กาลเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงปลายปี 1984 ประเทศจีนในยุคแห่งการปฏิรูปและเปิดประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ วันราวกับม้าหนุ่มที่คึกคะนอง เมืองต่าง ๆ เริ่มขยายตัว ตึกรามบ้านช่องผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด และแนวคิดใหม่ ๆ จากโลกตะวันตกก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา
ร้านของเยว่ซินยังคงดำเนินกิจการไปได้ด้วยดีอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พวกเขากลายเป็นร้านเสื้อผ้าอันดับหนึ่งในใจของสาว ๆ ทั่วทั้งอำเภอไปแล้ว เงินทองที่เคยเป็นของหายาก บัดนี้กลับไหลเวียนเข้ามาในครอบครัวอย่างไม่ขาดสายจนทุกคนเริ่มคุ้นชินกับความสุขสบายที่ได้รับ แต่สำหรับหลินเยว่ซินแล้ว ความสำเร็จในระดับนี้ยังห่างไกลจากคำว่ามั่นคงอยู่มากนัก
เธอรู้ดีว่าธุรกิจเสื้อผ้าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและล้มลุกคลุกคลานได้ง่าย หากวันใดวันหนึ่งมีคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าปรากฏตัวขึ้นมา หรือหากตระกูลซูใช้วิธีการที่สกปรกและรุนแรงกว่าเดิม ปราสาททรายที่พวกเขาสร้างขึ้นมานี้ก็อาจจะพังทลายลงได้ในพริบตา
การหาเงินแบบน้ำซึมบ่อทรายเช่นนี้ไม่เพียงพออีกต่อไป พวกเขาต้องการความมั่งคั่งที่แท้จริง ต้องการรากฐานที่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานพายุได้ทุกลูก และหนทางเดียวที่จะไปถึงจุดนั้นได้ก็คือการลงทุน
เยว่ซินใช้เวลาหลายคืนในการทบทวนความทรงจำจากชาติที่แล้วอย่างละเอียด เธอนึกถึงข่าวเศรษฐกิจที่เคยอ่านผ่าน ๆ เมื่อครั้งยังทำงานเป็นเสมียนในบริษัทเล็ก ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับยุคบุกเบิกของตลาดทุนในประเทศจีนค่อย ๆ ปะติดปะต่อขึ้นมาในหัวของเธอ
เธอจำได้ว่าในช่วงปี 1984-1986 รัฐบาลได้เริ่มทดลองแปรรูปรัฐวิสาหกิจบางแห่ง และมีการออกหุ้น ซึ่งในยุคนั้นยังเป็นเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งที่ซื้อขายกันในตลาดมืดเล็ก ๆ ในเมืองใหญ่อย่างเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น คนส่วนใหญ่ยังมองว่ามันคือการพนันรูปแบบหนึ่ง แต่เยว่ซินรู้ว่านี่คือขุมทรัพย์ เธอจำชื่อของบริษัทเหล็กกล้าและบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าสองสามแห่งได้อย่างแม่นยำว่าหุ้นของพวกมันจะมีมูลค่าพุ่งทะยานขึ้นไปหลายสิบเท่าในเวลาเพียงไม่ถึงปี
นอกจากนี้ เธอยังจำแผนผังการพัฒนาเมืองของอำเภอที่เธอเคยอยู่ได้ เธอจำได้ว่าที่ดินรกร้างผืนใหญ่ทางทิศตะวันออกของเมืองซึ่งปัจจุบันเป็นเพียงหนองน้ำและป่าละเมาะที่ไม่มีใครต้องการ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ามันจะกลายเป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการแห่งใหม่
เธอบอกกับครอบครัวว่าจะต้องเดินทางเข้าไปในเมืองหลวงของมณฑลเป็นเวลาหลายวัน เพื่อไปหาแหล่งผ้าชนิดใหม่ ๆ และศึกษาดูงานการตัดเย็บที่ทันสมัยขึ้น ทุกคนต่างเห็นดีเห็นงามด้วยโดยไม่สงสัยแม้แต่น้อย
การเดินทางเข้าเมืองหลวงของเยว่ซินในครั้งนี้เปรียบเสมือนการออกไปล่าขุมทรัพย์โดยมีเพียงแผนที่ในความทรงจำเป็นเครื่องนำทาง
