บทที่ 2 ตระกูลโจว
งานแต่งตระกูลโจวผู้มากด้วยเงินทอง ชื่อเสียง ด้วยฐานะสำนักคุ้มภัยอันเลื่องชื่อ แม้กระทั่งผู้ครองนครแห่งรัฐฉินยังเกรงใจถึงแปดส่วน ย่อมเอิกเกริกและใหญ่โตมากด้วยผู้คน โต๊ะกินเลี้ยง และงานรื่นเริงสามวันสามคืนมิได้หยุดหย่อน
แต่ทว่าเรือนนอนที่จัดไว้ในเหล่ายิ่งตี้เล็กนัก ไป๋หลินเอ๋อร์พลิกตะแคงตัวนอนเบียดเสียดแถวเรียงหนึ่งบนพื้นกระดานในห้องโถงกลาง มีเพียงฟูกนอนไร้ผ้าห่ม ซ้ำอากาศยามนี้ล่วงเข้าปลายหน้าฝนนำพาลมเย็นยะเยือก
นางไม่อาจหลับได้ลงจริง ๆ จะพลิกนอนหงายยังไม่ได้ จึงพยุงกายขึ้นนั่ง “เฮ้อ...”
“พี่หลินเอ๋อร์” เสียงเล็กกระซิบเรียกแล้วเอนกายขึ้นจากพื้นเรือนเช่นเดียวกัน
“ยังไม่หลับอีกหรือจางอวี้”
“เจ้าค่ะ ร้อนเกินไป”
จริงดั่งที่จางอวี้ว่า แม้ว่าภายนอกฝนลงเม็ดพรำและเย็นยะเยือกแต่ภายในเรือนเล็กกลับอับชื้นจนเหนียวตัว
“ถ้าเช่นนั้น ออกไปเดินเล่นดีหรือไม่ พี่ไม่ไหวแล้ว” ไป๋หลินเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนทันที “ออกไปเดินเล่นฟังมโหรสพหรือดูโคมไฟยังดีกว่านอนแออัดราวหมูในคอก”
“คิก คิก พี่หลินเอ๋อร์เข้าใจพูดเปรียบเทียบ เจ้าค่ะ ไปก็ไป”
ร่างเล็กกว่าของจางอวี้วิ่งตามร่างสูงระหงอวบอิ่มของไป๋หลินเอ๋อร์ที่อายุเกินออกเรือนนานอย่างวัยสิบเก้าปีเกือบไม่ทัน พวกนางเร่งฝีเท้าหลบเม็ดฝนยังชายหลังคาเรือนกลาง
“พี่ว่าเราไปลอบดูส่งตัวเข้าหอ ดีหรือไม่”
“น้องเห็นด้วย น่าสนุกดี”
ดวงหน้างดงามผิดไปจากสาวชาวบ้านลอบยกยิ้ม นางจะใช้โอกาสนี้สำรวจจวนโจวเสียหน่อย ยิ่งวันงานมงคล คนมากมายย่อมคลายความระมัดระวังตัว
“พี่หลิ่นเอ๋อร์” จางอวี้เรียกเสียงเบา ขณะเดินบนระเบียงไม้ใต้ชายคาจวนหลัก คนมากจนไม่มีใครสังเกตว่าเป็นผู้ใดบ้าง “เสียงเล่าลือกันว่าเจ้าของหอท่านโจวหมิงเจ๋ออายุเพียงสี่สิบปี แต่งฮูหยินยามอายุน้อย”
“อืม ก็ปกติ เด็กหนุ่มแถวบ้านบางคนไม่ทันยี่สิบต้องรีบแต่งงานเพื่อมีลูกไว้ช่วยงานในไร่” ไป๋หลินเอ๋อร์มิใคร่ใส่ใจ เสียงของจางอวี้ยังเจื้อยแจ้วไปเรื่อยเรื่องในจวน นางกวาดดวงตาลอบสังเกตจวนแห่งนี้แทบทุกตารางนิ้ว
จวนหลักนับว่าเป็นจวนใหญ่มากทีเดียว ไม่นับรวมหอด้านหน้าเก้าชั้น แบ่งซอยเรือนเล็กลดหลั่นลงไปเป็นหลัง ๆ จนนางหวั่นใจ ทั้งรอบรั้วอาณาเขตกว้างใหญ่ล้วนเต็มไปด้วยป่าไผ่ ต้นอู่ถ๋ง สวนดอกไม้ และท้ายจวนมีทะเลสาบสำหรับไว้ใช้ดื่มกิน
“พี่หลินเอ๋อร์ ท่านได้ฟังข้าอยู่หรือไม่”
