ขณะเดียวกัน ณ ตำหนักหลวนเฟิ่งซูกุ้ยเฟยรู้ว่าฮ่องเต้แต่งตั้งองค์หญิงแคว้นเฉาซีเป็นพระสนมหย่าเฟยแล้วก็โกรธสุดขีด นางก็ไม่อยากไปร่วมงานให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะ จึงอ้างว่าไม่สบายเพื่อไม่ไปร่วมงานเลี้ยงอวิ๋นฟางคุกเข่าลงด้วยความเคารพหน้าซูกุ้ยเฟย “ทูลกุ้ยเฟย จากที่บ่าวแอบสอดส่องอย่างลับ ๆ พยายามค้นหา ในที่สุดก็เจอจุดอ่อนของพระชายาเหิงอ๋องแล้วเพคะ”ซูกุ้ยเฟยกล่าวเสียงเข้ม “คราวก่อนเจ้าส่งจดหมายบอกข้าให้เกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้เชิญบัณฑิตที่เพียบพร้อมทั้งปัญญาและคุณธรรมจากสำนักศึกษาหลวง เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงรับรองราชทูตจากแคว้นเจาซี เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”อวิ๋นฟางยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น “กุ้ยเฟย บ่าวค้นพบความลับอย่างหนึ่งของพระชายาเหิงอ๋องเพคะ”ซูกุ้ยเฟยได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว “เจ้าแน่ใจนะ”“บ่าวสืบจนแน่ชัดแล้วเพคะ จริงแท้แน่นอน คนผู้นั้นก็ศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาหลวง เป็นศิษย์ของเจียงหวย วันนี้ก็เข้าวังมา ไม่แน่ว่าก่อนที่เจียงเฟิ่งหัวจะแต่งกับเหิงอ๋อง ทั้งสองคนก็รักกันมานานแล้ว”ซูกุ้ยเฟยจ้องอวิ๋นฟางด้วยแววตาเย็นเยียบ “เจียงเฟิ่งหัวไม่ใช่คนโง่ นางไม่มีทางโง่จนวิ่งเข้าวังมากับผู้ชายคนหนึ่งเพื่อ
“ลากไปซ่อนในเรือนด้านข้างที่ไม่มีคน แค่นางกำนัลตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง รอให้ซูกุ้ยเฟยถูกเปิดโปง นางก็ไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่”ขณะนี้จุดสำคัญของวังหลวงอยู่ที่ตำหนักหงฝู มีอู๋ซินนำทาง เขาก็นำตัวคนไปซ่อนในตำหนักของซูกุ้ยเฟยโดยที่ไม่มีใครรู้ได้อย่างง่ายดาย......ขณะเดียวกัน ทางนี้ซูถิงหว่านเห็นเจียงเฟิ่งหัวเอาแต่เดินเล่นริมทะเลสาบอย่างไร้จุดหมาย ก็พูดว่า “ที่นี่หนาวเกินไปแล้ว ทุกคนไปกันหมดแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะเพคะ!”“ก็ใช่น่ะสิ ทุกคนไปกันหมดแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ!” ท่าทางอ้อนแอ้นของเจียงเฟิ่งหัวทำให้ซูถิงหว่านรู้สึกสะอิดสะเอียน“พระชายารองอยากไปเดินเล่นที่สวนบุปผชาติไหม?” นางกล่าวในทันใดซูถิงหว่านตาลุกวาว “ได้สิเพคะ ได้ยินว่าดอกไม้ทางนั้นกำลังบานสะพรั่ง หม่อมฉันกำลังอยากไปดูสักหน่อยพอดีเลย”“ข้าก็กำลังอยากไปดูพอดีเหมือนกัน ดอกไม้ในวังบานสะพรั่งหนาแน่นกว่าในจวนเรา” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางเหมือนเป็นคนรักดอกไม้มาก ยื่นมือไปทางซูถิงหว่านอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน “พระชายารองดึงข้าขึ้นไปหน่อยสิ ขั้นบันไดนี่สูงเกินไปแล้ว ข้าก้าวไม่ขึ้น”ซูถิงหว่านตะลึงจนเบิกตากว้าง เจียงเฟิ่งหัวจะบอบบางเพียงไรก็ไม่ต้องท
