ในขณะที่กิจการใบไหวดีไซน์กำลังเติบโตและแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปอย่างแข็งแกร่ง พายุร้ายก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นภายในคฤหาสน์ของตระกูลซู
ซูเหม่ยลี่ หลังจากพ่ายแพ้และถูกหยามหน้ากลับมาอย่างย่อยยับ ความริษยาอาฆาตที่เธอมีต่อหลินเยว่ซินก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่ฝังลึกลงไปในจิตวิญญาณ เธอทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นศัตรูของตนเองประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับมากขึ้นทุกวัน ในเมื่อใช้วิธีสกปรกทำลายชื่อเสียงไม่ได้ผล เธอจึงตัดสินใจว่าจะเอาชนะหลินเยว่ซินในเกมของเธอเอง
เธอใช้เวลาหลายวันในการออดอ้อน และเป่าหูซูเจิ้งกั๋วผู้เป็นบิดาให้คล้อยตามแผนการอันสุดโต่งของเธอ
“พ่อคะ!” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความทะเยอทะยาน “ในเมื่อกิจการเสื้อผ้ามันทำเงินได้ดีนัก ทำไมเราไม่ทำเองเสียเลยล่ะคะ? ด้วยเงินทุนของตระกูลเรา เครือข่ายที่เรามี และโรงงานทอผ้าของเราเอง เราสามารถผลิตเสื้อผ้าออกมาได้มากกว่านังเด็กนั่นเป็นร้อยเป็นพันเท่า! เราจะตัดราคาขายให้ถูกกว่า แล้วก็ใช้เส้นสายของเรากระจายสินค้าไปทั่วทั้งมณฑล ถึงตอนนั้น ร้านเล็ก ๆ ของมันก็ไม่ต่างอะไรกับเศษธุลีที่รอวันถูกพายุพัดหายไป!”
ในตอนแรกซูเจิ้งกั๋วก็ยังลังเล แต่ด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีที่ถูกหลินเยว่ซินเหยียบย่ำจนจมดิน ประกอบกับความต้องการที่จะเอาชนะและกู้หน้ากลับคืนมา ในที่สุดเขาก็หลงเชื่อในแผนการอันสวยหรูของลูกสาว
ทว่านี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตของเขา การกระทำโดยปราศจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
ตระกูลซูทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการเปิดสายการผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นเป็นของตนเอง พวกเขาไม่ได้เสียเวลาไปกับการออกแบบ แต่เลือกใช้วิธีที่ง่ายที่สุดนั่นคือการลอกเลียนแบบ
ซูเหม่ยลี่ส่งคนไปสอดแนมและซื้อเสื้อผ้าแบบที่ขายดีที่สุดของร้านเยว่ซินมาแกะแบบ และยังสั่งให้นำแบบเสื้อจากนิตยสารแฟชั่นฮ่องกงมาดัดแปลงอีกเล็กน้อย จากนั้นก็สั่งให้โรงงานเร่งการผลิตออกมาเป็นจำนวนมากโดยเน้นที่ปริมาณแต่ไม่สนใจคุณภาพ ผ้าที่ใช้ก็เป็นเกรดต่ำที่สุดเพื่อลดต้นทุน การตัดเย็บก็หยาบและไม่ได้มาตรฐาน...
พวกเขาคิดอย่างตื้นเขินว่าขอเพียงแค่มีดีไซน์ที่คล้ายคลึงกันและราคาที่ถูกกว่า ก็จะสามารถแย่งลูกค้ามาจากหลินเยว่ซินได้อย่างง่ายดาย
แต่พวกเขาคิดผิด!
เสื้อผ้าของตระกูลซูที่วางจำหน่ายนั้น แม้จะมีสีสันฉูดฉาดและราคาถูกกว่า แต่เมื่อได้สัมผัสและลองสวมใส่ คุณภาพที่แตกต่างราวฟ้ากับเหวก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ลูกค้าที่เคยชินกับคุณภาพอันประณีตของใบไหวดีไซน์ต่างพากันส่ายหน้าและเดินหนี พวกเขาไม่ได้โง่พอที่จะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อของเลียนแบบที่ไร้คุณภาพ
ผลลัพธ์คือเสื้อผ้าที่ผลิตออกมานับหมื่น ๆ ตัว กลายเป็นเพียงกองทัพหุ่นไล่กาที่ไร้วิญญาณ นอนตายกองอยู่ในโกดังสินค้าไม่มีใครต้องการ!
