ค่ำคืนวันเพ็ญเดือนแปด เทศกาลไหว้พระจันทร์ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง ดวงจันทร์ทรงกลดลอยเด่นอยู่กลางผืนฟ้าสีนิล สาดส่องแสงสีเงินยวงอันนวลใยลงมาอาบไล้โลกเบื้องล่าง สำหรับชาวจีนแล้ว นี่คือค่ำคืนแห่งการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัวโดยแท้จริง
ณ บ้านหลังใหม่ของตระกาลหลินในตัวอำเภอ บรรยากาศอบอวลไปด้วยไออุ่นและความสุขอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ภาพในอดีตเมื่อปีที่แล้ว พวกเขาทั้งห้าชีวิตยังคงต้องเบียดเสียดกันอยู่ในกระท่อมดินหลังเก่า มื้อค่ำในวันไหว้พระจันทร์มีเพียงมันเทศต้มกับเศษขนมไหว้พระจันทร์ราคาถูกที่แตกหักซึ่งแม่หลินไปขอแบ่งซื้อมาจากร้านค้า แต่ในวันนี้ทุกอย่างได้แปรเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ
ภายในห้องครัวที่สะอาดสะอ้านและกว้างขวาง แม่หลินกับซิวอิงกำลังช่วยกันปรุุงอาหารมื้อใหญ่ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยหุบลงได้เลย กลิ่นหอมของหมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๊วที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่มลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน เสียงน้ำมันที่เดือดฉ่าขณะที่ต้าเฉียงกำลังช่วยผัดผักกวางตุ้งสด ๆ และไออุ่นจากซุปไก่ตุ๋นยาจีนที่พ่อหลินบรรจงปรุงด้วยตัวเอง ทุกอย่างล้วนเป็นภาพสะท้อนของชีวิตที่กินดีอยู่ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
“เยว่ซิน มาลองชิมนี่สิลูก” แม่หลินคีบเนื้อหมูชิ้นที่นุ่มที่สุดจากหม้อมาจ่อที่ปากของลูกสาวคนเล็ก “ดูซิว่ารสชาติพอดีแล้วหรือยัง”
เยว่ซินอ้าปากรับชิมแล้วพยักหน้าหงึก ๆ “อร่อยที่สุดเลยค่ะแม่ ฝีมือของแม่ไม่เคยตกเลยจริง ๆ”
คำชมของเธอทำให้ผู้เป็นแม่ยิ้มแก้มปริ เธอมองลูกสาวทั้งสามคนที่ยืนอยู่ในครัวพร้อมหน้า ซิวอิงที่กำลังบรรจงจัดปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊วใส่จาน ต้าเฉียงที่แม้จะตัวโตแต่ก็คอยช่วยหยิบจับนั่นนี่อย่างไม่เกี่ยงงอน และเยว่ซินผู้ซึ่งเป็นดั่งดวงตะวันดวงใหม่ที่นำพาแสงสว่างมาสู่ครอบครัว น้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมาที่ขอบตาอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อถึงเวลาอาหารทุกอย่างก็ถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องโถง
ภาพตรงหน้าเปรียบเสมือนภาพวาดแห่งความสมบูรณ์ที่ทุกคนในบ้านไม่เคยแม้แต่จะกล้าฝันถึง บนโต๊ะไม่ได้มีเพียงข้าวสวยร้อน ๆ แต่ยังอุดมไปด้วยกับข้าวนานาชนิด ทั้งหมูตุ๋นสีน้ำตาลแดงมันวาว ปลาทับทิมเนื้อขาวนึ่งซีอิ๊วโรยด้วยขิงและต้นหอมซอย ผัดผักสีเขียวสด ซุปไก่ที่ส่งกลิ่นหอมของสมุนไพร และที่ขาดไม่ได้คือขนมไหว้พระจันทร์ไส้ต่าง ๆ ที่วางเรียงรายอยู่กลางโต๊ะ
ทุกคนนั่งลงประจำที่ของตน ในชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา มีเพียงความเงียบที่เต็มตื้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
หลินเจี้ยนกั๋วสบตากับจ้าวซู่เฟินภรรยาของเขา บทสนทนาที่ไร้เสียงแต่ก้องดังในใจได้เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง ในแววตาของพวกเขานั้นมีทั้งความเหนื่อยยากตลอดครึ่งชีวิตที่ผ่านมา ความซาบซึ้งในโชคชะตา และความตื้นตันใจที่ได้เห็นลูก ๆ ทุกคนอยู่อย่างสุขสบายในวันนี้
“เอาล่ะ ๆ มัวมองอะไรกันอยู่!” ต้าเฉียงผู้ทำลายความเงียบเสมอเอ่ยขึ้น “ลงมือกินกันได้แล้ว! ท้องฉันร้องประท้วงจนจะพังอยู่แล้วเนี่ย!”
