“อืม...สวยเหมือนแม่ แต่อย่าให้อาภัพเหมือนแม่เลยนะ แม่น่ะสังเวชใจเหลือเกิน ถ้าเป็นไปได้อยากจะขอยายเล็กเอามาอยู่ซะด้วยกันที่นี่เลย ไม่รู้ว่าแกจะยอมหรือเปล่า เฮ้อ!”
“ก็ลองดูสิครับแม่ ไม่ลองก็ไม่รู้ ถ้าแกไม่ได้รักหนูหล้าแกก็น่าจะให้เราเอามาเลี้ยงได้ แต่ถ้าแกไม่ยอม จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อย่างน้อยเราก็ยังได้รู้ว่าแกยังต้องการเด็กคนนี้อยู่” ปณิธานเสนอความคิด เพราะแม่ของเขาเอาแต่ถอนหายใจเสียงดังอย่างอึดอัดหัวใจเต็มแก่
“แกไม่ให้หรอกแม่รู้ แกรักฟ้ารุ่งที่สุด ถึงจะบอกว่าไม่รักหลาน ไม่ต้องการหลาน แต่ลูกของลูกสาวที่แกรักที่สุด แกคงไม่มีวันส่งไปให้ใครหรอก ไม่อย่างงั้นแกคงไม่รับเอามาเลี้ยงตั้งแต่แรก”
“งั้นสรุปว่าแกก็รักหนูหล้าอยู่เหมือนกันหรือครับ”
“ก็คงอย่างงั้น คนอะไรไม่รู้หัวโบราณ ฝังจิตฝังใจ เฮ้อ...”
“หึๆ ใครจะทันสมัยเท่าแม่ของผมล่ะครับ ลูกสะใภ้เป็นฝรั่งยังโอเคเลย”
“นั่นน่ะยอมเพราะตารบหรอก”
ปณิธานโอบกอดมารดาด้วยความรัก แม่ของเขามีจิตใจที่โอบอ้อมอารีต่อผู้อื่นเสมอ แม้ในระยะแรกที่เขาบอกว่าจะแต่งงานกับแคทเทอรีนแม่จะไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็ไม่ห้ามไม่ขัดขวาง เพียงแต่บอกให้ดูกันไปให้ดี เพราะวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมากอาจทำให้แคทเทอรีนทนอยู่กับเขาที่เมืองไทยไม่ได้ และก็เป็นจริงอย่างที่แม่พูดทุกอย่าง เพียง 6 ปีของการร่วมชีวิต แคทเทอรีนก็หย่าขาดจากเขาเพราะไม่สามารถใช้ชีวิตเป็นแม่บ้านทหารอยู่ที่เมืองไทยได้ และจะให้เขาออกจากราชการแล้วย้ายไปอยู่กับเธอที่อเมริกาเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขารักเมืองไทยเกินกว่าที่จะย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นได้ แต่เขาก็ไม่เคยกีดกันลูกชายกับเธอ ทุกซัมเมอร์เด็กชายที่เป็นหัวใจของคนทั้งบ้านก็จะได้เดินทางไปอยู่กับแม่ของเขาที่อเมริกาเสมอ
“ถ้าที่โรงเรียนเขาไม่มีทุนให้ ผมจะอุปการะเด็กคนนี้เองนะครับ” ปณิธานเอ่ยเสียงทุ้มเจือความปรานีที่ฉายชัดในแววตา
“จะเอาอย่างนั้นหรือลูก”
“ครับ มีลูกสาวเพิ่มขึ้นอีกคนขนหน้าแข้งผมไม่ร่วงหรอก แค่รายได้จากงานพิเศษของผมก็เลี้ยงเจ้ารบพอแล้ว เงินเดือนไม่ได้ใช้เลยสักบาท”
ปณิธานหมายถึงงานถ่ายภาพส่งนิตยสารที่เขาทำเป็นงานอดิเรก ซึ่งแม้จะไม่ใช่รายได้หลักที่ได้รับประจำทุกเดือน แต่ทุกครั้งที่ได้รับก็มากกว่าเงินเดือนข้าราชการทหารหลายเท่าตัว ทำให้เขาพอจะมีเงินเก็บอยู่มาก ประกอบกับฐานะทางบ้านที่ไม่ได้เดือดร้อน ทั้งยังมีที่ทางที่ได้รับเป็นมรดกจากพ่อ ซึ่งบางส่วนปล่อยให้ชาวนาชาวสวนเช่าก็ยิ่งเพิ่มรายได้ให้แก่เขาอีกทางหนึ่ง
“ธานใจดีจังลูก”
“หึๆ ก็ผมลูกแม่นี่ครับ”
“จ้า...ปากหวานจริงลูก ปะ ไปกินข้าวเย็นกันเถอะ มาลองกินฝีมือยายเล็กดูซิว่ายังถูกปากธานเหมือนเดิมหรือเปล่า”
ปณิธานโอบประคองมารดาเดินเข้าสู่ตัวบ้าน บ้านที่ให้ความรักและความอบอุ่นใจแก่เขาเสมอ และเขาก็หวังอย่างที่สุดว่าเด็กชายนักรบจะเติบโตขึ้นโดยซึมซับความรักของครอบครัวไว้เป็นเสบียงหล่อเลี้ยงหัวใจไม่ให้เป็นคนเห็นแก่ตัวในวันข้างหน้า
.