ณ ตำหนักหงฝูเมื่อได้ยินเสียง ‘จับนักฆ่า’ แล้ว ภายในห้องจัดงานที่สงบสุขด้วยเสียงร้องรำทำเพลงก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในพริบตาเดียว ฮ่องเต้ที่กำลังเมามายก็ตาสว่างทันที องครักษ์ลับทั้งหมดก็ออกมาคุ้มกันอยู่ข้างฮ่องเต้แทบจะในชั่วพริบตาใต้เท้าซางผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์ทูลรายงานอย่างรวดเร็ว “ทูลฝ่าบาท มีนักฆ่าเข้ามาในวัง กระหม่อมส่งคนไปไล่ล่าแล้ว ขณะนี้นักฆ่าหนีไปทางพระราชฐานชั้นในพ่ะย่ะค่ะ” “ก็ไปตามจับสิ!” ฮ่องเต้ตะคอกด้วยความพิโรธ โกรธเกรี้ยวประดุจฟ้าผ่า “ใครกล้ามาลอบสังหารในวังกัน ไปจับมันมา เราจะทำให้มันแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดี”ผู้บัญชาการซางตกอกตกใจจนทั้งตัวสั่นเทา จะเข้าไปพระราชฐานชั้นในย่อมต้องขอพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้ก่อน ไม่เช่นนั้นไปล่วงเกินเหล่าเจ้านายฝ่ายในเข้า พวกเขาได้หัวหลุดจากบ่ากันถ้วนหน้าแน่ เขารีบขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หันไปพูดกับบรรดาองค์ชายอีกว่า “พวกเจ้านิ่งเป็นสิงโตหินอะไรอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบไปดูอีกว่าใครกันมันกล้าบุกเข้ามาในวัง ต้องจับตัวมันให้ได้”พวกเขารับพระบัญชาแล้วออกไป ออกมาจากตำหนังหงฝูแล้ว เซี่ยซางเจอซูถิงหว่านวิ่งหอบแฮ่ก ๆ กลับมา“หวานหว่าน เจ้
นางเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ตะโกนเรียกว่า “สีเป่า เจ้าอยู่ข้างในหรือเปล่า? เมี๊ยวๆ...เจ้าตอบข้าสักคำสิ!”เสียง “กุกกัก” ดังออกมาจากในตู้อีกครั้งซูกุ้ยเฟยตะโกนเรียกออกไปด้านนอกหนหนึ่ง “จินหมัวมัว เหมยเซียง เซี่ยจู๋…”นางตะโกนเรียกอยู่นานก็ไม่มีคนเข้ามา“เมี๊ยว!” บุรุษเลียนแบบเสียงแมวร้องขึ้นมาครั้งหนึ่งซูกุ้ยเฟยได้ยินเสียงแมวร้องจึงได้ลดความระวังลง นางเปิดประตูตู้ออก เมื่อเห็นภายในบุรุษร่างกายเปลือยเปล่าอยู่ผู้หนึ่ง นางก็ตกใจจนตะลึงไปวินาทีถัดมา บุรุษผู้นั้นก็พุ่งออกมากอดรัดนางไว้ “แม่แมวน้อย ที่แท้เจ้าอยู่นี่เอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะงามเช่นนี้ เล่นสนุกเก่งเช่นนี้ทำเอาข้าทรมานรออยู่นาน ที่แท้ก็คิดจะทำให้ข้าประหลาดใจนี่เอง”ในตอนที่อวิ๋นฟางยั่วยวนเขานั้น สวมผ้าคลุมหน้าอยู่ตลอด เพียงให้เขารู้สึกว่านางเป็นหญิงงามผู้หนึ่ง แต่กลับไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางอย่างชัดเจน กระทั่งนางพาเขาเข้ามาในวังหลวงอันโอ่อ่าหรูหรา เขาจึงได้รู้ว่าที่แท้นางเป็นคนในวัง วันนี้ในวังจัดงานเลี้ยง คนมากมายพลุกพล่านจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเขาเขาถูกตีจนสลบ บนร่างแม้แต่กางเกงชั้นในก็ไม่เหลือ เห็นสตรีที่อยู่เบื้องหน้
