บทนำ
เยว่ซินเหยา เจ้าสำนักพยากรณ์ผู้เลื่องชื่อ รูปร่างสง่างามดั่งเทพธิดา ใบหน้าคมชัด ดวงตาเฉียบแหลมแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากบางเรียวสะกดทุกสายตาที่พบเห็น ผิวเนียนละเอียดดั่งหยกอ่อน ผมดำขลับยาวสลวย ถูกจัดเกล้าเป็นทรงสูงแบบโบราณประดับด้วย ปิ่นเงินอัญมณีสีแดงเลือดมังกร ยึดผมไว้ให้เรียบร้อย ชายผมด้านข้างถูกปล่อยลงพลิ้วไหวตามลมอย่างงดงาม นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวล้วน กระโปรงยาวพลิ้วไหว ลวดลายบนผ้าเป็นเส้นสายอ่อนช้อย ทุกการเคลื่อนไหวเผยถึงความสง่างาม
ซินเหยา ยืนอยู่ท่ามกลางลานพิธีบวงสรวงของสำนัก แท่นหินหยกตั้งอยู่ตรงกลาง รอบๆ แท่นพิธีมีทั้งศิษย์และผู้เฒ่าของสำนักยืนเรียงราย ล้อมรอบแท่นพิธี ไกลออกไปเป็นเหล่าเชื้อพระวงศ์ และชาวบ้านที่มาเข้าร่วมพิธีด้วย
เยว่ซินเหยาค่อยๆ ก้าวไปยังแท่นพิธี มือข้างหนึ่งประคอง ลูกแก้วพยากรณ์ ไว้กลางอก มืออีกข้างยกขึ้นเหนือลูกแก้ว ทำมือมุทรา ส่วนปลายนิ้วที่เหลือประสานกันแน่น สายตาของนางสอดส่องไปยังโต๊ะพิธีที่จัดผลไม้บูชาไว้อย่างครบถ้วน วางเรียงอย่างประณีต เทียนทองคำให้แสงสว่างส่องทั่วทั้งโต๊ะ ทุกองค์ประกอบรอบตัวนางดูสมบูรณ์พร้อมสำหรับพิธีบูชาสวรรค์ครั้งนี้
“เอาละเริ่มพิธีบูชาสวรรค์ได้” เอ่ยจบคำ เสียงร่ายคาถาของซินเหยาก็ดังกึ่งก้องและพลังปราณขั้นสูงปกคลุมไปทั่วทั่งบริเวณ นางสวดบวงสรวงสวรรค์ได้ราวหนึ่งเค่อ ใบหน้างามเริ่มมีเหงื่อซึมตามหน้าผากและข้างแก้ม เนื่องด้วยใช้พลังปราณ ค่อนข้างมากในการทำพิธี
หลังจากร่ายบทคาถาบวงสรวง นางจึงเริ่มร่าย คาถาขอฝน เสียงคำสวดชัดเจนและหนักแน่น ความเข้มข้นของพลังทำให้สายฝนพรำหนักขึ้น เม็ดฝนกระทบผืนดินและกระทบชายกระโปรงของนาง กลิ่นธูปและฝนผสานกัน บรรยากาศทั้งลานพิธีเต็มไปด้วยความขลังและศักดิ์สิทธิ์
สายตาของผู้ร่วมพิธีจดจ้องร่างเยว่ซินเหยาด้วยความหวัง ทุกคนต่างรู้สึกถึงพลังที่เรียกมาจากสวรรค์
เมื่อเม็ดฝนพรำโปรยปรายลงมา ผู้คนที่มาเข้าร่วมพิธีถึงกับหลั่งน้ำตา ก้มลงกราบพื้นดิน น้ำตาแห่งความดีใจและความหวังผสมปนกับฝนพรำ พวกเขารู้สึกถึง ความอุดมสมบูรณ์ที่ใกล้เข้ามา หลังจากที่แผ่นดินแห้งแล้งมานานนับสามปี
เยว่ซินเหยายังคงร่าย คาถาขอฝน มือที่ทำมุทราเหนือลูกแก้วสั่นไหวเล็กน้อย แสงทองจากลูกแก้วและแท่นพิธีรวมตัวสว่างเจิดจ้า ราวกับพลังสวรรค์ทั้งหมดถูกดึงมารวม ณ จุดเดียว สายฝนโปรยลงหนักขึ้น เสียงฟ้าผ่ากึกก้องเหนือหัว ร่างเยว่ซินเหยารู้สึกถึงแรงดึงบางอย่าง ลมพัดแรงจนชายกระโปรงและผมปลิวไหวเป็นคลื่น นางหลับตาแน่น พลังจากลูกแก้วและคาถาที่ร่ายทำงานอย่างเต็มที่ พลังสวรรค์สั่นสะเทือนลานพิธี ผู้คนก้มกราบด้วยความหวาดเกรงและเลื่อมใส
จู่ๆ แสงจากลูกแก้วผสานกับสายฟ้าที่ผ่าลงมา กลืนลานพิธีทั้งหมดในความสว่างเจิดจ้า เยว่ซินเหยาถูกพลังดูดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จนทุกสิ่งรอบตัวนาง จมหายไปในความสว่างนั้น ทิ้งไว้เพียง ร่างของนางที่ร่วงลงมาสู่พื้น สงบนิ่งมือที่ทำมุทราและลูกแก้วที่หม่นแสงลงยังคงค้างอยู่ในท่าทางเดิม
ผู้คนรอบแท่นพิธี ยังคงก้มกราบต่ำด้วยความหวาดเกรงสายฝนโปรยลงมาทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเหมือนถูก ชะล้าง พลังสวรรค์ที่เพิ่งเรียกมาส่งผลชัดเจน พวกเขารู้ดีว่าพิธีวันนี้ได้แลกด้วยสิ่งที่มีค่า แต่ผู้ทำพิธีเองยังไม่รู้ตัวเลย ร่างเยว่ซินเหยาร่วงลงมาอยู่บนแท่นกลางพิธี วิญญาณของนางถูกดึงขึ้นไปสูงเหนือโลก เสียงฝนยังคงตกกระหน่ำเป็นจังหวะ
เมื่อแสงสว่างจากฟ้าผ่าและลูกแก้วค่อยๆ จางลง เยว่ซินเหยาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นางพบว่าตัวเองอยู่ใน สถานที่แปลกตา รอบกายเต็มไปด้วยสีขาวจางๆ ไร้ขอบเขต ไม่มีพื้น ไม่มีผนัง ไม่มีต้นไม้หรือวัตถุใดๆ เพียงความว่างเปล่าและแสงจางๆ ที่เหมือนลอยอยู่กลางอากาศ สายตาของนางพยายามโฟกัส แต่กลับไม่สามารถจับขอบเขตหรือทิศทางใดๆ ได้ ทุกอย่างราวกับลอยอยู่ ในมิติที่ไม่มีอะไรเลย ความเงียบรอบตัวทำให้ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรง
“เกิดอันใดขึ้น...ข้าตายแล้วหรือ” เยว่ซินเหยาพูดขึ้นด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจน พร้อมกับความงุนงง
ทันใดนั้น เสียงนุ่มลึกดังขึ้นในหัวของนาง ราวพูดกับจิตใจโดยตรง
‘ยินดีตอนรับสู่ ระบบพยากรณ์สวรรค์ขอรับ’ เยว่ซินเหยา กระพริบตาหลายครั้ง ความรู้สึกประหลาดไหลเข้าสู่ร่าง ราวกับมีพลังลึกลับบางอย่างไหลเวียนไปทั่วร่างของนาง
“ระ..ระบบ คือสิ่งใด”
‘ระบบพยากรณ์สวรรค์… คือเครื่องมือที่สวรรค์มอบให้แก่ผู้ถูกเลือก’ เสียงตอบกลับชัดเจนและมั่นคง
“เลือกหรือ..เหตุใดจึงเลือกข้า”
‘เพราะท่านเป็นผู้มีพลังหยั่งรู้ฟ้าดิน ซ้ำยังสามารถอัญเชิญเทพหยู่เสินมาประทานสายฝนได้ พิธีกรรมที่ท่านทำนั้นมีข้อแลกเปลี่ยน’
“แลกเปลี่ยนหรือ...แลกกับสิ่งใดในตำราโบราณมิเห็นได้แจ้งไว้…” เยว่ซินเหยายังพูดไม่ทันขาดคำ ภาพนิมิตก็ฉายขึ้นรอบตัวนาง
‘ทั้งห้าผู้เฒ่าแห่งสำนักลอบประชุมกันในห้องลับที่ไม่ใครรู้เห็น พวกเขาได้รับตำราโบราณและค่าจ้างจากกษัตริย์เพื่อทำพิธีเรียกฝน แต่ไม่มีใครเต็มใจทำงานเสี่ยงภัยเช่นนี้ เหล่าผู้อาวุโสที่ได้อ่านตำราเล่มนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าการทำพิธีต้องใช้ผู้มีพลังสูงและต้องแลกด้วยวิญญาณของผู้ทำพิธี ทั้งห้าคนจึงได้ลอบปรึกษากันและตกลงกันว่าจะนำตำราเล่มนี้ไปให้เจ้าสำนักซินเหยาเป็นผู้ศึกษาและทำพิธี พวกเขาได้จัดการทำลายตำราหน้าสุดท้ายที่แจ้งไว้ถึงเงื่อนไขการแลกวิญญาณ แล้วจึงนำไปมอบให้เจ้าสำนักได้ศึกษา นางศึกษาตำราอย่างรอบคอบและเร่งดำเนินพิธี เรียกสายฝนเพื่อช่วยขจัดภัยแล้ง ที่พรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนตลอดสามปีที่ผ่านมา...
ภาพยังคงฉายต่อหลังจากที่นางได้จากไป เหล่าผู้คนต่างพากันสรรเสริญและรำลึกถึงความกล้าหาญของนาง พิธีศพจึงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เหล่าผู้คนต่างหลั่งน้ำตาและถวายความเคารพ แต่ท่ามกลางความโศกเศร้าและการสรรเสริญ พวกผู้เฒ่าจอมเจ้าเล่ห์กลับเริ่มแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก ความโลภของพวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจน ความขัดแย้งระหว่างผู้เฒ่าก็เริ่มปะทุขึ้น จากนั้นภาพจึงดับลง’
หลังจากรู้ความจริง เยว่ซินเหยาก็โกรธสุดขีด ดวงตาของนางฉายประกายความเดือดดาล เสียงนางดังขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแต่เต็มไปด้วยอำนาจ
“หน๊อย เจ้าพวก..!” ซินเหยาสบถคำหยาบคายออกมาหลายชุด
แม้นางจะอยากช่วยเหลือผู้คนแต่ถ้าต้องช่วยถึงขั้นต้องแลกชีวิตก็ขอให้นางได้เตรียมใจก่อนไม่ใช่ตายแบบไม่รู้ตัวเช่นนี้ ถึงแม้นางจะเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินแต่ความสามารถนั้นมีจำกัดนางไม่สามารถดูชะตาตัวเองได้และอีกทั้งผู้ที่นำตำรามามอบให้ก็มิใช่ผู้อื่น หากเป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งซึ่งนางเคารพยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงมิได้ระแวงสงสัย การจะตรวจสอบชะตาของผู้อาวุโสโดยพลการนั้นถือเป็นข้อห้ามใหญ่โต มิอาจทำได้โดยปราศจากเหตุผลอันควร ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้เอง จึงทำให้นางพลั้งพลาดไปสู่หนทางที่มิอาจหวนกลับ
‘เอาละ ในเมื่อทราบแล้วก็ขอให้ท่านเตรียมใจเสียหน่อย’
“เอาเถอะ...อย่างไรก็ตายแล้วข้าต้องทำสิ่งใดต่อ ไปเกิดหรือขึ้นสวรรค์เป็นเทพ” ซินเหยาคิดอย่างปลงตก แค้นใจไปก็ทำอันใดไม่ได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกรรมแล้วกัน
‘ไปถึงแล้วท่านจะรู้เอง หมดหน้าที่ข้าแล้ว’
จบคำแสงสีทองและน้ำเงินสาดส่องทั่วบริเวณ สายลมพัดแรงและภาพลวงตาเริ่มปรากฏรอบตัว นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงเข้าสู่มิติใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่