.
เด็กหญิงหล้าจ้องมองถุงกระดาษสีน้ำตาลที่ด้านข้างมีลวดลายเป็นเส้นสีชมพูกับสีฟ้าตัดกันไปมาสลับกับมองใบหน้าเจ้าของถุงที่ยิ้มจนเห็นฟันสีขาวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบด้วยความสงสัย เพราะถุงกระดาษใบนี้ถูกยื่นมาตรงหน้าในขณะอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงบ้านที่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับบ้านของยายพิศที่เพิ่งเดินจากมา
“เอ้า พี่ให้” นักรบเอ่ยซ้ำเมื่อเธอไม่ยอมขยับมือมารับสิ่งที่เขายื่นให้
“ให้...ให้หล้าเหรอ” เด็กหญิงมองถุงกระดาษในมือของพี่ชายใจดีก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
“อ้าว พี่ให้จริงนะ น้องหล้าจะได้เอาไว้เล่นแทนเจ้าเปี๊ยก แล้วอย่าลืมพาเปี๊ยกไปส่งแม่เขาด้วย เขายังไม่หย่านม น้องหล้าไปเอาเขามาอย่างนี้แม่เขาจะคิดถึงลูกเอาได้”
“คิดถึงเหรอ” เด็กหญิงลูบศีรษะลูกสุนัข แววตาหมองเศร้าสื่อออกมาจนคนที่มองอยู่รับรู้ได้
“อืม ใช่สิ ก็ต้องคิดถึง เอ่อ...พี่หมายถึง แม่เขาอยากให้ลูกมากินนมน่ะ จริงไหมครับอาปาน” ใบหน้าจิ้มลิ้มที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้เด็กชายรู้ตัวว่าคงพูดอะไรผิดไป
“ใช่จ้ะ ถ้าถึงเวลากินนมแล้วลูกไม่ได้กินแม่เขาจะเจ็บเต้านมมาก หล้าไม่ควรแยกเขาจากแม่นะลูก อีกอย่างถ้าแม่เขาหงุดหงิดเขาก็อาจจะกัดหล้าได้ ไหนหล้าเอาเขามาจากตรงไหน เราเอาเขาไปคืนแม่ก่อนดีกว่า ป่านนี้เปี๊ยกคงจะคิดถึงแม่แล้วแหละ ดีไหม”
เด็กหญิงอมยิ้มแสดงให้เห็นว่าเข้าใจและคงลืมเรื่องเศร้าในใจไปบ้างแล้ว ดวงตาสุกใสคล้ายมีความฝันเล็กๆ จ้องมองถุงกระดาษในมือของเด็กชาย แววตาตื่นเต้นที่เจ้าตัวพยายามก้มหน้าก้มตามองแต่เพียงสุนัขตัวน้อยในมือ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองมาอีกครั้ง แต่เมื่อเขายื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลใบโตให้ เธอก็ไม่กล้าเอื้อมมือมาหยิบ ทั้งที่การแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์นั้นบ่งบอกว่าอยากได้ และคงตื่นเต้นเป็นหนักหนาที่จะมีใครให้สิ่งของ ทั้งที่ยังไม่รู้สักนิดว่าอะไรกันที่อยู่ในนั้น
“รับไปสิลูก พี่นักรบเขาเลือกมาเองเลยนะ หล้าต้องชอบแน่นอน” ปานใจเอ่ยสนับสนุนและยิ่งรู้สึกสงสารเด็กน้อยมากขึ้นไปอีก เมื่อสิ่งที่รับรู้อีกอย่างหนึ่งคือ หล้าคงไม่เคยมีใครให้ของอะไรเลยสักอย่าง
“รับไปสิน้องหล้า พี่ให้จริงๆ แต่ต้องเอาไปเปิดที่บ้านนะ จะได้ตื่นเต้น” เด็กชายบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นแทนคนได้รับ พร้อมกับรอยยิ้มจริงใจ
