เช้าวันต่อมาเฉียวลู่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อพาจางหย่งไปส่งกุ้งให้กับจีหม่านโหรว นางจะไปด้วยเพียงครั้งแรกเท่านั้นเพื่อให้พวกเขาจำหน้าจางหย่งได้จะได้รู้ว่าครั้งหน้าเขาคือผู้ที่จะมาส่งกุ้งให้จีหม่านโหรวทุกวัน นอกจากส่งกุ้งแล้วเฉียวลู่ก็มีเรื่องที่ต้องการทำอีกอย่างคือหาคนมาสร้างเรือนให้นางนั่นเอง และอุปกรณ์บางอย่างก็ต้องมาหาซื้อที่อำเภอเป่ยจิงเท่านั้น
เมื่อเจ้าวัวแก่หยุดลงที่หน้าจีหม่านโหรว เฉียวลู่กระโดดลงมาจากเกวียน นางเดินตรงไปที่ผู้ดูแลที่กำลังตรวจดูผักและเนื้อของชาวบ้านที่นำมาขายให้พวกเขา
“อรุนสวัสดิ์เจ้าค่ะผู้ดูแลเหวิน”
เหวินซงที่กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจวัตถุดิบที่จะนำมาทำอาหารรีบหันตามเสียงทักทายที่แสนหวานของเฉียวลู่ทันที
“อ้อแม่นางเฉียวนั่นเอง เจ้ามาแล้วหรือข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย”
เฉียวลู่พยักหน้ารับ
“ดูเหมือนท่านกำลังยุ่งอยู่ ข้ารอได้เจ้าค่ะ”
เหวินซงส่ายหน้าไปมา
ไม่เป็นไรวัตถุดิบของเจ้าสำคัญกว่า มาเถอะข้าจะให้คนชั่งกุ้งของเจ้าก่อน”
เหวินซงเรียกพนักงานของจีหม่านโหรวสองคนให้มาช่วยเขาชั่งกุ้งไม่นานกุ้งสามร้อยสามจินก็ถูกชั่งเรียบร้อย
“สามจินนี้ถือว่าเป็นกำไรที่ข้ามอบให้พวกท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวลู่ยิ้มตาหยีให้เหวินซง ถึงแม่ตอนนี้จะยังไม่สว่างดีนักแต่เหวินซงก็มองเห็นเฉียวลู่ได้อย่างชัดเจน เขาไม่นึกเลยว่าอยู่มาสี่สิบกว่าปีจะมานึกเขินอายแม่นางน้อยที่อายุยังไม่พ้นยี่สิบปีคนนี้ เหวินซงยอมรับว่าเฉียวลู่นั้นทั้งงดงามและมีเสน่ห์ที่สตรีทั่วทั้งดินแดนต้องการมี แต่ดูเหมือนว่านางนั้นจะไม่รู้ตัวเอาเสียเลยเพียงแค่นางพยักหน้าบุรุษทุกคนย่อมต้องยอมทำตามความต้องการของนางอย่างแน่นอนนางไม่จำเป็นจะต้องมาทำงานที่หนักหนาเช่นนี้เลย แต่ที่นางเลือกที่จะยืนด้วยตัวเองยอมรับความลำบากนั่นหมายความว่าหาได้ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ของตน เขารู้สึกยอมรับและนับถือนางจากใจจริง
“ผู้ช่วยเหวินน้ำจิ้มหม่าล่าสี่ไหนี้ท่านจะต้องเก็บให้ดี จะให้ดีเก็บในอุณหภูมิที่เย็นจะดีมากเลยเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่เห็นผู้ช่วยเหวินที่กำลังเหม่อลอยนางจึงเรียกเขาซ้ำอีกครั้ง
“ผู้ช่วยเหวิน”
เหวินซงได้สติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกของเฉียวลู่ เขารีบยกกำปั้นขึ้นปิดปากกระแอมไอออกมาอย่างเก้อเขิน
“แม่นางเฉียวเจ้าว่าอย่างไรนะ”
เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่ท่านกำลังเหม่อลอยอันใดของท่านอยู่กันแน่ถึงไม่ได้ฟังที่ข้าพูด นางได้แต่เหน็บแนมเขาในใจ
“ท่านต้องเก็บซอสหม่าล่านี้ในอุณหภูมิที่เย็นเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ไม่อยากคุยกับเขาแล้ว หลังจากการที่ส่งกุ้งเสร็จนางก็ขอร้องให้จางหย่งแนะนำคนที่สามารถสร้างบ้านในแบบที่นางต้องการได้ จางหย่งที่เคยทำงานช่างไม้มาก่อนหลังจากที่หมดหน้าเก็บเกี่ยวเขาก็ไปสมัครงานเป็นช่างไม้สร้างบ้านอยู่หลายครั้งจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงพาเฉียวลู่ไปที่บ้านของนายช่างใหญ่ที่เขาเคยทำงานด้วย
“ที่นี่แหละอาลู่บ้านนายช่างอู๋ ข้าเคยมาสมัครงานที่นี่ข้ารับรองได้ว่านายช่างอู๋จะต้องสร้างเรือนในแบบที่เจ้าต้องการได้อย่างแน่นอน”
เกวียนจอดที่หน้าเรือนขนาดกลางหลังหนึ่งมีรั้วรอบขอบชิดประตูสีแดงบานใหญ่ปิดสนิท จางหย่งเดินไปเคาะประตูสักพักสตรีวัยกลางคนก็เดินมาเปิดประตู
“อ้าวจางหย่ง เจ้ามาพบนายช่างหรือเขาอยู่ด้านในพอดีเข้ามาก่อนสิ”
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นต้อนรับขับสู้จางหย่งเป็นอย่างดีบ่งบอกว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อน
“พี่สะใภ้ขอรับที่ข้ามาวันนี้ข้ามีงานมาให้พี่ใหญ่อู๋ท่านรอข้าสักประเดี๋ยว ....อาลู่ลงมาเถอะ”
จางหย่งหันมาตะโกนเรียกเฉียวลู่ที่นั่งอยู่ในเกวียน เฉียวลู่กระโดดลงจากเกวียนอย่างคล่องแคล่ว วันนี้นางสวมชุดสีเขียนใบไผ่ชุดใหม่ขับเน้นให้รูปร่างที่อรชรของนางให้ดูอ้อนแอ้นบอบบางยิ่งกว่าเดิม เฉียวลู่เดินตรงไปที่จางหย่งยืนอยู่
“นี่คือฮูหยินของนายช่างอู๋”
จางหย่งแนะนำง่ายๆ ให้กับนาง
“คารวะอู๋ฮูหยินเจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ย่อตัวคารวะนางอย่างงดงาม ฮูหยินอู๋มองเฉียวลู่ด้วยความตะลึง จากนั้นจึงหันไปมองจางหย่งที่เรียกเฉยวลู่อย่างสนิทสนม ด้วยความสงสัยนางจึงดึงจางหย่งมาอีกด้านเพื่อสอบถาม
“นี่จางหย่งเจ้าแต่งงานใหม่แล้วหรือ ได้แม่นางน้อยที่งดงามเพียงนี้เชียว”
เป็นคราวที่จางหย่งต้องตกตะลึงกับคำถามของฮูหยินอู๋บ้าง
"จะใช่ได้อย่างไรขอรับพี่สะใภ้นางเป็นเด็กที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับข้าทั้งยังเป็นคนที่ข้าและฮูหยินอยากจะรับเป็นบุตรบุญธรรม ข้าเคยเล่าให้พวกท่านฟังแล้วไม่ใช่หรือ"