เธอไม่ได้ไปที่โรงงานทอผ้า แต่กลับมุ่งตรงไปยังตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่นักเก็งกำไรว่าเป็นตลาดหลักทรัพย์นอกระบบแห่งแรกของเมือง บรรยากาศข้างในนั้นช่างวุ่นวายและน่ากลัว เสียงตะโกนต่อรองราคาดังลั่น บนกระดานดำมีเพียงชื่อบริษัทและตัวเลขที่เขียนด้วยชอล์กอย่างลวก ๆ มันดูไม่ต่างอะไรกับบ่อนการพนันดี ๆ นี่เอง
เยว่ซินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เธอรวบรวมความกล้าแล้วนำเงินกำไรก้อนใหญ่ที่สุดของร้านที่เธอแอบเบิกออกมา ทุ่มซื้้อหุ้นของบริษัทเป้าหมายสองสามแห่งที่เธอหมายตาไว้จนเกือบหมดหน้าตัก พนักงานที่รับเงินของเธอมองเธอด้วยสายตาเหมือนเห็นคนโง่ที่เอาเงินมาโยนทิ้ง
จากนั้นขากลับ เธอได้แวะที่สำนักงานที่ดินประจำอำเภอ แล้วใช้เงินส่วนที่เหลือทั้งหมดซื้อที่ดินรกร้างผืนนั้นในราคาที่ถูกราวกับได้เปล่า เจ้าหน้าที่ที่ทำเรื่องให้ถึงกับต้องถามย้ำถึงสามครั้งสามคราด้วยความไม่แน่ใจ
เยว่ซินเดินออกมาจากสำนักงานที่ดินในวันนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว เธอได้นำอนาคตทั้งหมดของครอบครัวไปวางเดิมพันแล้ว
***
หลายเดือนต่อมา เวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงกลางปี 1985
ชีวิตในร้านใบไหวดีไซน์ยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกคนในครอบครัวต่างทำงานในส่วนของตนอย่างแข็งขัน ต้าเฉียงเริ่มมีความสามารถด้านการคำนวณบัญชีมากขึ้น ส่วนซิวอิงก็เริ่มมีหัวคิดในการออกแบบเครื่องประดับใหม่ ๆ พ่อหลินกับแม่หลินก็ช่วยดูแลจัดการเรื่องทั่วไปในร้านได้อย่างไม่มีที่ติ
ไม่มีใครรู้เลยว่าภายใต้รอยยิ้มที่สงบนิ่งของเยว่ซินนั้น เธอกำลังอดทนรอคอยผลลัพธ์ของการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์อย่างใจจดใจจ่อทุกวัน ทุกครั้งที่เธออ่านหนังสือพิมพ์ เธอจะคอยมองหาข่าวการปฏิรูปเศรษฐกิจและแผนการพัฒนาเมืองด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ เธอกลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนแปลงไป
ข่าวแรกมาจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น รัฐบาลอำเภอได้ประกาศแผนการพัฒนาเมืองฉบับใหม่อย่างเป็นทางการ โดยจะมีการย้ายที่ว่าการอำเภอและหน่วยงานราชการอื่น ๆ ทั้งหมดไปสร้างเป็นศูนย์ราชการแห่งใหม่ทางทิศตะวันออกของเมือง
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ราคาที่ดินในบริเวณนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นราวกับติดปีก จากที่ดินรกร้างไร้ค่า บัดนี้มันได้กลายเป็นที่ดินทองคำที่มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าเดิมถึงห้าสิบเท่า และยังไม่ทันที่ครอบครัวจะได้หายตกใจ ข่าวดีระลอกที่สองก็ซัดกระหน่ำเข้ามาอีก
จดหมายจากนายหน้าที่เยว่ซินจ้างไว้ในเมืองหลวงถูกส่งมาถึง แจ้งว่าหุ้นที่เธอซื้อไว้เมื่อหลายเดือนก่อนนั้น บัดนี้ได้มีมูลค่าสูงขึ้นกว่าสามสิบเท่า เนื่องจากบริษัทเหล่านั้นได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ
เยว่ซินรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเปิดเผยความจริงทุกอย่าง...