สิ้นคำพูดนั้น ทุกคนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วเริ่มลงมือรับประทานอาหารมื้อที่พิเศษที่สุดในชีวิต
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น พ่อกับแม่คอยคีบกับข้าวที่ดีที่สุดใส่ลงในชามของลูก ๆ ไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะชามของเยว่ซินที่ตอนนี้พูนขึ้นไปเรื่อย ๆ จนแทบจะกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม
“กินเยอะ ๆ นะลูกสาวพ่อ” พ่อหลินคีบเนื้อปลาส่วนท้องที่ไร้ก้างที่สุดให้เยว่ซิน “ช่วงนี้ลูกใช้สมองเยอะ ต้องบำรุงให้มาก ๆ”
“น้องเล็กกินนี่ด้วยสิ ผักเยอะ ๆ จะได้สวย ๆ” ซิวอิงคีบผักกวางตุ้งตามไปสมทบ
เยว่ซินมองกับข้าวที่ล้นชามของตัวเองแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา ไม่ว่าพวกเขาจะร่ำรวยขึ้นแค่ไหน แต่ความรักและความใส่ใจที่ครอบครัวมีให้กันนั้นกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ทุกคนอิ่มหนำสำราญกับของคาวแล้ว พ่อหลินก็รินเหล้าขาวจากข้าวฟ่างใส่จอกเล็ก ๆ ของตนเองจนเต็ม เขาผู้ซึ่งแทบจะไม่เคยแตะต้องของมึนเมาเลย บัดนี้กลับมีสีหน้าที่ผ่อนคลายและเปี่ยมสุขอย่างเห็นได้ชัด
เขาลุกขึ้นยืนช้า ๆ ทำให้ทุกคนบนโต๊ะหยุดการกระทำแล้วหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของพ่อ...” เขาเริ่มต้นพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเพียงเครื่องย้ำเตือนถึงความจนของเรา พ่อจำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง เรามีเงินพอซื้อขนมไหว้พระจันทร์ได้แค่ชิ้นเดียว แล้วเราก็ต้องเอามันมาหั่นแบ่งกันห้าส่วน...”
ความทรงจำในอดีตทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเศร้าลงเล็กน้อย แม่หลินถึงกับต้องยกชายแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา
“พ่อเคยคิดว่าหน้าที่ของคนเป็นพ่อก็มีแค่การหาทางทำให้ลูกเมียมีข้าวกินไปวัน ๆ ไม่ต้องอดตายก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว พ่อไม่เคยกล้าฝัน ไม่เคยกล้าจินตนาการเลยสักนิดว่าจะมีวันอย่างวันนี้วันที่เราได้นั่งอยู่ในบ้านที่อบอุ่น มีอาหารดี ๆ วางอยู่เต็มโต๊ะ และที่สำคัญที่สุดมีความหวังอยู่เต็มหัวใจ”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความภาคภูมิใจอย่างสุดซึ้งไปยังลูกสาวคนเล็กของเขา
“เยว่ซิน...”
เพียงแค่เอ่ยชื่อ น้ำเสียงของเขาก็สั่นสะท้านขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีในวันนี้ล้วนเป็นเพราะลูก ลูกคือพรจากสวรรค์ที่ฟ้าประทานมาให้กับครอบครัวของเราอย่างแท้จริง”
“ใคร ๆ อาจจะบอกว่าพ่อคือเสาหลักของบ้านหลังนี้ แต่เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่าความจริงเป็นเช่นไร ลูกต่างหากคือเสาหลักที่แท้จริงของพวกเรา!”
หลินเจี้ยนกั๋วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวประโยคที่เขาเก็บไว้ในใจมาตลอดออกมา “พ่อ... พ่อภูมิใจในตัวลูกที่สุด พ่อคือพ่อที่มีความสุขและภูมิใจในตัวลูกสาวมากที่สุดในโลก!”
โฮ...
ในที่สุดแม่หลินก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีก เธอร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ต้าเฉียงกับซิวอิงเองก็มีน้ำตาคลอหน่วย มองน้องสาวคนเล็กด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความเคารพ และความเทิดทูน
เยว่ซินเองก็เช่นกัน น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มของเธอเป็นทาง คำพูดของบิดาในวันนี้คือการยอมรับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือรางวัลที่ล้ำค่าที่สุดที่เธอเคยได้รับมาในรอบสองชาติภพ
“พ่อคะ” เธอเอ่ยเสียงเครือ “ไม่ใช่เพราะหนูคนเดียวหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะพวกเราทุกคนต่างหาก ที่เราทำสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเราทำมันด้วยกันค่ะ”
คำพูดที่ถ่อมตนและให้เกียรติทุกคนของเธอยิ่งทำให้ครอบครัวรักและเอ็นดูเธอมากขึ้นไปอีก
ค่ำคืนนั้นจบลงด้วยเสียงหัวเราะและคราบน้ำตาแห่งความสุข
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนแล้ว เยว่ซินก็มายืนรับลมอยู่ที่นอกชานเพียงลำพัง เธอเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่เต็มดวงบนท้องฟ้า แล้วภาพใบหน้าที่มีความสุขของทุกคนในครอบครัวก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง
เธอยกมือขึ้นกุมที่หน้าอกข้างซ้าย สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นอย่างอบอุ่นและเปี่ยมสุข
ความสุขนี้ ไออุ่นนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหล่านี้...
เธอหลับตาลงช้า ๆ แล้วกล่าวคำปฏิญาณกับตัวเองในใจ คำปฏิญาณที่หนักแน่นราวกับภูผาและลึกซึ้งราวกับมหาสมุทร...
‘ในชาติที่แล้วฉันสูญเสียมันไปทั้งหมด แต่ในชาตินี้ฉันขอสาบานด้วยวิญญาณของฉันว่าฉันจะปกป้องมันไว้ให้ได้ ฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนหรืออะไรก็ตามมาพรากสิ่งเหล่านี้ไปจากพวกเขาได้อีกเป็นอันขาด!’
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