“ฟัง”
“ข้าพูดถึงเรื่องฮูหยินคนเก่าถูกสังหาร ว่ากันว่าท่านแม่ทัพเป็นคนลงมือเชือดคอด้วยตนเอง” จางอวี้เสียงสั่นเล็กน้อยด้วยความกลัว แต่เพราะนางเป็นคนปากมาก จึงยังคงพร่ำพูดต่อ
“คนปากมากสอดเสียดไปทั่ว เจ้าอย่าได้เอามาใส่ใจแล้วพ่นออกจนบิดเบี้ยวอวี้เจียง”
อวี้เจียงคว้ามือไป๋หลินเอ๋อร์ให้หยุดก่อนทันที กระชากจนนางที่ร่างสูงกว่าโน้มลง “พี่หลินเอ๋อร์ มันเรื่องจริง”
ไป๋หลินเอ๋อร์สะบัดมือทิ้งเดินนำหน้า
“หากเจ้ายังมัวแต่ฟังชาวบ้านนินทาว่าร้ายตระกูลโจว เจ้าจะใช้ชีวิตเป็นยิ่งตี้ที่จวนแห่งนี้ได้อย่างไร” นางเอ่ยไปเดินไปคอยหลบเลี่ยงไม่ให้เป็นที่สะดุดตามากนัก
“แต่ทว่า ข้ากลับคิดตรงข้าม เราควรรู้เรื่องที่แห่งนี้ให้มากที่สุดนะพี่หลินเอ๋อร์ เพิ่มความระมัดระวังตัวมิใช่สิ่งผิด หากจะผิดคือดุ่มเดาอย่างคนตาบอด”
ไป๋หลินเอ๋อร์นิ่งอึ้ง หยุดฝีเท้าจ้องหน้าเล็กหวาน “ไม่คิดว่าเจ้าจะพอมีสมอง จริงของเจ้า แต่ตอนนี้เราถึงส่วนหน้าจวนหลักแล้ว ข้าได้ยินเสียงดนตรี หลบไปทางนี้ดีกว่า”
สองสาวยิ่งตี้สินสอดที่เจ้าสาวนำมาให้เจ้าบ่าว พาร่างอ้อนแอ้นเดินลงพื้นหญ้าเลาะกระทั่งมองเห็นห้องหอประดับโคมไฟมากมายสีแดงสว่างโชติช่วง
“พี่หลินเอ๋อร์ ข้าว่าห้องนี้”
“พี่ก็คิดเช่นเดียวกัน”
ไม่ทันได้เดินไปใกล้พลันเกิดเสียงดังมากผู้คนห้อมล้อมเจ้าบ่าวเป็นขบวน ทั้งหยอกล้อด้วยคำพูดลามก ทำให้พวกนางตื่นตกใจเหลียวมองหาที่ซ่อนกระทั่งพบซอกเล็กใต้ถุนจวน
ไป๋หลินเอ๋อร์ไม่รอช้าคว้ามือจางอวี้ฉุดกระชากดันจนร่างเล็กของนางทั้งสองมุดเข้าไปใต้ถุนเรือนทันการ เงยศีรษะมองผ่านร่องไม้เห็นเงาคนเดินผ่านไปมากมายแล้วเลี้ยวหยุดยืนหน้าห้องหอ
“พี่หลินเอ๋อร์ นั่นเจ้าบ่าว โจวจางหมิ่น” จางอวี้ชี้ชวนดูทั้งที่ไม่จำเป็นเพราะเจ้าบ่าวอย่างไรเสียย่อมสวมชุดสีแดงผิดแผกกว่าบุรุษอื่น
เพียงเห็นระยะไกลยังมองออกว่าโจวจางหมิ่นเป็นบุรุษงดงามคมสัน อกแกร่งเหยียดตึงผายออกแม้ไม่ได้ใหญ่โตเช่นคนทำเรือกสวนไร่นา แต่ทว่าหนั่นแน่น สูงเกร็ง สง่างามยิ่ง
บทที่ 29 บทพิเศษยามเหม่าในทุกวัน โจวหมิงเจ๋อมักลุกขึ้นเพื่อลงไปฝึกยุทธิ์กับคนของสำนักคุ้มภัยด้วยตนเองไป๋หลินเอ๋อร์พลิกกายโอบลำแขนอ่อนนุ่มรัดเขาไว้เอ่ยเสียงเบา“ท่านพี่ ยามเหม่าแล้ว”โจวหมิงเจ๋อตวัดรัดท่อนแขนให้ร่างเล็กบอบบางเกยขึ้นมานอนบนแผ่นอก ลูบฝ่ามือร้อนลงแผ่นหลังเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์“เนื้อเจ้านุ่มมือ” ฝ่ามือใหญ่กางออกลูบแผ่นหลังรั้งนางให้ถดขึ้นกระทั่งริมฝีปากจดกันขยับแผ่วเบา“ป่านนี้เด็ก ๆ คงตื่นกันหมดแล้ว”“แล้วอย่างไร ตื่นแล้วก็ให้ยืนรอหน้าห้องไปก่อน”“ท่านพี่”“ยามเช้าเช่นนี้ ควรอยู่กันแต่ในผ้าห่มดีหรือไม่ กกกอดก่ายรัดร่าง”“ฮะ ฮ่า ท่านพี่ หลินเอ๋อร์ลูกสามแล้วเจ้าค่ะ ไม่อยากท้องอีก”“ถ้าเช่นนั้น พี่จะไม่หลั่งน้ำพิสุทธิ์ข้างในเจ้า เช่นนี้หลินเอ๋อร์ยินยอมหรือไม่”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปากดันร่างตนเองออกแต่ถูกรั้งลงใต้ร่างทันควัน จับนางพลิกคว่ำ จูบขบลงฟันบนแผลเป็นรูปเสือ“คำกล่าวนี้ ท่านพี่บอกข้าเป็นพันครั้ง จนข้าขี้เกียจจดจำจะใส่ใจ”“ฮึ ในเมื่อหลินเอ๋อร์ไม่ใส่ใจ เช่นนั้นพี่จะถือว่าเจ้าอนุญาต” โจวหมิงเจ๋ออมยิ้มขณะพรมจูบไต่ลงแผ่นหลังนวลเนียน มือก่อกวนวนเวียนไม่ห่างทั้งลูบคลำ ทั้งล้
บทที่ 28 ความลับไป๋หลินเอ๋อร์ดีดตัวออกจากโจวจางหมิ่นทันทีแล้วโผเข้าหาบุรุษตรงหน้า ให้เขาโอบรัดนางไว้ด้วยลำแขนแข็งแกร่ง ซบดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำลงอกกระเพื่อมไหวจากแรงสูดลมหายใจไร้เสียงร้องใด ๆ จากโจวจางหมิ่น คมลูกธนูปักลงหัวไหล่ขวาที่รัดลำคอนางไว้ สีหน้าโจวจางหมิ่นปวดร้าว มองโจวหมิงเจ๋อด้วยดวงตากล่าวหา มาดร้าย และคล้ายไม่ต้องการเชื่อในที่โจวหมิ่งเจ๋อทำลงไปนางโอบร่างแกร่งไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าไปใกล้โจวจางหมิ่น“จางหมิ่น...” น้ำเสียงระห้อยโหยแรงเอ่ยชื่อในลำคอ ดวงตาแสบร้อนแดงก่ำ แต่ไร้น้ำตา เขามองร่างสูงเกร็งคล้ายเขาถอยหลังไปอีกสองก้าวในยามนี้โจวจางหมิ่นสีหน้าสงบลงแล้วราวกับว่ายอมรับบางอย่าง ริมฝีปากบิดโค้งคล้ายรอยยิ้มก่อนจะทิ้งร่างลงเหวลึกด้วยป่ารกทึบด้านล่าง“จางหมิ่น จางหมิ่น!!! จางหมิ่นนน”บุรุษแกร่งเช่นโจวหมิงเจ๋อ ชั่วชีวิตกระทำการทารุณคน สังหาร มองเลือดและความตายด้วยความเยือกเย็นไร้ความรู้สึก แต่มาบัดนี้โจวจางหมิ่นที่เขาอุ้มชูเลี้ยงมากับมือทิ้งร่างอัตวิบากกรรมต่อหน้าเขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงคุกเข่าเท้าฝ่ามือลงพื้นท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นสีส้มแดงในต้นฤดูหนาว“