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำในคฤหาสน์ตระกูลซูนั้นเย็นเยียบราวกับอยู่ในสุสาน ไม่มีเสียงพูดคุย มีเพียงเสียงกระทบกันของช้อนส้อมที่ฟังดูน่าอึดอัด ซูเจิ้งกั๋วมีสีหน้าดำคล้ำเคร่งเครียดตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แรงกดดันจากธนาคารและบรรดาหุ้นส่วนกำลังถาโถมเข้าใส่เขาอย่างหนัก
ในที่สุดเขาก็วางตะเกียบลงเสียงดังเคร้ง แล้วหันไปตวาดใส่ลูกสาวตัวดี
“นี่คือแผนการที่แกบอกว่ามันจะสำเร็จงั้นเหรอเหม่ยลี่! ตอนนี้สินค้ากองเต็มโกดังขายไม่ออกแม้แต่ชิ้นเดียว! เงินทุนที่ฉันลงไปทั้งหมดกำลังจะกลายเป็นศูนย์!”
ซูเหม่ยลี่สะดุ้งสุดตัว เธอไม่เคยถูกบิดาตวาดเสียงดังเช่นนี้มาก่อน เธอรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน “มัน... มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะคะพ่อ! มันต้องเป็นฝีมือของนังสารเลวหลินเยว่ซินแน่ ๆ!”
“หมายความว่ายังไง!?” ซูเจิ้งกั๋วคำราม
“เธอต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรกอะไรบางอย่างแน่ ๆ ค่ะ!” ซูเหม่ยลี่เริ่มปั้นน้ำเป็นตัวอย่างคล่องแคล่ว “เธออาจจะไปปล่อยข่าวว่าเสื้อผ้าของเราไม่มีคุณภาพ หรือไม่ก็อาจจะติดสินบนพวกร้านค้าไม่ให้รับของเราไปขาย เธอมันเป็นอสรพิษ เธอวางแผนจะทำลายครอบครัวเรามาตั้งแต่แรกแล้ว นี่อาจจะเป็นการแก้แค้นของเธอก็ได้นะคะ!”
คำพูดที่ไร้ซึ่งมูลความจริงของซูเหม่ยลี่ กลับกลายเป็นสิ่งที่ซูเจิ้งกั๋วและเผยฮุ่ยหลันอยากจะเชื่อมากที่สุด เพราะมันง่ายกว่าการยอมรับว่าพวกเขาตัดสินใจผิดพลาดและไร้ความสามารถ
รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง พวกเขาเลือกที่จะโยนความผิดทั้งหมดไปให้ศัตรูที่มองไม่เห็น แทนที่จะหันกลับมามองความล้มเหลวของตนเอง
“นังเด็กเนรคุณนั่น!” เผยฮุ่ยหลันตบโต๊ะอย่างเจ็บแค้น “ฉันบอกแล้วว่านางเด็กนั่นเป็นอสรพิษ ที่แท้หล่อนก็วางแผนทำลายพวกเราอยู่นี่เอง!”
ซูเจิ้งกั๋วเองก็คล้อยตามไปด้วย ความโกรธที่เกิดจากความล้มเหลวได้แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่มีต่อหลินเยว่ซินอย่างเต็มรูปแบบ
“ฉันจะไม่มีวันยอมให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นได้ใจไปมากกว่านี้แน่!”
พวกเขาได้ ขุดหลุมฝังตัวเอง ลงไปลึกขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว...
ความล้มเหลวของสายการผลิตเสื้อผ้าได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ที่ร้ายแรงกว่าที่คิด มันได้สร้างรอยร้าวขนาดใหญ่ให้กับรากฐานทางการเงินของบริษัทซือกรุ๊ป
เงินทุนหมุนเวียนที่เคยมีสภาพคล่องบัดนี้กลับติดขัดอย่างหนัก พวกเขาเริ่มค้างชำระค่าวัตถุดิบกับคู่ค้าหลายราย ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมานานหลายสิบปีเริ่มสั่นคลอน ซูเจิ้งกั๋วต้องบากหน้าไปกู้เงินนอกระบบที่มีดอกเบี้ยมหาโหดมาเพื่อพยุงให้บริษัทดำเนินต่อไปได้
หนี้สินที่ล้นพ้นตัวได้กลายเป็น เป็นบ่วงที่รัดแน่นขึ้นทุกวัน...