ค่ำคืนนั้น เธอเรียกประชุมครอบครัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและจริงจัง เธอไม่ได้พูดพล่ามทำเพลง แต่กลับเดินไปหิ้วหีบไม้ใบใหญ่ที่เธอเตรียมไว้ออกมาวางไว้กลางโต๊ะ
ปัง!
เธอเปิดฝาหีบออก สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนคือธนบัตรใบละสิบหยวนใหม่เอี่ยมที่อัดแน่นอยู่เต็มหีบ มันคือเงินสดจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีใครในครอบครัวนี้เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
ทุกคนนิ่งอึ้งราวกับถูกสาปให้เป็นหิน...
“เยว่ซิน!” แม่หลินเป็นคนแรกที่ได้สติ เธอโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ลูก... ลูกไปเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน หรือว่าลูกไปทำอะไรผิดกฎหมายมา!” ความคิดแรกของเธอคือความหวาดกลัว
ต้าเฉียงอ้าปากค้างพยายามจะนับ แต่ก็ต้องยอมแพ้ “นี่... นี่มันเท่าไหร่กันแน่...”
มีเพียงพ่อหลินที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบที่สุด เขามองกองเงินตรงหน้าสลับกับมองใบหน้าของลูกสาวคนเล็กด้วยแววตาที่ซับซ้อนยากจะอธิบาย ชายผู้ซึ่งทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาทั้งชีวิตเพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่เหมา บัดนี้กำลังเผชิญหน้ากับความจริงที่อยู่เหนือจินตนาการของเขาไปไกล
เยว่ซินหยิบโฉนดที่ดินและใบหุ้นออกมาวางไว้ข้าง ๆ กองเงิน “นี่คือคำตอบค่ะ”
เธอเริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างช้า ๆ ตั้งแต่การแอบนำเงินไปซื้อหุ้นที่เมืองหลวง ไปจนถึงการซื้อที่ดินรกร้างที่ไม่มีใครต้องการ เธอพยายามอธิบายแนวคิดเรื่องการลงทุนด้วยภาษาที่ง่ายที่สุด
“หนูไม่ได้เล่นการพนันค่ะพ่อ” เธอกล่าวสรุป “หนูเพียงแค่มองเห็นโอกาสที่คนอื่นยังมองไม่เห็น หนูใช้ความรู้ที่เรามีเปลี่ยนเงินก้อนเล็กให้กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการใช้เงินต่อเงินค่ะ แทนที่เราจะทำงานเพื่อเงิน เราก็ต้องทำให้เงินทำงานเพื่อเรา”
พวกเขาค่อย ๆ ทำความเข้าใจและเปลี่ยนจากความตกตะลึงกลายเป็นความตื่นเต้นดีใจอย่างสุดขีด พวกเขาร่ำรวยแล้ว! ร่ำรวยอย่างแท้จริง!
ทุกคนต่างโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ มีเพียงหลินเจี้ยนกั๋วที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม...
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ เขาก้มลงมองฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง ฝ่ามือที่หยาบกร้านและเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจากการทำงานในไร่นามาตลอดชีวิต จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองลูกสาวคนเล็กของเขา เด็กสาวที่บอบบางคนนี้กลับสามารถพลิกแผ่นดินสร้างความมั่งคั่งที่เขาเองไม่เคยทำได้มาตลอดชีวิต
“ตลอดชีวิตที่ผ่านมา...” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พ่อเชื่อมาตลอดว่าการก้มหน้าก้มตาทำงานในไร่นาคือหนทางเดียวที่จะทำให้เรามีชีวิตรอด แต่ลูก... ลูกได้แสดงให้พ่อเห็นแล้วว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่กว่าที่พ่อเคยรู้จักมากนัก”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะประกาศการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
“วันเวลาในการทำไร่ของพ่อได้จบลงแล้ว”
“นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เรี่ยวแรงและประสบการณ์ทั้งหมดของพ่อคนนี้ ขอมอบให้กับกิจการของลูกแต่เพียงผู้เดียว บอกพ่อมาได้เลยนะเยว่ซินว่าจะให้พ่อทำอะไร พ่อคนนี้ขอเป็นลูกจ้างที่ซื่อสัตย์ที่สุดของลูกเอง!”
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