เมื่อซูกุ้ยเฟยได้ยินเสียงก็ได้สติกลับมาในฉับพลัน นางคิดผลักร่างของเขาออกไปอย่างลนลาน “เจ้าเป็นมือสังหารหรือ?”ฝ่ายชายก็ลนลานทำสิ่งใดไม่ถูกเช่นกัน รีบปฏิเสธว่า “ข้าไม่ใช่มือสังหาร ข้าไม่ใช่มือสังหารจริงๆ ไม่ใช่ว่าพระสนมนำข้าเข้าวังแล้วเอาข้ามาซ่อนไว้ที่นี่หรือ?”ซูกุ้ยเฟยเห็นเขาเหมือนพวกบุรุษหนุ่มที่อาศัยหน้าตาพึ่งพาอิสตรี และบัดนี้ก็มิใช่เวลามาซักไซ้ไล่เลียงว่าเขาเป็นมือสังหารหรือไม่ แต่เป็นกรณีที่ในตำหนักของนางมีบุรุษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน หากให้คนจับได้ นางคงได้ตายอย่างไร้ที่ฝังนางพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าจงซ่อนตัวก่อน”บุรุษผู้นั้นยังจะกล้าคิดเรื่องอื่นอีกได้อย่างไร เขาตื่นตระหนกจนทำสิ่งใดไม่ถูกแล้ว แม้เรื่องนี้จะเพิ่งเริ่มและเพลิงปรารถนาบนร่างของเขายังไม่จางหายไป แต่เขาได้ถูกทำให้ตกใจจนไม่อาจเรียกสติกลับมา“เจ้าลุกขึ้นมาสิ!” ซูกุ้ยเฟยกระซิบเสียงเบา“ข้า…ข้ายืนไม่ขึ้นแล้ว” บุรุษผู้นั้นหวาดหวั่นจนร่างกายสั่นเทา ก่อนหน้านี้มิได้คิดถึงผลที่จะตามมา ถูกตัณหาล่อลวงจิตใจ รู้สึกเพียงว่าน่าตื่นเต้น บัดนี้มาเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้วซูกุ้ยเฟยคิดว่านี่เป็นตู้เสื้อผ้าในตำหนักด้านข้าง คนทั้งส
ยิ่งซูชิงชิงไม่ยอมให้คนเข้าไป ก็ยิ่งแปลว่าข้างในมีเรื่องผิดปกติ นอกจากนี้ เหล่านางกำนัลและหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ในตำหนักนางล้วนไปที่ใดแล้ว ผ่านมาค่อนคืนแล้วจึงยังไม่เห็นคนสี่หมัวมัวอยากช่วยระบายโทสะให้ฮองเฮานานแล้ว เมื่อได้โอกาสย่อมไม่มีทางปล่อยไป นางพาคนบุกเข้าไปทันทีทุกสิ่งภายในล้วนไม่เที่ยง สี่หมัวมัวจึงไปค้นหาบนเตียงอีกครั้ง ทว่าบนเตียงก็ไร้ซึ่งความผิดปกติใด กระทั่งใต้เตียงก็ถูกดูไปแล้วเมื่อเห็นว่านางมุ่งหน้าไปทางห้องข้างของตำหนัก ซูกุ้ยเฟยก็ตะโกนเรียกออกมา “สี่หมัวมัว…”สี่หมัวมัวตกใจจนสะดุ้ง คิดอยากด่านางว่าร่ำร้องอะไรซูกุ้ยเฟยก็พูดต่อว่า “ด้านในซ่อนคนไม่ได้หรอก หากไม่เชื่อหมัวมัวก็เข้าไปดูเถิด”สี่หมัวมัวก็เลิกม่านขึ้นเดินเข้าไปจริงๆ ภายในว่างเปล่า ไม่มีคนอยู่จริงๆ แต่ว่ากลับมีกลิ่นชนิดหนึ่งอวลอาย ทำให้คนรู้สึกอยากอาเจียนสี่หมัวมัวเปิดตู้เสื้อผ้าออก ภายในไม่มีวี่แววของคน แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ในตู้เสื้อผ้ากลับกระจัดกระจายเต็มตู้ไปหมด นางตาแหลมจึงพบชุดบุรุษที่ด้านล่างสุดของตู้เสื้อผ้า กระทั่งยังมีสายรัดเอว รองเท้าและถุงเท้าด้วย เนื่องจากไม่พบตัวคน นางจึงไม่กล้าโหวกเหวกโวย
บุรุษผู้นั้นหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทา เอาแต่คุกเข่าขอความเมตตา “ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ข้าถูกใส่ร้าย เป็นนางล่อลวงให้เข้าวังไปที่สวนบุปผชาติ ข้ารออยู่ที่นั่นตลอดกระทั่งฟ้ามืด ข้า…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อครู่ก็เป็นนางที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะนางต้องการข้าถึงได้ทำให้นาง”คำพูดของชายหนุ่มเต็มไปด้วยถ้อยคำสกปรกหยาบคาย