ข่าวปัญหาทางการเงินของตระกูลซูเริ่มรั่วไหลออกไปสู่ภายนอก ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาในแวดวงธุรกิจของอำเภอ แต่แทนที่ผู้คนจะเห็นใจ พวกเขากลับมองว่านี่คือผลกรรมที่ตระกูลซูสมควรได้รับจากการพยายามจะไปรังแกเด็กสาวตัวคนเดียว
ค่ำคืนนั้น ทุกคนในครอบครัวหลินกำลังนั่งล้อมวงกันช่วยนับเงินรายได้จากทั้งสองสาขาอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะและเสียงหยอกล้อดังขึ้นเป็นระยะ ๆ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความหวังในอนาคต
ความแตกต่างที่ราวกับอยู่คนละโลกนี้คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนที่สุดของสัจธรรม ผู้ที่หยิ่งทะนงและเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ย่อมมีแต่จะนำพาตนเองไปสู่ความพินาศ ในขณะที่ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนและมุ่งมั่นทำความดี ย่อมได้รับการช่วยเหลือจากสวรรค์เสมอ
ดึกสงัดในห้องทำงานของคฤหาสน์ตระกูลซู...
ซูเจิ้งกั๋วนั่งทรุดอยู่บนเก้าอี้หนังราคาแพง ใบหน้าของเขาซูบตอบและเต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบ เขาวางหูโทรศัพท์ลงด้วยมือที่สั่นเทา ปลายสายคือผู้จัดการธนาคารที่โทรมาแจ้งข่าวร้าย คำขอขยายเวลาชำระหนี้ของเขาถูกปฏิเสธ
สายตาของเขาเลื่อนไปมองกองเอกสารบนโต๊ะ ใบแจ้งหนี้ จดหมายทวงหนี้ หนังสือบอกเลิกสัญญา ตัวอักษรสีแดงที่ประทับอยู่บนเอกสารเหล่านั้นราวกับหยดเลือดที่กำลังจะสูบชีวิตของเขาไปจนหมดสิ้น
***
กาลเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงปลายปี ธุรกิจของตระกูลซูอยู่ในภาวะล้มละลายโดยสมบูรณ์ พวกเขาถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้นับสิบราย และคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่าก็กำลังจะถูกธนาคารยึดในไม่ช้า
เมื่อถูกบีบคั้นจนกลายเป็นหมาจนตรอก ซูเจิ้งกั๋วและซูเหม่ยลี่ก็ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่โง่เขลาและเลวร้ายที่สุดนั่นคือการที่พวกเขาเลือกที่จะทำลายชื่อเสียงของหลินเยว่ซินให้ป่นปี้ไปพร้อมกับพวกเขา
ซูเจิ้งกั๋วใช้เส้นสายสุดท้ายที่พอจะมีอยู่ ติดต่อนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ประจำมณฑล แล้วให้สัมภาษณ์พิเศษพร้อมกับลูกสาวสุดที่รักของเขา ทั้งสองได้ร่วมกันสร้างเรื่องราวสุดสะเทือนใจที่บิดเบือนความจริงไปอย่างสิ้นเชิง
เช้าวันรุ่งขึ้น บทความพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งภูมิภาค
มหาเศรษฐีท้องถิ่นสิ้นเนื้อประดาตัว เบื้องหลังคือแผนการล้างแค้นของลูกสาวอกตัญญู!?
เนื้อหาในบทความนั้นเต็มไปด้วยคำโกหกที่ถูกปรุงแต่งอย่างแนบเนียน ซูเจิ้งกั๋วเล่าด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารว่าตนเองพยายามจะไถ่โทษด้วยการรับลูกสาวกลับมาดูแล แต่กลับถูกปฏิเสธและถูกเธอแอบขโมยความลับทางการค้าไปใช้เปิดบริษัทคู่แข่ง จากนั้นก็ถูกเธอใช้วิธีการสกปรกต่าง ๆ นานา ทั้งติดสินบนคู่ค้าและปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียง จนธุรกิจที่สร้างมากับมือต้องพังพินาศลงในที่สุด ส่วนซูเหม่ยลี่ก็ให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่าเธอพยายามจะผูกมิตรกับพี่สาว แต่กลับถูกเกลียดชังและทำร้ายจิตใจมาโดยตลอด
บทความนี้เป็นดั่งห่าฝนพิษที่โปรยปรายลงมาทำลายชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอย่างรุนแรง มันถูกตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ที่เป็นทางการ ทำให้ดูน่าเชื่อถือกว่าข่าวลือปากต่อปากหลายเท่าตัว ผู้คนที่เคยชื่นชมเยว่ซินเริ่มลังเลและตั้งคำถาม
“หรือว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นจริง?”
