กว่าที่ควนจุ้ยจือจะรู้เรื่องราชโองการของสำนักศึกษาหลวง เขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้แล้ว ยิ่งคิดควนจุ้ยจือยิ่งโกรธแค้นฮ่องเต้ที่ขัดขวางแผนการสร้างความเสื่อมเสียให้กับองค์ชายใหญ่ ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดราชโองการจึงออกมาในช่วงก่อนหน้าที่เขาจะปล่อยข่าวลือเสียหายให้องค์ชายใหญ่
ควนจุ้ยจือเชื่อว่าต้องมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในตำหนักลูกสาวของเขาแน่ เพียงแต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นใครเท่านั้น เขารู้ดีว่าหูตาของฮ่องเต้ในวังหลังมีไม่น้อย แต่การจะกำจัดคนพวกนั้นก็ไม่ง่ายเลยจริง ๆ
ช่วง 7 วันที่ผ่านมา ชาวเมืองต่างเห็นถึงความสามารถขององค์ชายใหญ่ที่ได้เป็นถึงอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งนักเรียนในสำนักศึกษาต่างชื่นชมพระองค์เป็นอย่างมากว่าใส่ใจสั่งสอนพวกเขาเป็นอย่างดี และให้คำแนะนำที่พวกเขาไม่เข้าใจในตำราอยู่บ่อย ๆ ชื่อเสียงที่ดีขององค์ชายใหญ่ทำให้ควนจุ้ยจือกับกุ้ยเฟยได้แต่เค่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห
“ท่านพ่อจะปล่อยให้องค์ชายใหญ่เป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองไม่ได้นะเจ้าคะ”
เซี่ยเซี่ยวมิ่ง ฮองเฮาแคว้นหมิง พระนางเป็นพระชายาเอกตั้งแต่สมัยที่ฮ่องเต้หมิงอู่ยังเป็นรัชทายาท ไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวองค์ชายใหญ่ หมิงเทียน ซึ่งทำให้ชื่อเสียงของบุตรชายคนโตของพระนางเสื่อมเสีย ตอนนี้นางยิ่งเป็นห่วงบุตรชายคนรอง หมิงเฉิงและบุตรสาว หมิงจู มากขึ้น นางกลัวว่าศัตรูจะใช้แผนการสกปรกทำลายชื่อเสียงของพวกเขาอีกองค์ชายใหญ่หมิงเทียนได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้หยุดงานสอนและอยู่ในวังไปก่อนเพื่อความปลอดภัย พระองค์กำลังสืบเรื่องราวทั้งหมดและหาผู้บงการ วันนี้พระองค์จึงมาอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮา แต่พอเห็นหน้าตาอมทุกข์ของเสด็จแม่ตนเองเช่นนี้ พระองค์ก็ได้แต่กล่าวปลอบพระนางเท่านั้น“เสด็จแม่อย่ากังวลเรื่องชื่อเสียงของลูกเลยพะย่ะค่ะ ลูกมั่นใจว่าเสด็จพ่อจะต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกได้”“เจ้าจะไม่ให้แม่เป็นห่วงพวกเจ้าได้อย่างไร กว่าแม่จะประคับประคองพวกเจ้าให้ยังมีชีวิตรอดจากศัตรูในที่มืดมาตลอดหลายปีได้ แต่จู่ ๆ เจ้ากลับถูกทำลายชื่อเสียงเช่นนี้ แม่ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะทำลายชื่อ
ฮองเฮาที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น พระนางรู้ดีว่าพระสนมกุ้ยเฟยมีอิทธิพลมากแค่ไหน ยิ่งฝ่าบาทไม่โอนอ่อนผ่อนตาม พระนางก็หวาดเกรงว่าพระสนมกุ้ยเฟยจะสร้างเรื่องจนทำให้วังหลังปั่นป่วนฮ่องเต้เห็นฮองเฮาสีหน้าผิดปกติไป พระองค์จึงโอบฮองเฮาเข้ามากอดเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง พร้อมกับกระซิบบอกพระนางให้อย่าคิดมาก“เสด็จพี่จะไม่ให้น้องคิดมาได้อย่างไรเพคะ หากกุ้ยเฟยก่อเรื่องหนักกว่านี้จนวังหลังระส่ำระสาย