางนับจากนี้ไปตลอดกาล แม้ภายหลังจะหาตัวคนร้ายที่แท้จริงเจอแล้วก็ตาม ทว่าหากว่า หากว่าชีหยวนถูกลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า และคนในราชสำนักล้วนพากันรุมโจมตีสกุลชี หวังทำลายสกุลชีให้สิ้นซากไป ทว่าต่อมากลับได้ค้นพบความลับในภายหลังว่าเงินตำลึงจำนวนมหาศาลถูกซุกซ่อนไว้ในเรือนเช่าของสกุลสวี ไหนจะคนเหล่านั้นที่เซียวอวิ๋นถิงได้ส่งไปที่จี้โจวแล้วด้วย… เช่นนั้นในตอนนี้ยิ่งทำให้เรื่องราวใหญ่โตอื