ลืมเลือนสิ่งที่ซูกุ้ยเฟยกำชับเขาไว้ไปจนหมดสิ้นซูกุ้ยเฟยนึกเสียใจ เมื่อครู่ก็ไม่ควรเกลี้ยกล่อมให้เขาออกไปซ่อนด้านนอก แต่ควรฆ่าเขาไปเสียเลยนางดึงดาบของผู้บัญชาการซางออกมาได้ก็หมายจะฟันลงไป แต่กลับถูกคนปัดออกก็เห็นใบหน้าของเซี่ยอวี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ตอนนั้นที่ซูกุ้ยเฟยวางแผนให้ร้ายเขา เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้แก้แค้นเร็วถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าซูกุ้ยเฟยก็มีวันนี้ เรื่องนี้เพียบพร้อมทั้งพยานหลักฐานจริงๆ”เดิมที่เยี่ยนเฟยมิได้มาปรากฏกายในงานเลี้ยง แต่ความเคลื่อนไหวในวังหลังเกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางย่อมต้องมาร่วมสนุกด้วยอยู่แล้วเป็นธรรมดา “ซูกุ้ยเฟยอายุยังน้อย รูปโฉมก็งดงาม ย่อมไม่อาจทนต่อความว้าเหว่เดียวดายในวังหลังได้ กุ้ย
ซูกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่ในวังหลังมาหลายปี นางไม่มีทางขุดหลุมฝังตัวเองแน่เซี่ยซางได้กลิ่นแผนการร้ายที่อยู่ภายในเขาเหลือบมองซูถิงหว่านอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “เมื่อครู่เป็นชายารองเชิญพระชายาไปชมดอกไม้ที่สวนบุปผชาติ หวานหว่านเริ่มชอบชมดอกไม้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”เขาจำได้ว่า ซูถิงหว่านเคยพูดว่า ไม่ชอบการปลูกดอกไม้ต้นไม้ที่สุด รู้สึกว่ายุ่งยาก หากนางมีเวลามิสู้ไปฝึกซ้อมวิชากระบี่ดีกว่าซูถิงหว่านรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง “หม่อมฉันรู้ว่าพระชายาเป็นผู้ที่ชื่นชอบดอกไม้ พอรู้ว่าดอกไม้ในสวนบุปผชาติเบ่งบาน จึงคิดไปดูกับนาง อันที่จริงแล้ว หม่อมฉันคิดว่า ในเมื่อตอนนี้แต่งกับท่านอ๋องแล้ว ได้รู้ว่าท่านอ๋องทรงรักใคร่พระชายา จึงคิดเลียนแบบพระชายาไปชอบพวกดอกไม้ต้นไม้บ้าง เพื่อให้ท่านอ๋องทรงโปรดปรานบ้าง ”นางกล่าวเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุผล เนื่องจากเซี่ยซางเย็นชาไม่สนใจนางมาเป็นเวลานานแล้วในเวลานั้นเอง ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทเสด็จ” ทำให้ทุกคนรีบคุกเข่าลง และส่งร้องขานเสียงดังว่า “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี”คนทั้งหมดล้วนไม่กล้าลุกขึ้น ยิ่งไ
เหลียนเย่หยิบมาลองดม รู้สึกเพียงกลิ่นหอมสดชื่นโชยปะทะจมูก หอมยิ่งนัก “หากว่าคุณหนูมีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อเยาว์วัยก็คงดี ตอนเด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องฝันร้ายบ่อย ๆ อีก” อ้าวเสวี่ยถามเหลียนเย่ “เกิด อะไรขึ้นกับพระชายากันแน่ พวกเจ้ารับใช้พระชายามาตั้งแต่ยังเล็ก เคยเกิดเรื่องน่าสะพรึงกลัวใดขึ้นกับนางมาก่อนหรือไม่?” “ไม่มี คุณหนูมีชีวิตเป็นสุขดีมาตลอด หากว่ายาหอมคืนเรือนสามารถช่วยให้คุณหนูไม่ต้องฝันร้ายอีกเช่นนั้นก็ดีมากแล้วจริง ๆ” ที่เหลียนเย่กล่าวมาเป็นความจริง เช้าตรู่วันต่อมา