อู๋ฮูหยินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“โธ่!!!ไอ้เราก็นึกว่า....ช่างเถอะๆ เป็นข้าที่สงสัยมากไปไม่ได้แต่งงานใหม่ก็ดีแล้วข้าก็นึกตำหนิเจ้าอยู่ในใจอยู่ว่าไม่สงสารภรรยาที่แสนดีของเจ้าบ้างหรือที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง”
เฉียวลู่ยังยืนอยู่ที่เดิมนางไม่ได้มองไปที่ฮูหยินอู๋ที่ดึงจางหย่งไปคุยกัน ถึงพวกเขาจะซุบซิบกันอย่างไรเฉียวลู่ก็ยังได้ยินอยู่ดี ถึงคำถามแรกจะทำเอานางถึงกับสำลักน้ำลายไปเลยทีเดียว ฮูหยินอู๋พาคนทั้งสองเข้าไปในเรือนขนาดกลางที่ถูกทำขึ้นอย่างปราณีตสมกับเป็นเรือนของตระกูลช่างไม้ใหญ่ เฉียวลู่สำรวจรอบๆ ด้วยความสนใจ เมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องโถง ชายวัยกลางคนที่รูปร่างสูงใหญ่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ตอนนี้พึ่งจะสว่างได้ไม่นานดูเหมือนว่าพวกเขาพึ่งจะทานอาหารเช้าเสร็จ
“คารวะพี่ใหญ่อู๋”
จางหย่งและเฉียวลู่คารวะชายวัยกลางคนที่เขาเรียกว่าพี่ใหญ่
“อ้าวอาหย่งเจ้ามากันแต่เช้าขนาดนี้เชียวมีธุระอะไรหรือ หรือว่าเจ้าจะกลับมาทำงานกับข้า”
จางหย่งส่ายหน้าปฏิเสธทันที จะมาทำงานกับท่านได้อย่างไรในเมื่องานที่ข้ามีอยู่ก็ล้นมือแล้ว
“เปล่าขอรับที่ข้ามาวันนี้คือข้ามีงานมาให้ท่าน นี่คือเฉียวลู่นางเป็นญาติของข้านางต้องการสร้างเรือนไม่ทราบว่าช่วงนี้พี่ใหญ่อู๋ว่างอยู่หรือไม่”
เฉียวลู่พยักหน้าให้ช่างใหญ่อู๋เล็กน้อย
“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะ ตามที่ท่านอาหย่งบอกท่านข้าอยากให้ท่านสร้างเรือนให้ข้าและข้าก็มีแบบเอาไว้อยู่ในใจอยู่แล้วไม่ทราบว่านายช่างพอจะมีกระดาษพู่กันให้ข้ายืมสักหน่อยได้หรือไม่”
นายช่างอู๋พยักหน้าจากนั้นเขาจึงเดินหายไปทางห้องอีกด้าน ฮูหยินอู๋ยกน้ำชามาต้อนรับพวกเขาอย่างใจดี เมื่อนายช่างอู๋กลับมาเฉียวลูก็วาดแบบบ้านให้เขาทันที
แบบบ้านที่เฉียวลู่วาดออกมาช่างดูแปลกตาสำหรับคนยุคโบราณเช่นเขานัก เฉียวลู่นึกถึงเมื่อยามหน้าหนาวที่แสนจะลำบากของยุคโบราณที่ไม่มีฮีตเตอร์ นางจึงออกแบบเรือนของนางให้เหมือนกับบ้านซุงของทางยุโรปที่ใช่ไม้ทั้งต้นผ่าครึ่งสร้างออกมา คือยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยมีระเบียงด้านหน้ามีห้องโถงขนาดใหญ่ภายในยังทำเตาผิงเอาไว้เผื่อหน้าหนาวและทำห้องนอนห้าห้อง ห้องนอนของนางและลูกน้อยทั้งสองนั้นนางวาดด้านในให้มีเตาผิงเล็กๆ เอาไว้ด้วยด้านข้างเรือนมีห้องครัวหนึ่งห้องห้องน้ำส่วนตัวสามห้องและห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกเรือนหนึ่งห้อง ห้องน้ำที่เฉียวลู่ออกแบบแตกต่างจากห้องน้ำของที่นี่โดยสิ้นเชิงนางทำห้องอาบน้ำกับห้องน้ำแยกกันกั้นเอาไว้ครึ่งหนึ่งทำให้เมื่ออีกคนอาบน้ำจะมองไม่เห็นอีกคนที่กำลังนั่งส้วมอยู่
ห้องส้วมของนางก็ยังให้นายช่างใหญ่อู๋ทำให้คล้ายกับชักโครกของยุคปัจจุบันที่สุด นางไม่ชอบการต้องนั่งยองๆ ทุกวันนี้เฉียวลู่ต้องทำใจทุกครั้งที่นางไปปลดทุกข์ต้องอั้นจนถึงที่สุดนางถึงจะไป จนตอนนี้เฉียวลู่แทบจะกลัวว่าตนเองจะท้องผูกแล้ว ห้องนอนแยกอีกสองห้อง หนึ่งห้องเฉียวลู่คิดจะทำเป็นห้องนอนแขกส่วนอีกห้องเอาไว้เก็บของด้านล้างนางยังทำห้องใต้ดินเอาไว้เก็บอาหารในช่วงหน้าหนาว เฉียวลู่ส่งกระดาษที่นางวาดแบบออกมาอย่างละเอียดส่งให้นายช่างอู๋ดู เขามองแบบที่เฉียวลู่วาดจากนั้นจึงหันไปมองเจ้าของฝีมือที่วาดออกมาได้อย่างละเอียด
“แม่นางเจ้ามีความรู้เรื่องออกแบบเช่นนั้นหรือ”
เฉียวลู่ส่ายหน้า
“ข้าวาดออกมาจากจินตนาการของข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าแค่คำนึงถึงตนเองและบุตรชายทั้งสองเมื่อยามที่ต้องทนหนาวในกระท่อมผุพัง ดังนั้นที่วาดออกมาทั้งหมดนั้นก็แค่คำนึงถึงความสะดวกในยามหน้าหนาวก็เท่านั้น”
นายช่างอู๋พยักหน้าเห็นด้วยกับนางจากนั้นเขาก็ตีราคาบ้านให้เฉียวลู่คือหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึงรวมค่าอุปกรณ์การสร้างทั้งหมด เรือนของนางใช้ไม้ทั้งหลัง ดังนั้นเรื่องหลักคือต้องไปตัดไม้ให้พอกับบ้านทั้งหลังของนาง เฉียวลู่นึกอยากล้อมรั้วขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยของนางและลูกน้อยทั้งสองแต่ว่าที่ดินของนางมีขนาดเท่าไหร่นั้นนางยังไม่รู้เลย เอาเถอะกลับไปค่อยไปถามท่านยายแล้วกัน
เมื่อคุยตกลงทำสัญญาเรียบร้อยแล้วเฉียวลู่จ่ายเงินหกสิบตำลึงเป็นค่ามัดจำจากนั้นนางจึงขอตัวลา เมื่อเกวียนวัวย้อนกลับมาที่อำเภอเป่ยจิงเฉียวลู่ให้จางหย่งพานางไปที่จีหม่านโหรวอีกครั้ง นางขอเข้าพบเถ้าแก่จีและเสนอขายสูตรอาหารแก่เขาสองสามสูตรที่ทำจากกุ้ง ที่นางทำเช่นนี้เพราะนางกลัวว่าเงินที่นางเก็บเอาไว้จะไม่พอสำหรับค่าสร้างบ้านของนาง รั้วก็ต้องทำบ่อน้ำก็ต้องขุดนางต้องหาเงินไว้มากๆ เผื่อเอาไว้ยามหน้าหนาวที่กำลังใกล้เข้ามาด้วย
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี