ทุกคนนั่งเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านมู่โฉวด้วยความเบิกบานเพราะวันนี้กุ้งหนึ่งร้อยห้าสิบจินขายหมดในพริบตาไม่นับรวมคำสั่งซื้อแปดสิบชุดของเมื่อวาน
“นี่นับเป็นนิมิตหมายอันดีหากว่าขายดีเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พวกเขาจะต้องรวยในไม่ช้าแน่นอน”
แม่เฒ่าหลี่พูดออกมาด้วยความเพ้อฝัน เฉียวลู่ที่วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าสำหรับเรื่องในอนาคตแล้วนั้นกลับไม่เห็นด้วยกับนาง
“ขายชั่วคราวนั้นได้เจ้าค่ะ แต่ถ้าหากขายแค่เพียงกุ้งย่างไม่ช้าคนที่อำเภอเป่ยจิงจะต้องเบื่อกุ้งอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเขายังเห็นเป็นอาหารแปลกใหม่จึงพากันมารุมซื้อก็เท่านั้น”
แต่แม่เฒ่าหลี่รู้สึกไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวลู่นางจึงพูดแย้งขึ้น
“อาลู่เจ้าไม่รู้อะไร ถึงกุ้งย่างหม่าล่าจะเป็นอาหารแปลกใหม่แต่ถ้าหากไม่อร่อยคงไม่มีคนมาซื้อเยอะขนาดนี้ เจ้าต้องมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเองรู้หรือไม่”
เฉียวลู่นึกอยากแย้งแม่เฒ่าหลี่แต่เอาเถอะให้นางได้เห็นกับตาตนเองนางถึงจะเชื่อที่เฉียวลู่พูด เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดนิ่งที่ทางเข้าอำเภอทุกคนที่นั่งโดยสารมากับมันต่างทยอยลงมาและทำหน้าที่ของตนที่ทำไปแล้วเมื่อวาน พวกเขาต่างลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตลาดอำเภอเป่ยจิง เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาอย่าง โล่งอกเพราะนางไม่รู้ว่าจะหาคำตอบไหนมาตอบดีถ้าหากถูกตั้งคำถามขึ้นมา
ทุกวันผ่านไปด้วยความราบรื่นร้านขายหมูปิ้งชายเคราดกย้ายไปตั้งที่อื่นที่ห่างออกไป เฉียวลู่ไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะยังขายของอยู่ที่นั่นหรือว่าจะเลิกขายไปแล้ว สิ่งที่นางกำลังตั้งตารออยู่คือเมื่อใดจะมีคนมาถามขอซื้อสูตรกุ้งย่างหม่าล่าของนางสักที ไม่ว่านิยายแนวทะลุมิติเรื่องไหนเมื่อนางเอกเป็นแม่ค้าเมื่อนั้นย่อมมีเจ้าของร้านอาหารใหญ่มาขอซื้อสูตรอาหารเมื่อนั้น
นี่ผ่านไปเกือบสิบวันแล้วถึงจะมีลูกค้ามาซื้อเยอะเหมือนทุกวัน แต่เฉียวลู่ก็สามารถมองออกว่าคนที่กินกุ้งย่างหม่าล่าของนางกำลังลดลง ดูจากคำสั่งซื้อล่วงหน้าที่วันนี้มีเพียงแค่ยี่สิบชุดถึงจะขายหมดทุกวันแต่นางก็ยังกังวลใจอยู่ดี ช่วงเวลาที่จะสามารถขายสูตรอาหารได้ราคาสูงคือช่วงที่การค้าขายกำลังเฟื่องฟูและเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง
และแล้วการรอคอยด้วยความอดทนของเฉียวลู่นั้นก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อมีชายวัยกลางคนแต่งตัวดีท่าทางมีฐานะต้องการสนทนากับเจ้าของร้านขายกุ้งย่างหม่าล่าหรือก็คือเฉียวลู่นั่นเอง เขาเชิญนางขึ้นไปที่ชั้นสองห้องทำบัญชีของเถ้าแก่ของจีหม่านโหรวนามว่าจีคัง
