กาลเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงปลายฤดูร้อนย่างเข้าสู่ต้นฤดูสารทของปี 1985 อากาศที่เคยร้อนระอุเริ่มเจือจางลงด้วยสายลมเย็นสบายในยามค่ำคืน ครอบครัวหลินในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเขาได้ใช้เงินก้อนใหญ่ที่ได้จากการลงทุนไปซื้อบ้านพร้อมที่ดินหลังเล็ก ๆ ในตัวอำเภอ แม้จะไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่ก็สะอาดสะอ้านและกว้างขวางกว่ากระท่อมดินหลังเก่าราวฟ้ากับเหว พ่อหลินได้วางมือจากงานไร่นาอย่างสมบูรณ์และผันตัวมาเป็นผู้จัดการใหญ่ ช่วยดูแลเรื่องการจัดซื้อและขนส่งของร้านอย่างเต็มตัว
ชีวิตของทุกคนกำลังผลิบานราวกับดอกไม้ต้องแสงตะวันยามเช้า และในตอนนั้นเอง บุคคลที่เคยหายไปจากชีวิตของพวกเขาก็ได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่หลินต้าเฉียงกำลังช่วยพ่อขนผ้าล็อตใหม่ลงจากรถสามล้อถีบ ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดลำลองก็เดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร
“ต้องการให้ผมช่วยไหมครับคุณอา?”
หลินเจี้ยนกั๋วหันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความยินดี “อ้าว! พ่อหนุ่มลู่นี่เอง กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
ลู่เฟิงนั่นเอง เขากลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงพักร้อนประจำปีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้การกลับมาของเขาดูเหมือนจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
เขามาที่ร้านในวันรุ่งขึ้นอย่างเป็นทางการ ไม่ได้มาในฐานะผู้ช่วยเหลือปริศนา แต่มาในฐานะแขกผู้มาเยือน ในมือของเขาไม่ได้ว่างเปล่า แต่มีกล่องชาชั้นดีสำหรับพ่อหลิน และยาหม่องสมุนไพรสูตรพิเศษสำหรับทามือนวดแขนให้แม่หลิน ของขวัญของเขาไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยราคาแพง แต่เป็นของที่แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างแท้จริง
“ผมแค่แวะมาเยี่ยมเยียนดูให้แน่ใจว่าพวกคุณอาสบายดี และไม่มีใครมารบกวนอีก” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่หาได้ยากยิ่ง
การมาเยือนของผู้มีพระคุณทำให้ครอบครัวหลินดีใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต้อนรับขับสู้เขาอย่างเต็มที่ และยืนกรานให้เขาอยู่ร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยกันให้ได้ และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาลู่เฟิงก็กลายเป็นแขกประจำของร้านใบไหวดีไซน์
เขาไม่ได้มาทุกวัน แต่จะแวะเวียนมาสัปดาห์ละสองสามครั้งเสมอ และทุกครั้งที่มาก็จะมีเหตุผลที่ดีรองรับ วันหนึ่งเขาอาจจะนำปลาสด ๆ ที่เพิ่งตกได้มาฝาก อีกวันอาจจะนำขนมหวานขึ้นชื่อจากร้านเก่าแก่ในเมืองมาให้ซิวอิง หรือบางครั้งก็แค่แวะมานั่งคุยกับพ่อหลินเรื่องข่าวสารบ้านเมือง การกระทำของเขาสุภาพและให้เกียรติทุกคนในครอบครัวเสมอ ทว่าเป้าหมายที่แท้จริงในแววตาของเขานั้นมีเพียงหลินเยว่ซินเท่านั้นที่อ่านออก
การจีบของลู่เฟิงนั้นไม่เหมือนใคร เขาไม่เคยพูดจาหวานซึ้ง ไม่เคยเอ่ยคำชมที่เลื่อนลอย แต่เขาใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์...