เสียงไก่ชาวบ้านที่เลี้ยงไว้ส่งสัญญาณว่าเวลารุ่งอรุณมาถึงแล้ว ขณะที่เปลือกตาสวยหวานเริ่มกะพริบถี่ก่อนใบหน้าและเรือนกายจะร้อนผ่าวขึ้นเพราะเนื้อกายเปล่าเปลือยที่กอดกระชับและซ้อนทับอยู่ด้านหลัง เธอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อความร้อนแรงมอดดับไปผิวเนื้อก็สัมผัสได้ถึงความชื้นเย็นของน้ำค้าง ดวงตาสวยหวานมองหาผ้าห่มเพื่อคลุมกายแต่ติดบางสิ่ง ทำให้เธอต้องขยับอย่างระวัง “อื้อ...จะไปไหนล่ะครับ นอนต่อเถอะ” ท่อนแขนที่กอดกระชับร่างบางแนบแน่นอย่างระมัดระวัง ทำให้มัตติกาเริ่มสั่นหวั่นไหวอีกครั้ง “ติ๊ก้าจะห่มผ้า” ฝ่ามือใหญ่สัมผัสไปมาบนเนื้อตัวรับรู้ได้ถึงความเย็นชื้นของผิวเนื้อ ก่อนเรือนกายแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามแห่งบุรุษจะลุกขึ้นแต่ก็ยังไม่วายจะรั้งร่างเปล่าเปลือยของเธอให้ลุกตาม มัตติกาผวากอดรัดร่างของเขาแน่น ทั่วทั้งใบหน้าและเนื้อกายร้อนผ่าวเพราะสิ่งที่เขากระทำ ศิรชัชโอบอุ้มร่างเปล่าเปลือยของเธอไม่ยอมให้แยกออกจากกันจนเธอต้องผวากอดรัดเขาเพราะกลัวตก ส่วนเขาได้แต่หัวเราะไปมาในลำคอ ผ้าห่มผืนบางที่ตกอยู่ปลายเตียงถูกเขี่ยขึ้นไปไว้บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าเขาจะปล่อยเธอ
ความอุ่นวาบทาบทับบดขยี้รุกเร้ารุนแรงตามอารมณ์ ทำให้ร่างบางที่พยายามจะต่อต้านนิ่งขึงดั่งถูกสตาฟฟ์ ความรุนแรงร้อนซ่านแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนนุ่มนวลเพราะเจ้าของร่างเล็กสั่นสะท้านไปทั้งตัว เรียวลิ้นอุ่นจนเกือบร้อนชอนชิมความหวานจากภายในและพยายามดุนดึงลิ้นน้อยให้สัมผัสกันและกัน ในขณะที่ฝ่ามือของเขาไม่ได้ละไปจากความอวบอิ่มนั้นเลยสักนิด กลับกันมันกลับกำลังทำหน้าที่สอดประสานกับฝ่ามืออีกข้างที่ตรงเข้าโอบรัดเบื้องหลังและไต่ขึ้นไปจนสะกิดตระขอบราเซียร์ให้หลุดออก ปล่อยให้นิ้วมือแกร่งปนร้อนเข้าไปแตะต้องสัมผัสร่างที่สั่นสะท้านไปกับสิ่งรุกเร้าครั้งแรกในชีวิต “อืม...เป็นไง คุณคนขายข่าว ถึงกับเคลิ้มเลยใช่ไหม ถ้าคุณเอาข่าวผมลง ผมก็จะบอกคนอื่นว่าคุณมายั่วผมแต่ผมไม่เล่นด้วย คุณเลยเล่นงานผมด้วยวิธีนี้ ไหนดูซิมีภาพอะไรบ้าง” ภีมคว้ากล้องดิจิทัลที่คล้องคอพราวรุ้งขึ้นมากดดูภาพที่เธอถ่ายไว้ ซึ่งไม่มีภาพอะไรที่ผิดปกติ จะมีก็แค่ภาพที่เขามองมัตติกาด้วยความเสียดายเท่านั้น และภาพที่ถ่ายทอดความรู้สึกเยี่ยงนี้เขาจะกดทิ้งก็เสียดายจริงๆ ต้องนับว่าเธอถ่ายภาพได้ดีมากๆ “ก็ไม่เห็นมีอะไรน
“พี่แชมป์ขา...ติ๊ก้าไม่ไหว...” “เรียกใหม่ครับทูนหัว...เรียกพี่...เร็วครับ!..” “อื้อ...พี่นักรบขา...เร็วค่ะ!” เสียงกรีดร้องถูกกักเก็บไว้ด้วยริมฝีปากร้อนพร้อมกับลาวาอุ่นซ่านถูกปลดปล่อยเข้าสู่ใจกลางดงดอกไม้ บ่าวสาวกอดกันกลมในท่านั่งอยู่บนเตียง “ปล่อยติ๊ก้าก่อนนะคะ” “ไม่ปล่อยได้ไหมครับ พี่ยังไม่อิ่มเลย” “ปล่อยนะ แค่นี้ก็...” “แค่นี้อะไรกันครับ พี่แชมป์นะได้เป็นสิบนะครับ ลืมไปแล้วเหรอ ยิ่งตอนนี้เป็นพี่นักรบขาของน้องหล้าด้วย รับรองว่ากว่าจะถึงเช้าพี่ต้องทำลายสถิติแน่ๆ” “บ้า! พี่แชมป์ ปล่อยติ๊ก้านะ” มัตติกาพยายามดิ้นรนจะลงจากตักของศิรชัชแต่ดูเหมือนยิ่งดิ้น ภายในก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง “อย่าขยับ...ขยับได้แล้วครับ พี่ช่วย...” ฝ่ามือจับสะโพกผายขยับขึ้นลงจนมัตติกาเสียหลักผวากอดรัดรอบต้นคอของเขาแน่น “พี่แชมป์บ้า!..”.. เจ้าสาวมีอาการสะเทิ้นอายและหน้าแดงระเรื่อในยามที่ผู้ใหญ่ต่างพากันมาอวยพรส่งตัวบ่าวสาว ผิดกับเจ้าบ่าวที่อมยิ้มละมัยราวกับคนได้รับชัยชนะจากการพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์
‘พี่ดวงขอแสดงความยินดีกับน้องติ๊ก้าและก็แชมป์ด้วยค่ะ ขอโทษกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป ขอบคุณสำหรับชีวิตใหม่และครอบครัวที่อบอุ่น ขอบคุณจริงๆ’ .. ดวงตาสวยหวานไล่สายตาไปมาบนจดหมายที่น้าชายเอามาส่งให้ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสุข เธอมีความสุขเพราะคนรอบข้างมีความสุข เพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับชีวิตหนึ่งที่เกิดมาบนโลกใบนี้ แล้วคนเราจะยังต้องการอะไรกันอีก ความต้องการที่แท้จริงก็เพียงการได้รับความรักและการยอมรับจากคนที่เรารักเท่านั้นไม่ใช่หรือ ซึ่งทั้งหมดนี้เธอมีพร้อมหมดแล้ว และเธอก็มั่นใจว่าในเวลานี้กลิกาก็คงมีความสุขเช่นเดียวกัน “อ่านอะไรอยู่ครับ น้องหล้า” อ้อมกอดกระชับแนบแน่นจากเบื้องหลังก่อนจะฝังจมูกลงกับซอกคอหอมกรุ่นเย้าแหย่ให้เจ้าสาวแสนสวยของเขาจั๊กจี้เล่น “อื้อ...พี่แชมป์นี่ ปล่อยก่อนสิคะ” “ไม่เอาเรียกใหม่” “เรียกใหม่” ดวงตาสวยหวานครุ่นคิดไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาบอก “ต้องเรียกว่ายังไง ก็ตกลงกันแล้ว” “เอ่อ...ใครเขาอยากจะเรียกกัน ไหนว่าไม่เคยมีความลับ” ใบหน้างามเสมองไปทางอื่นเพราะใครกันจะอยากเรียกเขาแบบนั้น ศิรชัชต
ยายเล็กกระชับฝ่ามือของเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาไว้เคียงกัน น้ำตาของผู้เป็นยายไหลอาบใบหน้าไม่ขาดสาย ทว่าเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้ม เมื่อสิ่งที่แกหวังอย่างที่สุดเป็นจริงได้ ‘ก้อนดินก้อนนี้มีคุณค่าที่จะเพาะปลูกสิ่งใดก็เจริญงอกงามรุ่งเรือง โดยเพราะความดีงามได้เจริญงอกงามเกินกว่าสิ่งใด’ อย่างแท้จริง “อ้าวแม่! อวยพรให้หลานมันสิ เอาแต่ร้องไห้” ลมรำเพยเอ่ยแซวทั้งที่ตนเองนั้นก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากยายเล็กสักเท่าไร ดวงตาของผู้เป็นน้าสาวเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา วันเวลาที่ถูกจำกัดอิสรภาพไม่เคยมีคำว่าเสียดาย เพราะสิ่งที่เธอสูญเสียไปนั้นได้รับการตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ‘ความสุข ความรักในครอบครัวได้กลับมาแล้ว’ และเธอก็ได้ไถ่โทษจนหมดสิ้นแล้ว “ยายขอให้หล้ากับพ่อแชมป์มีความสุข ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มั่งมีศรีสุข ขอให้...” คำพูดตีบตันเพราะน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยังไหลอาบไม่ขาดสาย ดวงตาฝ้าฟางด้วยวาวน้ำตามองเห็นภาพความสุขตรงหน้า หลานสาวของแกกำลังจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาและได้คนที่ดีเหมาะสมกันทุกประการ ทำให้แกถึงกับพูดต่อไม่ออก “แม่...” ลมรำเพยกระชับฝ่ามือผู
“ติ๊ก้า...เสร็จหรือยังจ๊ะ คุณแชมป์เขามาแล้วนะ” แองจี้เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าสะสวยอิ่มเอมด้วยความสุข “ไปกันเถอะน้องสาวของเจ๊ คุณแม่ลมเขารอทำหน้าที่แล้วนะจ๊ะ” ลมรำเพยรับหน้าที่เป็นแม่ของเจ้าสาวในวันนี้ เพราะยายเล็กนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะรับบทแม่งาน จะหยิบจะฉวยอะไรก็ยาก ส่วนคุณยายพิศและคุณอาปานใจก็ติดต้องไปธุระให้หลานชายในวันนี้พอดิบพอดี หากเธอจะเลื่อนไปก่อนก็ไม่ได้ เพราะกว่าคุณย่าของศิรชัชจะหาฤกษ์ที่ดีที่สุดนี้มาให้ก็ต้องรอนานถึงสองเดือนด้วยกัน และหากพลาดฤกษ์นี้ไปคงต้องรอไปจนถึงปีหน้า ถ้าให้รอถึงป่านนั้นศิรชัชคงไม่ยอมแน่ เขาคงจะประกาศตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและถือวิสาสะย้ายมาอยู่กับเธอเบ็ดเสร็จ เพราะฉะนั้นคุณแม่ลมรำเพยจึงต้องแต่งองค์ให้สมฐานะแม่ของเจ้าสาวในวันนี้ เจ้าบ่าวรูปหล่อมากปานเทพบุตรของเธออยู่ในชุดไทยพระราชทานขลิบทองสีงาช้างเช่นเดียวกัน ดวงตาคมเข้มของเขาแวววาวเรียกเลือดลมสูบฉีดไปทั่วทั้งใบหน้าได้ในทันทีที่สบสายตา เพราะแววตานั้นไม่ปกปิดความปรารถนาเลยสักนิด และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าของเธอเลยสักเสี้ยวนา