น้องจะทำเช่นไร? เสด็จพี่ก็ทรงทราบว่านางเป็นเช่นไร”“หากนางสร้างเรื่องทำให้เจ้าหนักใจ เจ้าก็เพียงแค่ลงโทษนางตามกฎของวังหลังเสีย เรื่องอื่นหลังจากนั้นเจ้าอย่าได้กังวล พี่จะให้คนของพี่มาคอยปกป้องพวกเจ้าอย่างลับ ๆ”“เสด็จพี่ก็ทราบว่าพ่อของนางมีหรือจะยอมจบเรื่องง่าย ๆ หากข้าลงโทษนาง”“เฮ้อ น้องหญิง เจ้าเชื่อใจพี่ได้หรือไม่ ถึงแม้เสนาบดีควนจะมีอิทธิพลมากก็ตาม แต่เจ้าก็อย่าลืมว่าสามีของเจ้าเป็นถ
ขบวนเดินทางของเสนาบดีเซี่ยเดินทางถึงเมืองไห่ตงในหนึ่งเดือนต่อมา เจ้าเมืองเติ้งที่ทราบข่าวจากม้าเร็วของขบวนรีบออกมารอต้อนรับยังหน้าประตูเมือง ชาวบ้านทั่วไปไม่เคยเห็นขบวนขุนนางใหญ่มาก่อน พวกเขาต่างมามุงดูกันว่าเป็นคนใหญ่คนโตมาจากที่ใด ยิ่งเห็นเจ้าเมืองเติ้งพินอบพิเทาตั้งแต่คนบนรถม้ายังไม่ลงมาเสียด้วยซ้ำ ชาวบ้านก็ยิ่งให้ความสนใจเสนาบดีเซี่ยไม่ได้ลงจากรถม้าจนกระทั่งเข้าไปถึงจวนเจ้าเมืองที่เตรียมห้องพักสำหรับขบวนคนที่มาจำนวนมากในครั้งนี้“เชิญท่านเสนาบดีและขุนนางทั้งหลายเข้าพักที่จวนซอมซ่อของข้าน้อยก่อนขอรับ”“เจ้านำทางไปเถอะ ตอนนี้เวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้เจ้านำทางพวกข้าไปยังหมู่บ้านต้าไห่ด้วยก็แล้วกัน พวกข้ายังมีงานต้องทำอีกมาก”“ขอรับ ๆ เชิญทางนี้เลยขอรับ”องครักษ์ทั้ง 100 คนที่เดินทางมากับขบวนเสนาบดีต่างแยกกันไปพักยังอีกจวนหนึ่งที่ว่างอยู่ในเมือง โดยมีพ่อบ้านในจวนเจ้าเมืองเป็นผู้ต้อนรับ
ขบวนของเสนาบดีเซี่ยหยุดลงที่หน้าบ้านตระกูลหลิน เขาลงมาพร้อมกับราชโองการในมือ ส่วนขุนนางอีกสี่คนก็ถือถาดสิ่งของต่าง ๆ สำหรับรับตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นพิเศษเจ้าเมืองเติ้งเห็นดังนั้นก็รีบประกาศเสียงดังให้ทุกคนคุกเข่าเตรียมรับราชโองการที่เสนาบดีเซี่ยกำลังจะประกาศเสนาบดีเซี่ยเดินมายังด้านหน้าขบวนที่ตอนนี้คนในตระกูลหลินกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมกับขุนนางทั้งสี่ที่เดินตามหลังมาพร้อมรอยยิ้มบาง“หลินฉิงอัน รับราชโองการ ด้วยพรจากสวรรค์ทำให้แคว้นหมิงได้รับผู้มีความสามารถในการทำผลไม้แช่อิ่มดั่งเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถทำงานช่วยเหลือแคว้นและราษฎรได้อย่างราบรื่น ข้าหมิงอู่ ฮ่องเต้ในรัชกาลปัจจุบัน ขอแต่งตั้งให้หลินฉิงอันเป็นที่ปรึกษาพิเศษกรมเกษตร รั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ มีหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำผลไม้แช่อิ่มและความรู้อื่น ๆ เพื่อพัฒนาแคว้นสืบไป จบราชโองการ”หลินฉิงอันไม่คิดว่าตนเองจู่ ๆ จะได้รับเกียรติเช่นนี้ นางรีบขานรับราชโองการแ
หลังจากทานอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้ว เสนาบดีเซี่ยที่อยากพักที่หมู่บ้านแห่งนี้มากกว่าจะกลับไปพักในเมืองไห่ตง เขาจึงลองสอบถามหลินฉิงอันที่เป็นผู้ตัดสินใจแทนครอบครัวหลินจากที่เขาสังเกตมาตลอดก่อนหน้านี้“หากพวกข้าอยากพักที่นี่ เจ้าจะรังเกียจหรือไม่คุณหนูหลิน”“ท่านเสนาบดีแน่ใจหรือเจ้าคะ บ้านข้าคับแคบ อาจไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากที่มาในครั้งนี้ได้น่ะเจ้าค่ะ”“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะให้ทหารไปตัดไม้บนเขามาสร้างที่พักชั่วคราวเพิ่มเติม เพียงแต่ว่าเจ้าพอจะมีที่ว่างให้พวกเขาสร้างที่พักหรือไม่”“ที่ว่างมีอยู่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการเช่นนี้จริง ๆ ก็สามารถสร้างที่พักชั่วคราวในที่ดินฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นโรงงานผลิตผลไม้แช่อิ่มได้เจ้าค่ะ ที่นั่นยังมีพี่ว่าอยู่อีกมาก”“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เรื่องอาหารการกิน เดี๋ยวข้าจะให้ทหารไปซื้อวัตถุดิบมาให้พวกเจ้าเอง อย่างไรฝ่าบาทก็มอบเงินจำนวนหนึ่ง
เย็นวันนั้นหลินฉิงอันร่วมโต๊ะกับเสนาบดีเซี่ยและขุนนางทั้งสี่พร้อมกับคนในครอบครัวเช่นเคย ส่วนทหารทั้งหมดที่กำลังสร้างที่พักอยู่ก็ได้รับการดูแลจากบ่าวในเรือนพักฝั่งตรงข้าม ตอนนี้การก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสร้างเรือนพักไปได้ถึงห้าหลังแล้ว เหลือเรือนพักอีกหนึ่งหลังก็สามารถให้ทุกคนที่มาพักผ่อนกันได้โดยไม่แออัด เพราะเรือนพักหลังหนึ่งสามารถเข้าพักได้ถึงยี่สิบคน ห้องน้ำต่าง ๆ ก็ถูกสร้างขึ้นมาประจำเรือนพักทั้งห้าหลังด้วยเช่นกัน นางต้องขอบคุณการควบคุมการก่อสร้างของนายช่างหวังจึงทำให้การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งทหารที่มายังมีวรยุทธ์สูงส่ง การทำงานที่ชาวบ้านธรรมดาต้องใช้เวลานานจึงแตกต่างจากทหารเหล่านี้ที่สามารถลดเวลาการทำงานได้มากกว่าครึ่งหลังอาหารเย็นสองชั่วยาม เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่ที่ยังคุยกันอยู่ที่ห้องโถงรับแขกเรือนหลักก็ขอตัวลาไปพักผ่อนยังเรือนพักของที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเครื่องนอนต่าง ๆ ทหารที่มาจำนวนหนึ่งนำเกวียนลาของบ้านหลินไปซื้อมาจากในเมืองไห่ตงก่อนเวลาอาหารเย็นแล้ว อีกทั้งทางร้านยังจัดส่งตามมาให้จนครบจำนวน
กว่าที่คนทั้งหมดจะลงจากเขา ก็เป็นเวลาก่อนอาหารเย็นเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว หลินฉิงอันขอตัวไปเข้าครัวตามที่นางตั้งใจ โดยมีจ้าวหลงสะพายตะกร้าปลาที่จับมาได้จนเต็มตามหลังไปติด ๆ ส่วนเสนาบดีเซี่ยกับคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะออกก่อนจะมานั่งสนทนากับเหิงอันโหวที่ลานหน้าบ้านรอทานอาหารเย็นที่หลินฉิงอันกับบ่าวกำลังทำกันอยู่“พวกเจ้าขึ้นเขาไปเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เรียนท่านโหว วันนี้พวกเราได้ทดลองทำเตาเผาถ่านด้วยตัวเองขอรับ นับว่าการมาครั้งนี้พวกเราได้รับความรู้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”“นั่นก็ดีแล้ว แม่หนูฉิงอันของข้ามีความสามารถมากใช่ไหมเล่า พวกเข้าก็เรียนรู้จากนางให้มาก ๆ ต่อไปจะได้นำไปพัฒนาบ้านเมืองช่วยฝ่าบาท”“ขอรับ ท่านโหว” ทั้งห้าตอบรับเสียงดังจนเหิงอันโหวได้แต่ทำตาเขียวใส่“พวกเจ้าจะเสียงดังให้คนอื่นได้ยินหรืออย่างไร ฮึ่ย!”&ldqu