“บางทีเธออาจจะร้ายกาจกว่าที่คิดก็ได้” กระแสสังคมเริ่มตีกลับอย่างรวดเร็ว
…
ณ ค่ายทหารที่ห่างไกล ลู่เฟิงกำลังจะหมดช่วงเวลาพักร้อนและเตรียมตัวเดินทางกลับไปยังชายแดน แต่แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นบทความเจ้าปัญหานี้ในห้องอาหารของค่ายเข้าพอดี
เคร้ง!
ช้อนในมือของเขาร่วงหล่นลงกระทบจานเสียงดัง
รัศมีฆ่าฟันที่เย็นเยียบและรุนแรงได้แผ่พุ่งออกมาจากตัวเขาราวกับพายุหิมะ สหายทหารที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันถึงกับสะดุ้งและรีบขยับตัวออกห่างโดยอัตโนมัติ
เขารู้สึกโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา เขาไม่ได้โกรธที่ข่าวลือมันไร้สาระ แต่โกรธที่พวกตระกูลซูมันกล้าที่จะทำร้ายผู้หญิงของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักจบสิ้น และครั้งนี้พวกมันยังกล้าใช้สื่อสาธารณะเป็นเครื่องมืออีกด้วย
‘ในเมื่อพวกแกเลือกที่จะประกาศสงคราม ฉันก็จะสนองให้!’
ลู่เฟิงไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาลุกพรวดขึ้นแล้วตรงไปยังห้องสื่อสารทางไกลของค่ายทหารทันที เขาต่อสายโทรศัพท์ทางไกลกลับไปยังบ้านพักตระกูลลู่ที่กรุงปักกิ่ง ต่อสายตรงถึงปู่ของเขา
“ปู่ครับ ผมลู่เฟิงเองครับ” เขากรอกเสียงลงไปในสายด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดขาด “ตอนนี้มีเรื่องด่วนเกิดขึ้นที่นี่ครับ มีตระกูลหนึ่งชื่อตระกูลซู กำลังใช้หนังสือพิมพ์ของมณฑลเป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ใช่ครับ... คือเธอคนนั้นที่ผมเคยเล่าให้ฟังในจดหมาย”
“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไปแล้วครับ แต่มันคือการใช้สื่อในทางที่ผิดเพื่อทำลายชีวิตคน ๆ หนึ่ง ผมต้องการให้ปู่ช่วยระงับเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดครับ”
การสนทนาจบลงในเวลาไม่ถึงสามนาที แต่ผลลัพธ์ของมันกลับรุนแรงและรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา บรรณาธิการใหญ่ของสำนักพิมพ์ประจำมณฑลก็ได้รับโทรศัพท์สายตรงจากบุคคลที่ทรงอำนาจที่สุดในกรมประชาสัมพันธ์ของพรรค ปลายสายไม่ได้ข่มขู่ แต่เป็นเพียงการแนะนำด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่าบทความที่เพิ่งตีพิมพ์ไปนั้นมีเนื้อหาที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์และอาจสร้างความแตกแยกในสังคมได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ยุติการเผยแพร่และนำหนังสือพิมพ์ฉบับที่เหลือทั้งหมดออกจากแผงโดยเร็วที่สุด...
บรรณาธิการใหญ่ผู้นั้นแทบจะล้มทั้งยืน เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่คำแนะนำ แต่คือคำสั่งจากสวรรค์ที่เขาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
หนังสือพิมพ์ฉบับเจ้าปัญหาวันนั้นถูกเก็บออกจากแผงทั้งหมดในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน นักข่าวที่เขียนบทความชิ้นนั้นก็ถูกย้ายให้ไปประจำการที่เมืองทุรกันดารชายขอบในวันรุ่งขึ้น เรื่องราวอื้อฉาวที่กำลังจะโด่งดังไปทั่วทั้งภูมิภาค ถูกดับลงกลางอากาศราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การกระทำที่เด็ดขาดและรวดเร็วของลู่เฟิงในครั้งนี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของเหล่าชนชั้นสูงและผู้มีอิทธิพลในแวดวงต่าง ๆ เลยแม้แต่น้อย พวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าการจะทำให้หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ยอมถอนข่าวกลางคันได้นั้น จะต้องเป็นอำนาจจากระดับไหน และเมื่อสืบสาวราวเรื่องไปทุกอย่างก็ชี้ไปที่จุดเดียวกัน ตระกูลลู่!
“เธอได้ยินเรื่องนั้นรึยัง? หลานชายของท่านนายพลลู่ใช้บารมีของตระกูลสั่งเก็บข่าวหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับ เพื่อปกป้องเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง!”
“ฉันก็ได้ยินมา เขาต้องหลงรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วแน่ ๆ ถึงได้กล้าทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้!”
“ช่างเป็นเรื่องราวความรักที่โรแมนติกอะไรขนาดนี้นะ ประหนึ่งเรื่องรักสุดขอบฟ้าโดยแท้ ฉันล่ะอยากจะเห็นหน้าแม่สาวชาวบ้านผู้โชคดีคนนั้นจริง ๆ”
ข่าวหลานชายนายพลใหญ่หลงรักสาวชาวบ้านได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในแวดวงสังคมชั้นสูง มันเต็มไปด้วยความชื่นชมในความรักอันทุ่มเทของลู่เฟิง และความสงสัยใคร่รู้ในตัวตนของหลินเยว่ซิน ผู้หญิงที่สามารถทำให้ภูเขาน้ำแข็งอย่างลู่เฟิงต้องเคลื่อนตัวได้
.
.
.
ณ บ้านพักตระกูลลู่ กรุงปักกิ่ง ท่านนายพลลู่และภรรยากำลังนั่งหารือกันถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“หึ เจ้าเด็กนั่น” ท่านนายพลลู่แค่นเสียงในลำคอ แต่แววตากลับทอประกายพึงพอใจ “ในที่สุดก็รู้จักใช้ชื่อของตระกูลทำอะไรอย่างอื่นนอกจากเรื่องทหารเสียที รู้จักลงมืออย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว ถือว่าใช้ได้”
คุณนายลู่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เขาเป็นภูเขาน้ำแข็งมาตลอดชีวิต แต่ดูเหมือนว่าเด็กสาวคนนั้นจะสามารถทำให้เขาลุกเป็นไฟได้แล้วนะคะ การที่เขาจะกล้าทำอะไรที่เปิดเผยและเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ถึงขนาดนี้ แสดงว่าเธอจะต้องเป็นคนที่พิเศษสำหรับเขามากจริง ๆ”
เธอหันไปสบตากับสามี “คุณพี่คะ ฉันคิดว่าการอ่านจดหมายหรือฟังรายงานมันคงไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ”
“อีกไม่นานก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วที่หลานชายของเราจะพาใครสักคนกลับมาแนะนำให้พวกเราได้รู้จักเสียที”
เธอหยุดไปเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายอย่างมีเลศนัย
“ฉันอยากจะเห็นกับตาของตัวเองจริง ๆ ว่าสตรีแบบไหนกันแน่ที่สามารถพิชิตหัวใจของลู่เฟิงแห่งตระกูลลู่ของเราได้”
กาลเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของปี 1989 โลกได้หมุนไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง...ณ กรุงปักกิ่ง หลินเยว่ซิน หลินต้าเฉียง และหลินซิวอิงได้กลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บริษัทหลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ปได้เปิดสำนักงานใหญ่และสาขาแฟล็กชิปที่เมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย และได้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับชาติที่ทรงอิทธิพลทว่าณ อำเภอหลิวอันที่ห่างไกล ช่วงนี้ได้มีข่าวลือระลอกใหม่เกิดขึ้นในวงน้ำชาของเหล่าแม่บ้าน ข่าวลือที่เกี่ยวกับบุคคลที่แทบจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนแล้ว“นี่เธอได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง?” หญิงคนหนึ่งกระซิบกับเพื่อนบ้าน “เห็นว่านังหนูซูเหม่ยลี่อะไรนั่นกำลังจะกลับมาแล้วนะ”“หา?! กลับมาอะไรกัน?” อีกคนถามด้วยความไม่ใส่ใจ“ก็ฉันได้ยินมาว่าเธอไปเจอผู้อุปถัมภ์คนใหม่ เป็นถึงเถ้าแก่จากต่างเมืองที่ร่ำรวยมากเลยล่ะ เห็นว่าเธอกำลังจะกลับมาทวงทุกอย่างคืน เธอบอกกับคนไปทั่วว่าความจริงทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดโปง ที่แท้หลินเยว่ซินนั่นแหละคืออสรพิษตัวจริง!”ในอดีต ข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้คงจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว แต่ในวันนี้ปฏิกิริยาของผู้คนกลับแตกต