หลังจากเจียงเฟิ่งหัวตื่นขึ้นมาแล้วนางดูปกติคล้ายว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เห็นอ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เฝ้าอยู่ในห้องของนาง นางก็เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางกล่าวว่า “เมื่อคืนหลับสบายจริง ๆ ข้ารู้สึกจิตใจปลอดโปร่ง ร่างกายสดชื่นดีมาก พวกเจ้าได้จุดกำยานอะไรเอาไว้หรือไม่?” เหลียนเย่เห็นนางลืมเรื่องเมื่อคืนที่ละเมอร้องไห้ในความฝันไปก็ถามขึ้นว่า “พระชายาจำอะไรไม่ได้เลยหรือเพคะ?” “ข้าต้องจำอะไรได้หรือ?” เจียงเฟิ่งหัวประคองท้องของตนเองเดินลงมาจากเตียงพลางเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อคืนข้ากับเจ้านอนด้วยกัน” “ใช่แล้วเพค
ครั้นส่งสี่หมัวมัวออกไปแล้ว เจียงเฟิ่งหัวเองก็มิอาจใจเย็นอยู่เฉยได้ ซูถิงหว่านต้องมีความทรงจำจากเมื่ออดีตชาติแล้วแน่ ซูถิงหว่านรู้แล้วว่าหลังจากนี้นางจะได้เป็นฮองเฮา เพราะฉะนั้นนางถึงได้ไม่เกรงกลัวเพราะมีสิ่งยึดเหนี่ยว หากมิใช่เพราะการตายของจีเฉินทำให้การเดินทางของนางล่าช้า นางอาจจะมุ่งหน้าไปเขตชายแดนเพื่อรวมตัวกับคนสกุลซูแล้วก็ได้ นางมิอาจเอาความโปรดปรานของเซี่ยซางมาเดิมพันว่าตำแหน่งของนางจะมั่นคง เมื่อวานฝ่าบาทนอกจากพระราชทานสิ่งล้ำค่าให้กับนางเพื่อเป็นรางวัลแล้ว ยังพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ทองคำส่วนพระองค์ป้ายหนึ่งให้กับนางด้วย ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘เสมือนฮ่องเต้เสด็จ’ มีมันแล้ว นางก็สามารถเดินผ่านได้ทุกที่ในวังหลวงแม้กระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ตอนแรกนางงุนงงอยู่เล็กน้อย ต่อมาเฉากงกงถึงได้เร่งให้นางรีบกล่าวขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทได้ สัญลักษณ์ของผู้ที่ได้รับป้ายทองอาญาสิทธิ์อันนี้ก็คืออำนาจ คือความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฝ่าบาทมีต่อนาง “พระชายา ท่านเป็นอะไรไปเพคะ หน้าซีดเชียวเพคะ” เหลียนเย่เห็นนางเงียบไปนาน เหม่อลอยอยู่ตามลำพัง “เปล่า อาจเพราะเหนื่อยล้าเกินไปหน่อยกระมัง ข
สี่หมัวมัวตกใจกลัวตัวสั่น รีบยั้งปากทันใด ครั้นมาถึงด้านในตำหนักเฉินซี เจียงเฟิ่งหัวก็สั่งให้เหลียนเย่ปิดประตูทันที ทิ้งให้อยู่ในห้องกับสี่หมัวมัวลำพัง เห็นเพียงนางสีหน้าเยือกเย็น พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “สี่หมัวมัว เจ้าคงจะทราบดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของเจ้ามีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ บัดนี้เสด็จพ่อมีพระพลานามัยแข็งแรงดี ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังมิได้แต่งตั้ง เจ้ากลับเผยแพร่คำพูดเหล่านี้โดยพลการ มิเพียงเจ้าจะรักษาศีรษะของเจ้าไว้ไม่ได้ แม้แต่เสด็จแม่ ท่านอ๋องและข้าก็จะพลอยได้รับเคราะห์จากคำพูดประโยคนี้ของเข้าไปด้วย” สี่หมัวมัวตกใจกลัวจนเหงื่อเย็นไหลพราก ๆ “บ่าวทราบเพคะ ดังนั้นบ่าวถึงได้เก็บงำไว้ในใจมาตลอด บางคำมิได้พูด บ่าวเองก็ทุกข์ใจเพคะ หนนี้ถึงได้อยากแจ้งพระชายา อยากให้พระชายาช่วยโน้มน้าวฮองเฮาด้วยเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างจงใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าถ้อยคำเหล่านี้พระชายารองซูเอ่ยกับเสด็จแม่ เจ้ามิได้โป้ปดจริงแน่หรือ” สี่หมัวมัวเล่าอย่างละเอียดไม่มีปิดบัง “ถ้อยคำเหล่านี้บ่าวมิได้เป็นคนพูดเพคะ บ่าวจะกล้าพูดแบบนี้ออกไปได้อย่างไรเพคะ และมิใช่ฮองเฮาเป็นคนตรัสด้วยเพคะ ถ้อยคำเห
ผ่านไปสองวัน ซูถิงหว่านยังไม่กลับมา สุดท้ายแล้วนางเลือกเดินซ้ำรอยเดิมของชาติก่อนติดตามเซี่ยซางไปที่เขตชายแดน และที่น่าขันคือข่าวนี้เฉิงฮองเฮาเป็นคนมาบอกนางด้วยตนเอง ได้ยินเฉิงฮองเฮากล่าวว่า “พระชายารองซูไปที่เขตชายแดนเพื่อช่วยซางเอ๋อร์ทำศึก ซางเอ๋อร์เองก็จำเป็นต้องมีสตรีสักคนคอยดูแลอยู่เคียงข้างกาย ส่วนเจ้าก็ท้องแก่แล้ว ข้าจึงอนุญาตให้นางไป หรวนหร่วนเจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง” เจียงเฟิ่งหัวผุดยิ้มน้อย ๆ พลางเอ่ยว่า “เสด็จแม่ทรงคิดรอบคอบ ท่านอ๋องมีคนเอาใจใส่อยู่เคียงข้างกายสักคนก็นับว่าดีเพคะ เพียงแต่เหมันต์ฤดูอากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก และอีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว พระชายารองซูเป็นสตรีตัวคนเดียวเดินทางไปเช่นนั้นจะปลอดภัยหรือเพคะ” “นางมีวรยุทธ์ติดตัว และมีกองทัพสกุลซูปกป้องคุ้มครอง ปลอดภัยไร้กังวล เราเห็นว่านางก็มิได้มีท่าทีอิดออดอะไร” “เป็นเช่นนี้ก็ดียิ่งนักเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฮองเฮาเปลี่ยนใจรวดเร็วเสียจริง ตอนแรกยังคัดค้านเซี่ยซางอย่างสุดกำลังไม่ให้พาสตรีไปออกศึก อ้างว่าจะไม่เป็นสิริมงคล ถึงขั้นทำลายความองอาจน่าเกรงขามของหัวหน้าแม่ทัพ ทว่าบัดนี้กลับอ
เจียงเฟิ่งหัวออกจากตำหนักคุนหนิงก็ตรงไปยังตำหนักเฉินซีทันที ในตอนนั้น เห็นนางกำนัลคนหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก็โพล่งเสียงตำหนิออกไป “ใคร” อ้าวเสวี่ยตั้งรับทันที ไม่รอให้นางเดินเข้าไปใกล้ อวิ๋นฟางก็เดินงก ๆ เงิ่น ๆ มาหยุดเบื้องหน้าเจียงเฟิ่งหัว “บ่าวคารวะเพคะพระชายา” เจียงเฟิ่งหัวเห็นนางชัดถนัดตาแล้วก็แอบคิดเงียบ ๆ ในใจ นางมีฝีมือไม่เบาเลยทีเดียว แอบลอบกลับวังมาได้ ทว่าด้วยสถานการณ์ของนางตอนนี้ ซูถิงหว่านไม่มีทางปล่อยนางไปแน่ นางจนตรอกไม่มีทางถอยแล้ว จำต้องวิ่งเข้ามาหลบในวังถึงจะไม่ถูกคนไล่ล่า อ้าวเสวี่ยและเหลียนเย่เองก็ชะงักงันไปแล้วเช่นกัน อวิ๋นฟางช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ากลับเข้ามาในวังหลวงอีก พวกนางคิดว่าหลังจากอวิ๋นฟางหนีไปทางประตูหลังของเขตเมืองหลวงแล้ว นางจะหนีออกไปจากเมืองเซิ่งจิง อย่างน้อยก็ต้องหนีให้ห่างไกลจากเรื่องวุ่นวาย ปกป้องชีวิตไว้เป็นสำคัญ “เข้ามาเถิด!” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว อวิ๋นฟางตามเข้าไปในตำหนักเฉินซี นางกำนัลได้ต้มน้ำร้อนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายในห้องอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้แสงตะเกียงสว่างรุบรู่ อวิ๋นฟางก็เริ่มขะมักเขม้นทำงานสารพัดทั้งยกน้ำเทน้ำ นางยังกระตือ