เฉียวลู่ยืนรออยู่หน้าห้องทำบัญชีเพื่อรอเข้าพบเถ้าแก่จี ผ่านไปไม่นานชายวัยกลางคนที่แนะนำตัวให้เฉียวลู่ทราบว่าเขาคือผู้ดูแลจีหม่านโหรวชื่อเหวินซงเปิดประตูให้เฉียวลู่เข้าไปในห้องบัญชีส่วนตัวเขายืนรออยู่ด้านนอก คนที่นั่งรอเฉียวลู่อยู่ในห้องนั้นคือชายวัยกลางคนที่อายุราวสี่สิบปีท่าทางภูมิฐานกำลังมองมาที่เฉียวลู่เหมือนต้องการมองหาบางอย่าง
เฉียวลู่ยืนให้เขาสำรวจตนเองจนพอใจ เรื่องที่ต้องถูกผู้คนจ้องมองเป็นเรื่องเคยชินของนางเพราะตลอดเวลาสิบกว่าปีเฉียวลู่อยู่ในสายตาของประชาชนอยู่ตลอด แค่การจ้องมองของบุรุษเพียงคนเดียวสำหรับนางไม่นับว่าเป็นอะไร
“ข้าน้อยเฉียวลู่คารวะเถ้าแก่จีเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ย่อตัวคารวะอย่างอ่อนช้อยงดงาม ท่าทางของนางนั้นสงบนิ่งไม่ตื่นกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษอื่นหรือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า แตกต่างจากหญิงชาวบ้านธรรมดาทั่วไปยิ่งนัก เรื่องเมื่อหลายวันก่อนที่นางทุบตีบุรุษร่างใหญ่สี่คนถูกกล่าวขานต่อๆ กันไปจนคนทั้งอำเภอเป่ยจิงรู้กันทั่วว่าแม่นางน้อยที่ร้านขายกุ้งย่างหม่าล่าอัดชายสี่คนจนต้องร้องหาบรรพบุรุษ แต่เรื่องที่ชาวเมืองพูดกันไปนั้นเฉียวลู่ไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเพราะนางเอาแต่ย่างกุ้งอยู่หลังร้าน
“ข้าชื่อจีคังเป็นเถ้าแก่ใหญ่ของจีหม่านโหรวเจ้าคงจะรู้จากผู้ช่วยเหวินแล้วกระมัง”
เฉียวลู่พยักหน้ารับ
“เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่จีของเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอเป่ยจิงมีธุระอันใดกับหญิงชาวบ้านธรรมดาเช่นข้า”
ท่าทางที่บอกว่าตนเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดาของนางนั้นมาพร้อมกับความมั่นใจเต็มเปี่ยมยิ่ง นั่นมันดูไม่ธรรมดาเลยสำหรับจีคังที่เห็นโลกมากว่าครึ่งชีวิต
“เชิญแม่นางเฉียวนั่งก่อน ความจริงที่ข้าเชิญเจ้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะหารือกับแม่นาง”
สำหรับจีคังนั้นเฉียวลู่เป็นเพียงแม่นางน้อยที่ไม่ประสาแต่ประสบการณ์ที่เขาเผชิญโลกมากว่าครึ่งชีวิตบอกเขาว่าไม่ควรสบประมาทแม่นางน้อยที่พึ่งโตคนนี้ เพราะไม่เช่นนั้นร้านกุ้งย่างหม่าล่าที่มีผู้ใหญ่มาด้วยถึงสามคนเหตุใดถึงได้ส่งแม่นางน้อยมาพบเขาถ้าหากว่านางไม่มีความสามารถจนทำให้พวกเขาเชื่อใจแล้วจะเป็นสิ่งใดได้
เถ้าแก่จีรินชาที่กำลังมีไอลอยวนออกมาจากถ้วยชาชั้นดีจากนั้นจึงดันถ้วยชาและขนมกุ้ยฮวาไปตรงหน้าของเฉียวลู่ นางพยักหน้าขอบคุณจากนั้นจึงยกชาขึ้นจิบพอเป็นพิธี ทุกอิริยาบถของเฉียวลู่ล้วนอยู่ในสายตาของบุรุษวัยกลางคน
“เชิญเถ้าแก่จีว่าธุระของท่านมาเถอะข้ารู้ว่าท่านกำลังหมายตาสูตรกุ้งย่างหม่าล่าของข้าอยู่”