ช่วงบ่าย หลินฉิงอันปล่อยให้เสนาบดีเซี่ยกับขุนนางทั้งสี่อยู่ในโรงงานผลิตตามที่พวกเขาต้องการ ส่วนนางแยกตัวออกมาและไปยังเรือนพักเพื่อคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้การเกษตรในแคว้นพัฒนาไปมากกว่านี้หลินฉิงอันนำกระดาษและพู่กันมานั่งเขียนแผนผังการพัฒนาที่ดินในรูปแบบต่างๆ โดยคำนึงถึงลักษณะของดินเป็นหลัก นางอยากให้ชาวบ้านรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ เพราะส่วนใหญ่พวกเขายังมีความคิดล้าหลังและไม่คิดที่จะพัฒนาที่ดินรกร้างเพื่อทำการเกษตรเลยแม้แต่นิดเดียวช่วงสายของวันต่อมา หลินฉิงอันพาเสนาบดีเซี่ยและพวกขึ้นเขาไปดูว่าเตาเผาถ่านที่ปล่อยเอาไว้เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งนี้ยังคงเป็นหัวหน้าองครักษ์เหลียงกับจ้าวหลงที่เดินทางตามไปด้วย เมื่อพวกเขาไปถึงเตาเผาถ่านก็เห็นว่าควันที่เคยมีมากมายตอนเริ่มเผานั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงไอร้อนที่ยังคงแผ่ออกมาตามช่องทางที่ทำเอาไว้สำหรับระบายควันเท่านั้น“ข้าคิดว่าเตาเผาน่าจะได้ที่แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวให้จ้าวหลงเป็นคนเปิดหน้าเตาเพื่อความปลอดภัยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
หลังผ่านงานหมั้นของหลินฉิงอันไป ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เข้าไปในเมืองก็กระจายข่าวดีนี้ให้ญาติมิตรที่เข้ามาซื้อสิ่งของกันในช่วงหน้าหนาวฟังกัน กระทั่งข่าวแพร่ไปถึงเจ้าเมืองเติ้ง เขายังไม่ได้นำของขวัญไปอวยพรปีใหม่เหิงอันโหวเลย พอได้ยินข่าวว่าหลินฉิงอันขุนนางขั้นสี่ได้หมั้นหมายกับแม่ทัพเหิงซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของเหิงอันโหวก็ยิ่งอยากไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่บ้านฮูหยินของเจ้าเมืองเติ้งเองก็อยากสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวหลินเช่นกัน นางคิดว่าหากทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันแล้ว สามีของนางคงได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย“ท่านพี่ หรือเราจะเตรียมของขวัญไปมอบให้ท่านโหวกับครอบครัวหลินดีเจ้าคะ”“ความคิดเจ้าไม่เลว เช่นนั้นก็สั่งพ่อบ้านหาสิ่งของมีค่าไปมอบให้พวกเขาวันพรุ่งนี้กันดีหรือไม่ เจ้าเองก็ช่วยสานสัมพันธ์กับฮูหยินหลินแทนข้าด้วยก็แล้วกันนะ”“ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากรู้จักนางเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดลูก ๆ ของนางจึงต่างมีความสามารถกันมากตั้งแต่
ชาวบ้านที่ให้ผู้อาวุโสของตนมาทาบทามหลินฉิงอันเป็นต้องหน้าเสียไปตาม ๆ กัน เมื่อเหิงอันโหวเอ่ยปากขอหมั้นด้วยตัวเอง พวกเขามีหรือจะกล้าต่อกรกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ถึงแม้จะเสียดายการหมั้นหมายครั้งนี้มากก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่เหิงอันโหวบอกก่อนหน้านี้ว่าหลินฉิงอันเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ พวกเขาที่เป็นชาวบ้านคงไม่อาจเอื้อมหมายเด็ดดอกฟ้ากันได้อีกไม่นานนักรถม้าทั้งสิบคันของจวนโหวก็มาจอดเรียงรายกันที่ด้านข้างลานหน้าเรือนหลัก