เฉิงฮองเฮาเปิดเปลือกตา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “มาแล้ว จัดการเรื่องข้างนอกวังเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง? ออกจากวังไปครึ่งเดือนแล้วมิใช่หรือ!” เจียงเฟิ่งหัวท่าทางมิได้หยิ่งยโสเกินควรแต่ก็มิได้ถ่อมตัวจนเกินเหตุ “ทูลเสด็จแม่ จัดการเหมาะสมเรียบร้อยดีแล้วเพคะ” “ข้าได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อนสินค้าและวัตถุดิบถูกส่งไปหมดแล้ว” แม่สามีของนางก็ดูจะวางมาดขึ้นเช่นกัน ราวกับต้องการให้นางยอมเชื่อฟังคำสั่งสอน เหมือนกับเมื่อชาติก่อนไม่มีผิด “เพคะ เพียงแต่ของที่ส่งออกไปเมื่อสิบวันก่อนเป็นแค่ชุดแรกเพคะ เพราะมีจำนวนมากเกินไป ชุดต่อไปจะต้องทยอยลำเลียงออกไปเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าวอย่างละเอียด มองแล้วอ่อนโยนนอบน้อม สงบเสงี่ยมเรียบร้อยมารยาทเพียบพร้อมไร้ที่ติ แม้แต่เฉิงฮองเฮายังมิอาจหาจุดใส่ไฟได้เลย “ลุกขึ้นมานั่งเถิด” น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาฟังดูดีขึ้นเล็กน้อย “ซางเอ๋อร์มีสกุลซูคอยจุนเจือ บัดนี้เด็กในครรภ์ของเจ้าสำคัญเหนือสิ่งใด อย่ามัวเพ่นพ่านด้านนอกมากนัก อย่าไปข้องเกี่ยวกับสตรีในหมู่ขุนนางราชสำนักมากเกินไป ที่สำคัญจงอย่าได้มัวละโมบใฝ่หาความดีความชอบจนลำดับความสำคัญผิดไป” เจียงเฟิ่งหัวคิดในใจ ตอนอ
“เพคะ สะใภ้รับบัญชา”จากนั้น เจียงเฟิ่งหัวก็วางหมากลงไปตัวหนึ่ง “เสด็จพ่อ ทรงแพ้แล้วเพคะ”ฮ่องเต้เหลือบมองกระดานหมากคราหนึ่ง เริ่มจากความตกตะลึง ตามด้วยสีหน้ามืดครึ้มที่มองไม่ออก จากนั้นก็ทรงหัวเราะออกมาว่า “ดูเหมือนเราไม่อาจไม่ตกรางวัลนี้แล้ว มาเล่นอีกตา หากเจ้าชนะเราอีก เราก็จะมอบรางวัลให้อีกครั้ง”เจียงเฟิ่งหัวเก็บหมากบนกระดานขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ไร้ความลนลาน “ลูกก็ชนะมาได้อย่างหวุดหวิดเพคะ ต้องเป็นเพราะเมื่อครู่เสด็จพ่อทรงฟังลูกพูดเพลิน จึงได้ออมมือให้ลูกแน่เลยเพคะ”“เจ้าคงไม่รู้สินะ หลายวันมานี้เรามีราชโองการเรียกตัวบิดาของเจ้าเข้าวังมาเดินหมากเป็นเพื่อนเราทุกวัน เขากลับไม่เคยชนะเราเลยสักตา ช่างน่าเบื่อนัก แต่เขาบอกว่าบุตรสาวของเขาเป็นยอดฝีมือในการเดินหมาก เรายังคิดว่าเขาพูดเกินจริงเสียอีก แต่วันนี้ หลังได้เดินหมากไปกระดานหนึ่งเราก็เชื่อแล้ว”“ท่านพ่อก็เหมือนยายหวังขายแตง ที่ชอบขายเองชมเองเพคะ ต่อให้บุตรสาวของท่านจะทำสิ่งใดไม่เป็นเลย ท่านก็รู้สึกว่าดีอยู่ดีเพคะ”“ยังถ่อมตัวเข้าเสียแล้ว เมื่อมาเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์เรา แค่การถ่อมตนอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ในอนาคตยังต้องช่วยซางเอ
เมื่อเจียงเฟิ่งหัวกลับวังก็ถูกฮ่องเต้เรียนตัวไปที่ห้องทรงอักษร หลังนางรายงานเรื่องภารกิจที่ฮ่องเต้มอบหมายให้นาง ก็วางแผนจะกลับตำหนักคุนหนิงไปคารวะฮองเฮาแต่จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ได้ยินว่าพระชายาของเหิงอ๋องชำนาญการวางหมาก เราอยากหาคนมาเล่นด้วยสักตาพอดี ว่าอย่างไร จะอยู่เล่นเป็นเพื่อนเราสักตาหรือไม่”เจียงเฟิ่งหัวคารวะลงรอบหนึ่งด้วยมารยาที่พอเหมาะ ไม่ถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง แล้วกล่าวอย่างเคารพว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง สะใภ้ย่อมทำตามพระบัญชาของเสด็จพ่อเพคะ แต่หากเสด็จพ่อทรงเป็นฝ่ายปราชัย ลูกจะขอรางวัลจากเสด็จพ่อสักอย่างได้ไหมเพคะ”ฮ่องเต้ตรัสว่า “อยากได้อะไรก็พูดมาได้เลย หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่เจ้ามีผลงานใดการทำคดี แต่หากพ่ายแพ้ รางวัลก็จะไม่มีแล้วนะ”เจียงเฟิ่งหัวแอบคิดว่า “ฮ่องเต้ยังคงเป็นพวกที่ไม่ยอมเสียเปรียบ ถึงกับเอารางวัลของนางมาใช้เดิมพันหมาก หากนางชนะหมากควรนับเป็นรางวัลพิเศษไม่ใช่หรือ!”“เพคะ” นางตอบอย่างว่าง่ายเพราะในท้องของเจียงเฟิ่งหัวมีเด็กอยู่ เพื่อดูแลเด็กในท้องของนาง จึงให้หัวหน้าขันทีเฉายกโต๊ะที่สูงขึ้นเล็กน้อยเข้ามาตัวหนึ่งมาใช้แก้ขัด และยังเตรียม
คนทั้งสองเท้าสะเอวหัวเราะขึ้นมา “คนที่คิดจะช่วยคุณหนูหลินของเราไถ่ตัวมีเต็มไปหมด ท่านต่อแถวไม่ทันหรอก อีกอย่าง ท่านก็ไม่มีคุณสมบัตินั้นด้วย อย่าได้เพ้อฝันอีกเลย” คุณหนูหลินไม่ขาดแคลนเงินทอง ทั่วทั้งหออี๋ชุนล้วนอยู่ใต้การตัดสินใจของนาง ไม่จำเป็นต้องไถ่ตัวเพราะนางไม่มีสัญญาขายตัว“ข้าจะต้องแต่งนางเป็นภรรยาให้ได้ พวกเจ้ารอก่อนเถอะ” กัวเซี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะแต่งกับหลินอวี่ให้ได้ในบรรดาเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ กัวเซี่ยวก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาหน้าตาไม่เลว ชาติตระกูลก็ไม่เลว เขาจึงคิดว่าหลินอวี่ไม่มีทางปฏิเสธแน่ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จื่อฮุ่ยจึงเอ่ยบ้างว่า “หากคิดจะแต่งกับคุณหนูของข้า นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นจอหงวน นั่นอาจพอมีโอกาสบ้าง ไม่เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย”กัวเซี่ยวตะลึงงันไปแล้ว ที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือการอ่านตำรานี่แหละเห็นเขายังคงไม่ยอมจากไปอีก พวกนางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว จึงตีกัวเซี่ยวจนสลบแล้วโยนเขาออกไปนอกหออี๋ชุนเสียเลย “ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน คนที่อยากแต่งงานกับคุณหนูของข้าตอนนี้ต่อแถวไปถึงนอกประตูเมืองนู่นแล้ว ค่อยๆ ไปต่อแถวเถอะ” พวกนางย่อมไม่เห็น