เฉียวลู่นั่งให้เขาสำรวจนางอยู่นานแต่บุรุษวัยกลางคนผู้นี้กลับไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมาเสียที ตอนนี้นางกำลังยุ่งอยู่นะอยากจะคุยเรื่องสูตรกุ้งย่างหม่าล่ากับนางก็พูดมาสิทำไมต้องดึงเวลาให้ยืดเยื้อ ไม่ว่าท่านจะเล่นแง่อย่างไรสุดท้ายท่านก็ต้องทำตามเงื่อนไขของข้าอยู่ดี เถ้าแก่จีกระแอมไอเล็กน้อยไม่นึกว่านางจะเป็นคนที่ตรงไปตรงมาและมีความมั่นใจมากเช่นนี้
“เป็นดั่งที่แม่นางพูดข้าหมายตาสูตรกุ้งย่างหม่าล่าของเจ้าอยู่ ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการจะขายให้ข้าในราคาเท่าใดเชิญแม่นางว่ามาได้เลย”
เถ้าแก่จีคิดว่าแม่นางน้อยที่แสนฉลาดและมีความมั่นใจในตนเองผู้นี้จะต้องไม่ยอมขายให้เขาง่ายๆ เป็นแน่ จีคังเตรียมแผมเอาไว้รับมือเฉียวลู่ในใจมากมายแต่สิ่งที่เขาได้ยินนั้น
“หนึ่งร้อยตำลึงสำหรับหนึ่งสูตรเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ตอบทันควัน
“ข้านึกเอาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องไม่ยินยอม.....หะ!!!แม่นางเฉียวเจ้าว่าอย่างไรนะ”
เถ้าแก่จีถึงกับใบ้กินเมื่อได้รับคำตอบที่แสนง่ายดายที่ออกมาจากปากของเฉียวลู่
"ข้าบอกว่าข้ายินยอมขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าให้ท่านแต่ว่าข้ามีข้อแม้สักเล็กน้อย"
เถ้าแก่จีกลับมามีสติอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของเฉียวลู่อย่างชัดเจน เข้านั่งหลังตรงตั้งใจฟังข้อแม้ของเฉียวลู่ทันที โอกาสงามเช่นนี้ต้องรีบคว้าเอาไว้
“เมื่อข้าขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าให้ท่านแล้ว ท่านจะต้องรับซื้อกุ้งกับข้าแค่เจ้าเดียวเท่านั้นห้ามซื้อกุ้งจากคนอื่น”
เฉียวลู่เงียบไปหลังจากที่บอกข้อแม้กับเถ้าแก่จี เขานั่งรอให้เฉียวลู่ว่าต่อแต่นางก็ไม่พูดสิ่งใด
“เท่านี้หรือ”
เฉียวลู่พยักหน้า
“เจ้าค่ะเท่านี้”
เถ้าแก่จีคิดว่าข้อแม้ของเฉียวลู่จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากกว่านี้เสียอีก แค่ให้รับซื้อกุ้งจากนางไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรสำหรับเขาเลย ปกติเรื่องเช่นนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยกับการค้าของเขาเช่นกัน
“เอาล่ะเช่นนั้นเรามาร่างสัญญากันเถอะ”
เถ้าแก่จีเขียนสัญญาสองฉบับที่เหมือนกันออกมายื่นให้เฉียวลู่อ่าน นางรับมาอ่านดูคร่าวๆ มีใจความสำคัญบางข้อคือนางห้ามขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าให้คนอื่น อีกข้อคือนางจะต้องไม่ขายกุ้งย่างหม่าล่าที่อำเภอเป่ยจิงอีก และเฉียวลู่จะต้องนำกุ้งมาส่งที่จีหม่านโหรวทุกวันวันสามร้อยจินในราคาจินละสี่สิบเหวิน เฉียวลู่พยักหน้าจากนั้นนางจึงเขียนชื่อของตนและประทับลายนิ้วมือลงไป
“ท่านให้ข้ายืมกระดาษและพู่กันได้หรือไม่เจ้าคะ”
เถ้าแก่จีรีบนำพู่กันและกระดาษมายื่นให้นางทันที อีกทั้งเขายังฝนหมึกให้นางด้วยตนเอง หลังจากเขียนเสร็จเฉียวลู่เป่ากระดาษให้น้ำหมึกแห้งจากนั้นจึงยื่นให้เถ้าแก่จีดู จีคังเมื่อรับกระดาษที่มีสูตรกุ้งย่างหม่าล่ามาเขาถึงกับตกตะลึง ไม่เพียงแค่ความมั่นใจที่เปี่ยมล้นและความเฉลียวฉลาดของนางเท่านั้น แม้แต่ลายมือของนางก็งดงามอ่อนช้อยไม่ต่างจากใบหน้าของนางเลย เถ้าแก่จีอ่านสูตรหม่าล่าตั้งแต่ต้นจนจบ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น
“แม่นางเฉียวนี่มันหมายความว่าอย่างไร ที่เจ้าเขียนอยู่ในนี้คือวีธีการย่างกุ้งแต่ไม่มีสูตรน้ำจิ้มหม่าล่าอยู่ในนี้เลย เจ้าคิดจะเล่นตลกอันใด”
เถ้าแก่จีเอ่ยเสียงเข้มกับเฉียวลู่เขาคิดว่านางจะตกใจกลัวในท่าทางดุดันของเขาแต่เปล่าเลยเฉียวลูกลับลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เถ้าแก่จีชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าสูตรกุ้งย่างหม่าล่า ข้าไม่ได้บอกว่าจะขายสูตรหม่าล่าให้ท่าน ท่านคิดว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงจะสามารถซื้อสูตรซอสหม่าล่าที่สามารถทำให้ท่านร่ำรวยในอนาคตแบบไม่จบไม่สิ้นเช่นนั้นหรือ ข้าว่าท่านดูแคลนข้าเกินไปกระมัง”
เฉียวลู่เลิกคิ้วถามชายวัยกลางคน เถ้าแก่จีได้แต่อึกอักเพราะสิ่งที่เฉียวลู่พูดมานั้นล้วนเป็นความจริง เขามีทั้งโรงเตี๊ยมและเหลาอาหารมากมายในแคว้นเซียว ถ้าหากว่าได้สูตรน้ำจิ้มของเฉียวลู่มาในราคาแค่เพียงหนึ่งร้อยตำลึงล่ะก็ นับว่าเขาได้กำไรมหาศาลเลยทีเดียว
“แม่นางเฉียวเช่นนั้นสูตรน้ำจิ้มหม่าล่านั่นเจ้าต้องการที่จะขายในราคาเท่าใด เชิญบอกมาได้เลย”
เฉียวลู่ยกนิ้วลูบริมฝีปากตนเองด้วยความเคยชินเวลาที่นางกำลังครุ่นคิด เถ้าแก่จีรอคอยคำตอบจากแม่นางน้อยที่แสนเจ้าเล่ห์ผู้นี้อย่างอดทน
“ข้าไม่คิดจะขายหรอกเจ้าค่ะ.....แต่ว่าท่านสามารถมาซื้อซอสหม่าล่าที่ข้าทำขึ้นได้ตลอดและข้าจะทำสัญญากับท่านอีกด้วยว่าข้าจะไม่ขายซอสนี้ให้ผู้อื่นแต่จะขายให้เพียงจีหม่านโหรวที่เดียว”
นางจะขายสูตรซอสหม่าล่าให้เขาได้อย่างไรในเมื่อนางเองก็ไม่รู้ว่ามันทำอย่างไร ที่ขายอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นของที่สั่งมาจากสมุดบันทึกเล่มนั้นทั้งนั้น ครั้งนี้เป็นฝ่ายที่เถ้าแก่จีที่ต้องครุ่นคิดบ้าง เขากำลังคำนวณว่าตนเองจะได้กำไรขาดทุนมากเท่าไหร่ เฉียวลู่ยกชาขึ้นจิบรอคำตอบจากเถ้าแก่จีอย่างสบายอารมณ์ทั้งยังหยิบขนมกุ้ยฮวาที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาชิม กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาอบอวลไปทั่วทั้งปากเมื่อนางกัดเข้าไปหนึ่งคำ อืมมม น่าจะซื้อให้เจ้าหัวไชเท้าของนางบ้างเด็กๆ คงจะชอบน่าดูเฉียวลู่คิดในใจ
“ได้ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้าแม่นางน้อย เช่นนั้นข้าจะเขียนสัญญาขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับแล้วกัน”