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ท่านนายพลลู่และภรรยาเดินทางกลับไปแล้ว บ้านของตระกูลหลินก็ยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและความตื่นเต้นไม่จางหาย ทุกคนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องงานมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขท่ามกลางความชื่นมื่นนั้น หลินเยว่ซินกลับรู้สึกว่าหัวใจของตนเองยังคงมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุมอยู่ เธอยอมรับการสู่ขอ แต่ทว่าเธอยังไม่เคยได้ให้คำตอบแก่เขาจากหัวใจของเธออย่างแท้จริงเลยบ่ายวันนั้น ขณะที่เธอกำลังนั่งออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ในห้องทำงาน ลู่เฟิงในชุดลำลองสบาย ๆ ก็เดินเข้ามาหาอย่างเงียบ ๆ“เยว่ซิน” เขาเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ไปเดินเล่นกับฉันหน่อยได้ไหม?”แม้จะเป็นคำเชิญที่เรียบง่าย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้ง นี่คือการนัดหมายครั้งแรกของพวกเขาในฐานะคู่หมั้นอย่างเป็นทางการเยว่ซินพยักหน้ารับเบา ๆ เธอรู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองเสียทีทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากตัวเมือง ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่สวยงามหรือโรแมนติกใด ๆ แต่กลับเดินไปตามเส้นทางดินสายเก่าที่ทอดตัวมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านหงซิง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดส
ฤดูสารทของปี 1988 ได้นำพาสายลมเย็นสบายและใบไม้สีทองโปรยปรายมาสู่เมืองหลิวอัน ครอบครัวหลินกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เปี่ยมสุขและวุ่นวายที่สุด พวกเขากำลังเตรียมการใหญ่สำหรับการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวงของต้าเฉียง ซิวอิง และเยว่ซินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเอง จดหมายฉบับหนึ่งจากลู่เฟิงก็ได้ถูกส่งมาถึง ซึ่งเนื้อหาข้างในนั้นก็ค่อนข้างที่จะสั้นกระชับ แต่ทว่ากลับทำให้หัวใจของเยว่ซินเต้นไม่เป็นส่ำ เขาเขียนว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านในสัปดาห์หน้า และครั้งนี้เขาจะไม่ได้มาคนเดียวสัญชาตญาณของเยว่ซินร้องบอกว่าการมาเยือนในครั้งนี้จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านก็จะรู้สึกได้เช่นเดียวกัน แม่หลินถึงกับลงมือทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่และสั่งให้พ่อหลินไปซื้อใบชาต้าหงเผาชั้นดีที่สุดมาเตรียมไว้ต้อนรับแขกเช้าวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส รถยนต์เก๋งหงฉีสีดำมันวาวสองคันแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้านทรงลานสี่ทิศของตระกูลหลินอย่างเงียบเชียบแต่แฝงไว้ด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม การปรากฏตัวของรถยนต์ระดับผู้นำประเทศเช่นนี้ทำให้เพื่อนบ้านที่สัญจรผ่านไปมาถึงกับต้องหยุดยืนมองด้วยความตก
ฟ้าหลังฝนสำหรับครอบครัวหลินแล้ว ท้องฟ้าของพวกเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสดใสไร้เมฆหมอกบดบัง แต่มันยังประดับประดาไปด้วยดวงดาวแห่งเกียรติยศที่ส่องประกายเจิดจรัสอีกด้วยเวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนของปี 1988 หนึ่งปีกว่านับตั้งแต่การล่มสลายของตระกูลซู ช่วงเวลาที่ปราศจากมารผจญนี้เองที่ทำให้ธุรกิจใบไหวดีไซน์ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดราวกับมังกรทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์บัดนี้ หลิวเยว่ แฟชั่นกรุ๊ป ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าในอำเภอเล็ก ๆ อีกแล้ว