เมื่อเขาเห็นว่าตัวล็อกประตูร้านเริ่มเก่าและไม่แข็งแรง วันรุ่งขึ้นเขาก็นำแม่กุญแจทองเหลืองอันใหม่ที่แข็งแรงทนทานมาเปลี่ยนให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเขาเห็นต้าเฉียงพยายามยกม้วนผ้าหนัก ๆ จนปวดหลัง เขาก็เข้าไปสอนเทคนิคการใช้แรงจากช่วงขาและลำตัวแทนการใช้หลังอย่างเงียบ ๆ
หลังจากมีเหตุการณ์ลูกค้าขี้เมาพยายามจะลวนลามซิวอิงที่หน้าร้าน แต่ยังดีที่ถูกต้าเฉียงจัดการไปได้เสียก่อน เยว่ซินก็เปรยขึ้นมาว่าเธอเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัว
ลู่เฟิงที่นั่งจิบชาอยู่ด้วยในวันนั้นจึงฉวยโอกาสนี้ทันที “ทักษะการต่อสู้ที่ผมได้ร่ำเรียนมาจากกองทัพอาจพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” เขากล่าวเรียบ ๆ “ถ้าพวกคุณไม่รังเกียจ ผมพอจะสอนทักษะการป้องกันตัวขั้นพื้นฐานให้คุณกับพี่ชายได้”
ลู่เฟิงเป็นครูที่เข้มงวดแต่ก็อดทน เขาเปลี่ยนหลินต้าเฉียงที่เคยมีแต่พละกำลังแต่ไร้ท่วงท่า ให้กลายเป็นคนที่รู้จักใช้หมัดและเท้าได้อย่างมีหลักการมากขึ้น
“ไม่ใช่! อย่าใช้แรงจากหัวไหล่!” เขาตวาดเสียงเข้มขณะจับแขนของต้าเฉียงให้บิดในองศาที่ถูกต้อง “ใช้แรงบิดจากสะโพกส่งไปยังกำปั้นสิ!”
แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องสอนเยว่ซิน น้ำเสียงและท่าทีของเขากลับอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
“ท่าตั้งรับของคุณยังไม่มั่นคง” เขากล่าวขณะเดินเข้ามาจัดท่าทางให้เธอจากด้านหลัง “ย่อเข่าลงอีกเล็กน้อย ใช่... แล้วถ่ายน้ำหนักไปที่ปลายเท้า”
ฝ่ามือใหญ่และอุ่นจัดของเขาสัมผัสที่เอวของเธอเบา ๆ เพื่อปรับสมดุลร่างกายให้ วินาทีนั้นราวกับมีกระแสไฟฟ้าสายเล็ก ๆ วิ่งผ่านร่างของเยว่ซิน
เธอสะดุ้งเล็กน้อย หัวใจเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ นี่เป็นครั้งแรกในรอบสองชาติภพที่เธอได้ใกล้ชิดกับบุรุษเพศถึงเพียงนี้ กลิ่นแดดจาง ๆ ผสมกับกลิ่นสะอาด ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาโชยเข้ามาในจมูก ทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เธอรีบขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อตั้งหลัก “ขะ เข้าใจแล้วค่ะ”
ลู่เฟิงชะงักไปเช่นกัน เขาไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน แต่สัญชาตญาณในฐานะครูฝึกทำให้เขาทำไปโดยอัตโนมัติ เขากระแอมเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความประหม่าของตัวเองแล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม
เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้อาจจะรอดพ้นสายตาของต้าเฉียงไปได้ แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาของพ่อแม่หลินที่แอบมองอยู่ไกล ๆ และที่สำคัญที่สุดคือไม่รอดพ้นสายตาของเหล่าเพื่อนบ้านจอมสอดรู้สอดเห็น
“เธอเห็นนายทหารหนุ่มรูปงามคนนั้นไหม? เขาแวะไปที่ร้านของเถ้าแก่เนี้ยน้อยหลินทุกวันเลยนะ”
“ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน เห็นว่าชาติตระกูลดีมาก เป็นถึงหลานชายนายทหารใหญ่ในเมืองหลวงเชียวนะ!”
“โอ๊ย ช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก คนหนึ่งก็เป็นอัจฉริยะมากความสามารถ อีกคนก็เป็นวีรบุรุษของชาติ!”
ครอบครัวหลินเองก็เห็นดีเห็นงามกับข่าวลือนี้ไปด้วย พวกเขารักและเอ็นดูลู่เฟิงราวกับลูกชายคนหนึ่ง เขาเป็นคนดี สุภาพ ให้เกียรติ และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่เขามีต่อเยว่ซิน เขาคือลูกเขยในอุดมคติอย่างแท้จริง แต่เจ้าตัวหลินเยว่ซินกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เธอไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาที่จะมานั่งเขินอายกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เธอคือวิญญาณของสตรีวัยสามสิบห้าปีที่ผ่านการทรยศหักหลังมาอย่างแสนสาหัส เธอมองออกทะลุปรุโปร่งว่าทุกการกระทำของลู่เฟิงคือการเกี้ยวพาราสีในรูปแบบของผู้ใหญ่ที่สุขุมและน่าเชื่อถือ และการกระทำที่เงียบขรึมแต่หนักแน่นเช่นนี้ มันอันตรายต่อหัวใจของเธอยิ่งกว่าคำพูดหวานเลี่ยนนับพันเท่า
เธอยอมรับว่ารู้สึกถึงความห่วงใยและความอบอุ่นที่เขาส่งผ่านมา มันคือความรู้สึกดี ๆ ที่เธอโหยหามาตลอดชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน ความทรงจำจากชาติที่แล้วก็ยังคงตามหลอกหลอนเธอไม่เลิกรา ภาพการถูกทรยศ ภาพความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้ง มันได้สร้างกำแพงที่หนาทึบขึ้นมารอบ ๆ หัวใจของเธอ
ความรักคือสิ่งจอมปลอม ความไว้ใจคือหนทางสู่ความพินาศ...
วันนี้เขาอาจจะดีกับเธอ แล้ววันพรุ่งนี้ล่ะ? เมื่อเขารู้ถึงอดีตอันซับซ้อนของเธอ เขายังจะมองเธอด้วยสายตาแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า? ครอบครัวที่สูงส่งของเขาจะยอมรับผู้หญิงที่มีมลทินอย่างเธอได้อย่างไร?
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน คำสอนนี้ได้ฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณของเธอเสียแล้ว
เย็นวันนั้น หลังจบบทเรียนการป้องกันตัว ลู่เฟิงได้ยื่นกระติกน้ำที่เขาเตรียมมาให้ “ดื่มน้ำหน่อยสิ เหงื่อเธอออกเยอะแล้ว”
เป็นเพียงกิริยาธรรมดา ๆ แต่ปลายนิ้วของเขากลับสัมผัสโดนหลังมือของเธอเบา ๆ
เยว่ซินชักมือกลับราวกับถูกของร้อน ความรู้สึกอบอุ่นวาบที่แล่นผ่านเข้ามานั้นทำให้เธอต้องรีบสร้างเกราะป้องกันตัวเองขึ้นมาทันที
เธอรับกระติกน้ำมาอย่างรวดเร็ว โค้งศีรษะให้เขาเล็กน้อยตามมารยาท แต่แววตากลับเย็นชาและห่างเหิน
“ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นเธอก็หมุนตัวเดินกลับเข้าร้านไปทันที ทิ้งให้ลู่เฟิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เขามองตามแผ่นหลังที่ตั้งตรงและดูเหมือนจะแบกรับโลกทั้งใบไว้ของเธอแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ดูเหมือนว่าการจะทลายกำแพงรอบหัวใจของเธอนั้นคงจะยากยิ่งกว่าการสู้รบในสนามรบเสียอีก
ส่วนเยว่ซินที่เดินหนีเข้ามาในร้าน เธอยกมือขึ้นกุมที่หน้าอกข้างซ้าย หัวใจของเธอกำลังเต้นแรงจนน่ากลัว
ความอบอุ่นนี้มันอันตรายเกินไป ฉันจะเผลอใจไม่ได้เด็ดขาด ไม่ได้... ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคต
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