จากนั้นองครักษ์และบ่าวของจวนโหวทยอยยกหีบใบใหญ่หลายหีบลงมาจากรถม้า ชาวบ้านต่างมองหีบทั้งหลายตาโต พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเหิงอันโหวจะเตรียมการเกี่ยวกับของหมั้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งละอายใจที่หาญกล้าไปขอหลินฉิงอันหมั้นหมายก่อนหน้านี้พ่อบ้านใหญ่เห็นพวกเขาวางหีบเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เขาก็สั่งให้คนเปิดหีบทีละใบเพื่ออ่านรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวเพราะมีหีบทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดใบตามเลขมงคลครอบครัวหลินตอนนี้อ้าปากค้างกันไปหมดเมื่
พ่อบ้านใหญ่เห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับเริ่มพิธีการปักปิ่นแล้ว เขาเริ่มเอ่ยลำดับขั้นตอนการทำพิธีตั้งแต่เริ่มต้นทันที“ขอเชิญขุนนางขั้นสี่หลินฉิงอัน เข้าประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มพิธีการขอรับ”หลินฉิงอันพยักหน้ายิ้มรับคำพ่อบ้านใหญ่ ก่อนที่นางจะเดินไปยังตำแหน่งประธานของงานในวันนี้ซึ่งอยู่หน้าห้องโถงเรือนหลัก บรรดาชาวบ้านที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะตรงลานหน้าบ้านล้วนมองเห็นพิธีการกันอย่างทั่วถึง“ขอเชิญท่านเหิงอันโหวสวมเสื้อคลุมให้คุณหนูหลินขอรับ”เมื่อประโยคนี้สิ้นสุดลง เหล่าชาวบ้านต่างฮือฮากันขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าตำแหน่งโหวนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่จากเสื้อผ้าอาภรณ์ของเหิงอันโหวแล้ว พวกเขาก็คิดว่าจะต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาเป็นแน่หลินฉางหยู หลินอ้าย หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเองก็ตกใจไม่น้อย พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าอาจารย์ปู่จะเป็นถึงท่านโหวของแคว้นเลยทีเดียว ส่วนหลินฉิงอันนั้นนางเดาได้มานานแล้วว่าท่านปู่ผู้นี้จะต
งานเลี้ยงปีใหม่ผ่านไปอย่างสนุกสนาน ยิ่งกับการกินหมูกระทะในครั้งนี้นั้นทำให้ทุกคนต่างติดอกติดใจ หลินฉิงอันจึงมอบเตาและกระทะให้กับบ่าวและครอบครัวท่านลุงของนางเป็นของขวัญด้วยก่อนงานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง หลินฉิงอันก็นำหยกพกมอบให้กับบ่าวทั้งหมดรวมทั้งคนในครอบครัวของนางเอง ส่วนของบ้านท่านลุงนั้นนางไม่ได้ทำให้ เพราะนางอยากให้พวกเขาออกแบบลวดลายบนหยกด้วยตนเอง หลินฉิงอันยังมอบเงินให้ครอบครัวท่านลุง 500 ตำลึงเพื่อนำไปทำหยกพกเช่นกัน คราแรกท่านลุงของนางไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ แต่ด้วยเหตุผลและการคะยั้นคะยอของคนในครอบครัวทำให้เขาต้องยิ้มรับมาอย่างจนใจ เขายังสัญญากับครอบครัวน้องสาวด้วยว่าจะนำเงินนี้ไปใช้จ่ายตามที่หลานสาวของเขาต้องการเหิงอันโหวกับคนในจวนโหวที่มาต่างยอมรับนับถือในความใจกว้างของครอบครัวหลินฉิงอัน น้อยนักที่พวกเขาจะเห็นครอบครัวชาวบ้านยอมจ่ายเงินจำนวนมากออกไปอย่างไม่เสียดายเช่นนี้ ยิ่งพ่อบ้านคนสนิทของเหิงอันโหวที่มาเพราะอยากเห็นหน้าว่าที่หลานสะใภ้ของท่านโหวด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งยอมรับในความมีน้ำใจของครอบครัวว่าที่นายหญิ
ก่อนเที่ยงวัน หวังไห่ หลี่หมิง เหมยลี่และอิงฮวาก็เดินทางมาถึงเรือนหลัก พวกเขารีบเข้าไปคารวะเหล่านายท่านที่กำลังรออยู่“คาราวะนายท่าน นายหญิง คุณหนูใหญ่ขอรับ/เจ้าค่ะ”“พวกเจ้าตามสบายเถอะ ก่อนมาที่นี่ พวกเจ้าปิดร้านกันดีแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยดีขอรับคุณหนูใหญ่ นี่เป็นสมุดบัญชีทั้งสองเล่ม ข้าน้อยนำมาให้ท่านตรวจสอบด้วยขอรับ”หลินฉิงอันยื่นมือไปรับสมุดบัญชีทั้งสองเล่มมาวางเอาไว้ที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนจะบอกให้พวกเขานำสัมภาระไปเก็บที่เรือนพักในที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง เพราะที่นั่นยังมีเรือนพักว่างอีกมากนักหวังไห่กับคนอื่น ๆ ขอตัวลาเหล่านายท่านก่อนจะออกไปขับรถม้าไปยังที่ดินอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเก็บข้าวของที่นำมาด้วย โดยมีโจวซานทำหน้าที่พ่อบ้านเดินตามรถม้าของพวกเขาไปยังเรือนพักตั้งแต่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัว บ้านหลินก็หยุดการรับซื้อผลไม้ทั้งหมดและให้บ่าวช่วยกันแช่อิ่มผลไม้ที่เหลื
หลังจากองครักษ์ทั้งแปดนำสิ่งของต่าง ๆ ที่หลินฉิงอันสั่งคนจัดเตรียมเอาไว้ขึ้นเกวียนครบแล้ว พวกเขาก็ใช้ม้าหกตัวในการลากเกวียน ส่วนม้าอีกสองตัวนั้นวิ่งขนาบข้างคอยคุ้มกันสิ่งของบนเกวียนใหญ่ก่อนที่ขบวนขององครักษ์จิงหยานจะออกเดินทาง เหิงอันโหวได้ฝากจดหมายให้พวกเขานำไปส่งหลานชายด้วย หลินฉิงอันเองก็ฝากจดหมายไปเช่นกัน นางยังแนบแบบเกือกม้าและอานทั้งหมดให้ไปด้วย เพราะนางเห็นว่าสิ่งของพวกนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับกองทัพของเหิงจิ้งกั๋ว“พวกเจ้าออกเดินทางได้แล้ว ประเดี๋ยวหิมะจะตกลงมาเสียก่อน”“ขอรับนายท่านผู้เฒ่า” องครักษ์ทั้งแปดรีบรับคำเหิงอันโหว“ขอให้พวกพี่ชายเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ อย่าลืมว่าถ้าหิมะตกให้เปลี่ยนล้อเป็นแบบลากเลื่อนด้วยนะเจ้าคะ จะได้เดินทางสะดวก”“ขอรับคุณหนูหลิน ขอบคุณสำหรับเสบียงระหว่างเดินทางด้วยขอรับ”เหิงอันโหวกลัวว่าพวกเขาจะออกเดินทางสายไปมากกว่
อีกสองสัปดาห์จะเข้าหน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว หลินฉิงอันนึกถึงอากาศที่หนาวเย็นในปีที่แล้วขึ้นมา นางจึงคิดที่จะสร้างเกือกม้าและอานม้า รวมทั้งชุดม้า ลา สำหรับให้พวกมันใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นด้วยหลินฉิงอันใช้เวลาว่างถึงสามวันวาดแบบออกมาเท่าที่นางจำได้ จากนั้นจึงนำแบบไปปรึกษากับเฉียนซื่อและเฉินกังก่อนให้พวกเขานำเงินไปสั่งทำที่ร้านตีเหล็กในเมือง นางไม่รู้ว่าราคาจะแพงมากหรือไม่จึงให้เงินพวกเขาไป 100 ตำลึงเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนหนังสัตว์ที่นางต้องการนำมาให้ท่านแม่กับพี่สาวหลิงฟางเย็บให้นั้นก็สั่งให้พวกเขาซื้อมาด้วยจำนวนมาก นางให้เงินพวกเขาไปอีก 100 ตำลึงเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลากลับมานำเงินไปซื้อของหลายครั้งหลินอ้ายไม่ได้ทักท้วงอะไรที่เห็นหลินฉิงอันใช้เงินจำนวนมากในครั้งนี้ นางรู้ดีว่าบุตรสาวทำสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ของคนในบ้านทั้งนั้น เรื่องชุดในบ้านที่นางเองจะมอบให้บ่าวรับใช้ก็เสร็จครบทั้งหมดแล้ว หลินอ้ายนึกถึงเสื้อคลุมกันหนาวขึ้นมาได้ นางจึงคิดจะส่งโจวซานไปสอบถามราคาที่ร้านค้าดูก่อน หากราคาแพงเกินไป นางค
สองวันต่อมา หลินฉิงอันเข้าเมืองกับชุนจินเพื่อไปรับหยกพกที่นางสั่งทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินฉิงอันจ่ายเงินที่เหลือก่อนจะรับหยกพกมาตรวจสอบดู รูปแบบหยกที่สลักออกมาทำได้อย่างสวยงามตามที่นางวาดภาพเอาไว้ให้ช่างแกะสลัก ซึ่งหลินฉิงอันให้ช่างแกะสลักเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ รอบตัวหยก ตรงกลางมีคำว่า “林” สลักเอาไว้อย่างสวยงาม หยกพกของบ่าวทั้งหมดเหมือนกัน ส่วนหยกพกอีกห้าอันสำหรับคนในครอบครัวนั้น หลินฉิงอันใช้รูปเมฆมงคลและศาลากลางน้ำหลังเล็กโดยตรงกลางสลักคำว่า “หลิน” เช่นกัน เพิ่มเติมเพียงด้านหลังจะมีชื่อเจ้าของหยกแต่ละอันสลักเอาไว้ สีของหยกยังเป็นหยกมันแพะสีขาวนวล แตกต่างจากสีหยกของบ่าวในเรือนที่เป็นหยกสีเขียวธรรมดาหลังจากรับของมาทั้งหมดแล้ว หลินฉิงอันนำถุงหยกทั้งสองถุงเก็บเอาไว้ในรถม้าอย่างดี ก่อนที่นางจะไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองเพิ่มด้วย ถึงแม้เมื่อวานทางร้านจะนำไปส่งที่บ้านนางจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันก็ยังคงเผื่อเหลือเอาไว้อีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าการเ
คืนนั้นหลินฉิงอันใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อเขียนรายการสิ่งของจำเป็น เสบียงอาหารที่จะต้องซื้อในปีนี้ให้พอเพียงกับคนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นในครอบครัว นางคิดด้วยว่าปีที่แล้วนางชวนครอบครัวกินหม้อไฟไปแล้ว ปีนี้นางอยากให้พวกเขาได้ลองกินหมูกระทะดูบ้าง หลินฉิงอันจึงร่างแบบหม้อสำหรับทำหมูกระทะตามความทรงจำในภพก่อนออกมา ด้วยคนจำนวนมากในบ้าน หลินฉิงอันคิดจะสั่งทำหม้อสัก 50 ใบเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนเตานั้นนางก็จะต้องซื้อเพิ่มมาด้วยเพื่อให้พอเพียงสำหรับวางหม้อหมูกระทะที่นางต้องการหลังอาหารเช้าวันต่อมา หลินฉิงอันอ่านรายการสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ พร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมากให้หลินอ้ายและหลินฉางหยูฟังเป็นเวลานาน หลินอ้ายและหลินฉางหยูยังบอกรายการสิ่งของเพิ่มเติมสำหรับการนำมาเป็นเสบียงอาหารในปีนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากจะต้องได้กินอิ่มนอนหลับในขณะที่อยู่ร่วมกันกับพวกเขาที่หมู่บ้านหลินฉิงอันไม่ได้ปฏิเสธรายการต่าง ๆ ที่พ่อและแม่นางเสนอ หลินฉิงอันทำเพียงแค่เพิ่มรายการต่าง ๆ เข้าไปในกระดาษเท่านั้น“ลูกค