แต่ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีโรงงานตัดเย็บเป็นของตัวเอง มีสาขากระจายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งมณฑล และกำลังจะเริ่มขยายตลาดไปยังเมืองหลวงอย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ แบรนด์ใบไหวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟชั่นที่ทันสมัย คุณภาพดี และเป็นความภาคภูมิใจของสินค้าที่ผลิตในประเทศอย่างแท้จริงครอบครัวหลินเองก็ได้ย้ายออกจากบ้านหลังเดิมมาอาศัยอยู่ในบ้านทรงลานสี่ทิศ หลังใหญ่ที่เยว่ซินทุ่มเงินซื้อมันมาแล้วตกแต่งใหม่ทั้งหมด ที่นี่กว้างขวางและงดงามราวกับจวนของขุนนางในสมัยก่อน กลางลานบ้านมีสวนหย่อมที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีสระปลาคาร์ปเล็ก ๆ และต้นไหวที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ปร
หากคิดจะจับ ก็ต้องแสร้งปล่อยไปก่อนนี่คือกลยุทธ์ที่หลินเยว่ซินและลู่เฟิงได้วางไว้ร่วมกัน...สองวันหลังจากที่ซูเหม่ยลี่ได้จ่ายเงินก้อนสุดท้ายของเธอไป บทความชิ้นเอกอันแสนสกปรกของเฒ่าเหมาก็ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ใต้ดินฉบับหนึ่ง มันถูกนำไปแจกจ่ายตามร้านน้ำชาและแผงลอยต่าง ๆ ทั่วทั้งเมือง เรื่องราวที่ถูกปรุงแต่งขึ้นอย่างสุดฝีมือได้สร้างความสับสนให้กับผู้คนอีกครั้ง ความสงสัยระลอกใหม่เริ่มซัดสาดเข้าใส่ชื่อเสียงของหลินเยว่ซินอีกคราทางฝั่งร้านใบไหวดีไซน์ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ยอดขายตกลงเล็กน้อย และมีเสียงซุบซิบนินทาจากลูกค้ามากขึ้น หลินเยว่ซินดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะตั้งรับ เธอเก็บตัวเงียบ ไม่ได้ออกมาโต้ตอบใด ๆ ท่าทีที่ดูเหมือนยอมจำนนนี้เองที่ทำให้ซูเหม่ยลี่หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความสะใจ แต่แล้ว ในขณะที่ข่าวลือกำลังคุกรุ่นถึงขีดสุด ร้านใบไหวดีไซน์ก็ได้เคลื่อนไหวในแบบที่ไม่มีใครคาดคิดบัตรเชิญที่ถูกออกแบบอย่างสวยหรูได้ถูกส่งไปยังสำนักข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อสิ่งพิมพ์ระดับมณฑล เนื้อหาในบัตรเชิญระบุว่าทางร้านจะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ
ลมหนาวในช่วงปลายปี พัดพาเอากลิ่นอายของเทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึงให้ลอยอบอวลไปทั่วทั้งเมือง บนถนนหนทางประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงสดใส ผู้คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสจับจ่ายซื้อของเพื่อเตรียมเฉลิมฉลองวันปีใหม่ แต่สำหรับตระกูลซูแล้วฤดูหนาวในปีนี้มันช่างหนาวเหน็บและโหดร้ายเสียเหลือเกินธุรกิจที่เคยยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ล่มสลายลงโดยสมบูรณ์แล้ว...การที่ข่าวในหนังสือพิมพ์ถูกระงับไปอย่างรวดเร็วผิดปกติ เป็นดั่งสิ่งสุดท้ายที่ทำให้คู่ค้าและธนาคารต่างหมดสิ้นความเชื่อมั่นในตระกูลซู พวกเขารู้ดีว่าตระกูลซูไม่เพียงแต่กำลังจะล้มละลาย แต่ยังไปเหยียบตาปลาของผู้มีอำนาจระดับสูงเข้าให้อีกด้วย ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาอีกตอนนี้พวกเขาอยู่ในสภาวะสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างแท้จริง คฤหาสน์หลังงามกำลังจะถูกยึดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทรัพย์สินเงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอลงไปจนแทบไม่เหลือ พวกเขาไม่มีทางไปอีกแล้วค่ำคืนหนึ่ง ท่ามกลางความเงียบงันอันน่าสมเพชภายในคฤหาสน์ที่เคยโอ่อ่า ซูเจิ้งกั๋วที่บัดนี้ดูแก่ชราลงไปนับสิบปีได้เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“เรายังเหลือหนทางสุดท้าย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งแ