บทที่ 27 โจวจางหมิ่น“เข้าใจผิด!! ข้าไม่ได้มีเรื่องอะไรบาดหมางกับเจ้า ยิ่งตี้หรือฮูหยินท่านเจ้าสำนัก” โจวจางหมิ่นเดินเข้าใกล้โน้มหน้าลงต่ำ กระชากผมจนดวงหน้าของนางแหงนขึ้น“เจ้าไม่มีสิ่งใดผิด ผิดแค่ว่าเจ้ามาอยู่ผิดที่ผิดทาง ท่านพ่อต่างหากที่ข้าต้องการให้เขาทุกข์ทรมาน และข้ารู้ว่าท่านพ่อรักเจ้า”“โจวหมิงเจ๋อไม่ได้รักข้า ท่านเข้าใจผิด”“เจ้าไม่รู้จักนิสัยของพ่อข้าดี ท่านพ่อเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ อวี้เจียวจงรักภักดีรับใช้มาเนิ่นนาน เขายังยกให้เฉียนฟานโดยง่ายดาย แต่กับเจ้า..”มือนุ่มดั่งหญิงสาวเชยปลายคางนางขึ้นแล้วบีบ“พบเพียงไม่กี่หนกับยกย่องร่วมชีวิต สัญญาผูกพันนิจนิรันดร์ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ามีดีอะไร หน้าตาไม่ได้สะสวย ทั้งรูปร่างไม่ได้เสี้ยวหญิงงามเมือง แต่เอาเถิด อย่างไรเสียเจ้าต้องตาย”โจวจางหมิ่นกดริมฝีปากนางล้วงนิ้วเข้า แล้วเผยอปากตัวเองคล้ายแสยะยิ้ม “ให้เขาได้ทุกข์ทนเช่นแม่ข้า ลุกขึ้น บอกลาชีวิตของเจ้าได้แล้ว”แรงบุรุษกระชากดึงนางขึ้นจากพื้น สาบเสื้อหลุดรุ่ยจนพ้นเนินทรวงหนึ่งข้าง โจวจางหมิ่นหลุบตามองก่อนใช้มือบีบขยำลงแรง“ทว่า เจ้าเองก็น่าลิ้มลอง บางคราวข้าก็เคยคิดว่าถ้าได้ร่วมเ
บทที่ 26 โจวจางหมิ่นยามเว่ยในช่วงต้นฤดูหนาวชานเมืองหลวงของสำนักคุ้มกันภัยเสวี่ยจง ที่โอบล้อมด้วยป่าไผ่ ยิ่งพาให้อากาศเย็นขึ้นอีกหลายเท่าตัวไป๋หลินเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมตัวยาวที่ชางซิงเยียนกำชับเป็นหนักหนาให้นางสวมมาด้วย แม้ว่านางบอกแล้วว่ามาแค่เรือนหลักเท่านั้นนางเดินผ่านสวนกลางเรื่อยจนมาถึงเรือนหลัก ไม่ทันได้เอ่ยแจ้งเด็กในเรือนพลันเห็นโจวจางหมิ่นยืนนิ่งตรงโค้งประตูวงเดือนทางออกสวนด้านหลังทุกคราที่นางพบหน้าโจวจางหมิ่น ขนแขนนางมักลุกชันอย่างน่าประหลาด และยามนี้ก็เช่นกัน นางมองสีหน้ากระหยิ่มและมุมปากโค้งขึ้นละม้ายโจวหมิงเจ๋อ แต่ก็แค่ละม้าย เพราะส่วนใหญ่บนใบหน้าของชายร่างเกร็งคนนี้ไม่เหมือนโจวหมิงเจ๋อแม้แต่น้อยนางขยับเข้าไปใกล้วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นความแตกต่าง โจวหมิงเจ๋อแม้ว่าการกระทำเย็นชารุนแรง ทว่ากลับมีความเมตตาต่อผู้อื่น ผิดไปจากบุตรชายที่แผ่กลิ่นอายโฉดชั่วทวีคูณ ยิ่งเห็นรอยแผลบนร่างฮุ่ยหรู ยิ่งรับรู้ว่าชายผู้นี้กระทำต่อสตรีเพศราวกับเป็นสัตว์สิ่งของ“ท่านแม่”นางมองร่างสูงของโจวจางหมิ่นโค้งลงคำนับนางราวกับว่าเป็นบุตรชายแท้จริงของนาง ทว
บทที่ 25 ฮุ่ยหรูเพียะ เพียะ!!ฮุ่ยหรูล้มคว่ำลงทันทีเมื่อฝ่ามือของโจวจางหมิ่นกระทบใบหน้าเป็นครั้งที่สอง ร่างอ่อนแออย่างหญิงตั้งครรภ์สามเดือนกองบนพื้นน้ำตานองหน้า“ข้าบอกเจ้าให้ทำเช่นไรฮุ่ยหรู”“ฮื้ออ ขะ ข้า ข้ายัง พบ นางไม่ได้”เพล้ง!!โจวจางหมิ่นปัดกระถางกำยานล้มคว่ำเฉียดใบหน้าฮุ่ยหรูจนนางผงะออก ดวงตาหวาดกลัวไหวระริก เหลือบมองสามีที่นางแต่งเข้ามายังตระกูลโจวอันร่ำรวยและมากยศฐา“ยามนี้นางอยู่แต่บนหอ ท่านพ่อไม่ยอมให้นางลงมา อร้าย!! อย่า ข้ากลัวแล้ว”ฮุ่ยหรูยกมือไหว้ประลก ๆ น้ำตาไหลนองจนมองไม่เห็นสีหน้าสามี แต่นางรู้ว่าใบหน้าหล่อราวหยกกำลังบิดเบี้ยวจากแรงโกรธ เขากระชากผมนางดึงขึ้นมาจากพื้นเพียะ!!ใช้หลังฝ่ามือฟาดลงใบหน้าอีกครั้งแล้วผลักนางให้ล้มลงกับพื้น ยกเท้าเหยียบนางไว้“เวลาข้าสั่ง ไม่มีข้ออ้างฝ่าฝืน เข้าใจหรือไม่ภรรยารัก”นางพยักหน้ารับ ดวงหน้าแนบพื้นเย็นเยียบ สะอื้นขึ้นแรงก่อนที่โจวจางหมิ่นจะประคองนางขึ้นมาโอบกอดแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยนผิดไปจากคราแรก“วันพรุ่ง เจ้าจงไปหานาง คุยกับนางให้นางคลายใจ ชักชวนนางดั่งที่ข้าบอกไว้ เข้าใจหรือไม่ฮุ่ยหรู”มือร้อนลูบผมนางประคองนางไปนั่งที่เตียง
บทที่ 24 nc“แผลหายสนิทแล้ว”“หายแค่ภายนอก แต่จิตใจข้าไม่”นางกระชากเสียงใส่ ดึงดันจะลุกขึ้นแต่มือใหญ่รวบนางไว้ให้นั่งลงซ้อนด้านหน้า“ไหน จิตใจเจ้าที่ตรงใดกัน ข้าจะทำความสะอาดให้หมดจด ขจัดความขุ่นมัวออกไปให้เอง”ไม่เพียงเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า มือรั้งร่างเล็กพร้อมผ้าในมือ เช็ดถูแผ่นหน้าท้อง ซบหน้าลงหัวไหล่ เลื่อนผ้านุ่มขึ้นหาทรวงอก นางสะดุ้งทันที“ข้ามือหนักไปหรือ?”ไป๋หลินเอ๋อร์เม้มปาก มือจับขอบอ่างไว้ไม่กล้าขยับตัว ผ้านุ่มค่อยถูทำความสะอาดเนื้อนุ่มอวบอิ่มแผ่วเบา ในยามนี้นางรู้ตัวแล้วว่าคงหนีไม่พ้นบุรุษด้านหลังเป็นแน่ หากยังขืนตัวไม่อ่อนลงคงเป็นนางเองที่เจ็บตัว“ท่าน จะเบามือกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่”โจวหมิงเจ๋อชะงักไปครู่ เอียงหน้าไปมองดวงหน้างาม ปากกระจับเม้มแน่น พวงแก้มขึ้นสีระเรื่อ นางเอี้ยวกลับมาจ้องตอบ“เหตุใดไม่ตอบข้า”“ไม่ได้”ไป๋หลินเอ๋อร์สะอึกแล้วนิ่งงัน ก่อนจะเอ่ยถามอีก “ถ้าเช่นนั้น สอนข้าให้ ... ให้ข้าเจ็บน้อยที่สุด”โจวหมิงเจ๋อปล่อยผ้าออกจากมือ แล้วแทนที่ด้วยฝ่ามือร้อนจัดกอบกุมเนินทรวง “เจ้าอาจเริ่มจากผ่อนคลาย และสนุกกับสิ่งที่ข้าทำ”“สนุกงั้นหรือ”“ใช่แล้ว ถ้าข้าทำเช่นนี้