หลังจากที่เถ้าแก่จีเขียนสัญญาฉบับที่สองขึ้นมาเขาก็ยื่นมันให้เฉียวลู่อ่านอีกครั้ง นางพยักหน้าหลังจากที่อ่านจบจากนั้นจึงลงชื่อและประทับลายนิ้วมือลงไป นางไม่กลัวว่าเถ้าแก่จีจะกล้าเล่นตุกติกอะไรกับนางอีกเพราะหลังจากที่เขาได้เห็นไหวพริบและความเจ้าเล่ห์ของเฉียวลู่แล้วเขาคงไม่คิดทำให้นางจับได้แล้วต้องขายหน้าอีกครั้งแน่
หลังจากที่คุยกันเรื่องรับส่งกุ้งอีกเล็กน้อยจนกว่าจะถึงหน้าหนาวและเฉียวลู่ต้องส่งซอสหม่าล่าให้จีหม่านโหรวสัปดาห์ละสี่ไห ไหละสิบตำลึงเป็นราคาที่เฉียวลู่เรียกจากเถ้าแก่จี นางลุกขึ้นยืนจากนั้นจึงยื่นมือให้เถ้าแก่จีจับด้วยความเคยชิน เถ้าแก่จีมองมือของเฉียวลู่อย่างไม่เข้าใจนางรีบเก็บมือกลับมาโดยเร็วและรีบบอกลาเถ้าแก่จีกลบเกลื่อนไป
“เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อนพรุ่งนี้ของทุกอย่างจะมาส่งที่หน้าจีหม่านโหรวตอนเช้ามืดนะเจ้าคะ ออมีอีกเรื่องท่านไม่ต้องจ่ายค่าซอสหม่าล่าทุกวันจ่ายเพียงค่ากุ้งสดเท่านั้นส่วนที่เหลือข้าจะมารับด้วยตนเองในตอนสิ้นเดือนนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่นั่งลงอีกครั้งเขียนเพิ่มลงไปในสัญญาฉบับที่สองทั้งสองแผ่นจากนั้นนางจึงกล่าวลาเถ้าแก่จีอีกครั้ง เถ้าแก่จีพยักหน้าให้นางเฉียวลู่หันหลังเดินไปที่ประตูนางมองตัวเงินที่อยู่ในมือของตนอย่างแนบเนียน ความจริงนางอยากจะกระโดดโลดเต้นโห่ร้องออกมาดังๆ แต่เกรงว่าผู้คนรอบข้างจะมองว่านางเสียสติน่ะสิ เฉียวลู่เปิดประตูห้องบัญชีและเห็นผู้ช่วยเหวินยังคงยืนอยู่ที่เดิมนางพยักหน้าทักทายเขาอีกครั้งจากนั้นจึงเดินลงบันไดไปด้วยความเบิกบาน
ผู้ช่วยเหวินมองตามหลังของเฉียวลู่ที่เดินห่างออกไปจากนั้นเขาจึงเดินกลับเข้าไปในห้องบัญชีอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับนายท่าน”
เถ้าแก่จียกชาขึ้นจิบเพื่อบรรเทาความกระหาย
“ดูท่าเราจะดูเบาแม่นางน้อยเช่นนางเกินไป นางทั้งฉลาดหลักแหลมและสุขุมมีความมั่นใจในตนเอง ดูเหมือนว่านางจะถูกสั่งสอนมาเป็นอย่างดีหากให้เปรียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงนางยังนับว่าเหนือกว่าหลายขั้น”
ผู้ช่วยเหวินทำหน้าฉงน ถ้าหากไม่ได้ยินจากปากนายท่านของเขาเองเขาคงไม่มีทางเชื่อว่าแม่นางน้อยที่ดูเหมือนอายุจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดผู้นี้จะเป็นคนที่นายท่านเอ่ยปากชม ความจริงบุรุษวัยกลางคนทั้งสองนั้นไม่รู้ว่าเฉียวลู่อายุยี่สิบเอ็ดย่างยี่สิบสองแล้วอีกทั้งตอนนี้นางยังมีเจ้าหัวไชเท้าน้อยที่ติดสอยห้อยตามมาถึงสองหัว ถ้าพวกเขารู้ความจริงจะต้องตกใจเป็นอย่างมากแน่
เฉียวลู่กลับมาที่แผงขายกุ้งย่างของนางอีกครั้ง ลูกค้าเริ่มบางตาแล้วถ้าให้เปรียบเทียบเมื่อหลายวันก่อนเวลานี้ลูกค้าจะต้องยังคงต่อแถวแน่นหน้าร้านอยู่เลย คิดถูกจริงๆ ที่นางขายสูตรกุ้งย่างหม่าล่าไป รอเอาไว้ถึงหน้าหนาวค่อยขายสูตรแบบหม่าล่าต้มและน้ำซุปแบบอื่นๆ ก็ได้
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี