วันศุกร์ถัดมาหิรัญก็มารับลูกไปค้างที่ฟาร์มเป็นครั้งแรกตามที่ตกลงกันไว้กับกัทลี เขาขับรถกระบะมาจอดหน้าบ้านเช่าในเมืองตรงเวลาเป๊ะ เด็กหญิงวิ่งออกมาพร้อมเป้ใบเล็กและรองเท้าบูตส์ลายการ์ตูน
“พ่อมาแล้วค่ะแม่” เธอตะโกนเรียก
“อย่าลืมของนะลูก”
กัทลีเดินตามออกมา ในมือเธอถือถุงผ้าซึ่งใส่เสื้อผ้าและหนังสืออ่านเล่นยื่นให้ลูกสาว
“ขอบคุณค่ะแม่” บัวชมพูหอมแก้มแม่แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ
กัทลียืนมองจนรถคันนั้นลับตา เธอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะปิดประตูเข้าบ้าน พลางคิดว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะได้เคลียร์งานค้างให้เสร็จเสียที
ที่ฟาร์มเมล่อนที่ตอนนี้ได้ชื่อแล้วว่าฟาร์มบัวชมพู ซึ่งเด็กหญิงหลังจากที่รู้ว่าพ่อตั้งชื่อฟาร์มตามชื่อจริงของตัวเองก็ทำตาโตและยิ้มร่าอย่างพอใจ
จากที่เคยมีบ้านน็อกดาวน์สีขาวสะอาดหลังเล็กขนาดหนึ่งห้องนอน ด้านข้างก็มีบ้านอีกหลังที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมเป็นบ้านสีชมพูมีห้องนอน ระเบียง ห้องโถงพร้อมครัวติดตั้งเสร็จเรียบร้อยสำหรับให้เด็กหญิงโดยที่แบบและสีบ้านเธอเป็นคนเลือกเอง
ไม่ไกลกันเป็นโดมปลูกเมล่อนจำนวน 5 หลังเรียงกันเป็นแถว ด้านข้างมีถังน้ำและบ่อที่ขุดไว้เก็บน้ำฝนและน้ำจากบ่อบาดาล
“หนูจะช่วยพ่อทำฟาร์ม”
บัวชมพูตื่นเต้นเมื่อเดินลงจากรถ พ่อพาเธอเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดทำงานตัวเล็กและสวมหมวกปีกกว้างกันแดด จากนั้นเธอเดินตามพ่อเข้าไปยังโรงเรือนเพาะกล้า
“เอาล่ะ วันนี้เราจะย้ายต้นกล้าไปลงถุงปลูกนะลูก เดี๋ยวพ่อสอนวิธีก่อน” หิรัญอธิบายพลางวางต้นกล้าเมล่อนลงบนโต๊ะไม้
เด็กหญิงตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ เธอหยิบต้นกล้าอย่างระมัดระวังแล้วก้มลงวางลงถุงดินเบาๆ ราวกับกลัวมันจะเจ็บ
“เก่งมากเลยน้องบัวของพ่อ”
หิรัญมองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ภายในใจเขากลับเริ่มมีเสียงถามตัวเองดังขึ้นเรื่อยๆ ว่าที่ผ่านมาเขาปล่อยโอกาสแบบนี้ให้หลุดมือไปได้อย่างไร
หลังจากทำงานเสร็จ ทั้งสองพ่อลูกพากันไปนั่งใต้ต้นมะม่วงหลังบ้าน คนเป็นพ่อแกะปิ่นโตที่เตรียมไว้ มีหมูทอด น้ำพริก และข้าวสวยร้อนๆ ที่นางจันทร์หอมมารดาทำและให้คนเอามาส่งให้
“กินแบบนี้ได้ไหมลูก”
“ได้ค่ะพ่อ หนูชอบหมูทอดของย่าด้วย” บัวชมพูตอบตาเป็นประกาย
เสียงหัวเราะของเด็กหญิงใต้ต้นไม้บ่ายวันนั้น ทำให้หิรัญได้รู้ว่าความสุขจริงๆ ไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่มันคือการที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุขตรงหน้า
วันเสาร์ทั้งวันผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะของพ่อลูก และวันอาทิตย์เช้าหิรัญก็มาส่งลูกถึงหน้าบ้านของกัทลี
“แม่จ๋า หนูช่วยพ่อปลูกต้นไม้ด้วยล่ะ ไว้หนูจะวาดรูปฟาร์มให้ดูนะคะ”
“ดีจังลูก ลูกแม่เก่งจัง” กัทลียิ้มพลางลูบหัวลูกเบาๆ
หิรัญไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแต่พยักหน้าให้กัทลีก่อนจะหันกลับไปที่รถอย่างเงียบๆ แต่ไม่ทันที่เขาจะเปิดประตูรถ น้องบัวก็ร้องเรียก
“พ่อคะ”
หิรัญหันกลับไปทันที “ว่าไงลูก?”
“หนูรักพ่อค่ะ” เธอยิ้มตาใส
หิรัญนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเดินกลับไปกอดลูกแน่น
“พ่อก็รักลูกเหมือนกันครับ”
ขณะที่เขากอดลูกสาวแน่นนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองกัทลีอีกครั้ง และครั้งนี้... กัทลีก็มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร เสียงรถอีกคันก็ดังขึ้นหน้าบ้าน รถกระบะคันหนึ่งมาจอดเงียบๆ ชายหนุ่มท่าทางสุภาพลงจากรถพร้อมถุงกับข้าวในมือ
“สวัสดีครับคุณหิรัญ”
ธนนท์กล่าวทักทายพร้อมยิ้มบาง “ผมแวะเอากับข้าวมาให้กล้วยพอดี”
“ลุงนนท์” บัวชมพูยิ้มกว้างและวิ่งเข้าไปทักทาย
หิรัญยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตามองถุงกับข้าวในมือชายอีกคนและความคุ้นเคยของลูกสาวที่มีต่อเขาคนนั้น ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร กัทลีหันไปพูดกับธนนท์เบาๆ
“ขอบคุณมากนะคะพี่นนท์ ที่เป็นธุระซื้อมาฝากพอดีของในตู้เย็นเหลือแต่ไข่กับมะเขือ แล้วรายงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ก็ยังไม่เสร็จสักทีค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับกล้วย พี่ต้องแวะตลาดอยู่แล้ว”
หิรัญรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นส่วนเกินชายหนุ่มก้มหน้าลงช้าๆ ราวกับไม่อยากเห็นภาพนั้นและหันหลังกลับเดินไปที่รถอีกครั้ง
เสียงประตูรถปิดลงพร้อมกับลมหายใจหนักๆ ที่หลุดออกมา หิรัญนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยสักพักก่อนสตาร์ตรถ เขาจำได้ดีถึงวันที่กัทลีโทรหาครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกเขาบล็อกเบอร์โทร ตอนนั้นเขาอยู่ในหอพักที่กรุงเทพฯ มัวแต่วุ่นวายกับกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ไม่แม้แต่จะฟังเสียงลูกที่ร้องอยู่ไกลๆ ในสาย
เขาคิดถึงครั้งแรกที่ได้เห็นภาพบัวชมพูยามแรกเกิดในโรงพยาบาล ตอนนั้นเขาบอกตัวเองว่าถึงไปเยี่ยมเขาก็คงกลัวจนไม่กล้าจับลูกอยู่ดี กลัวทำแกเจ็บเพราะไม่คุ้นกับเด็กอ่อน แต่ตอนนั้นก็ยังบอกกับตัวเองว่าจะหาโอกาสมาหาลูกและกัทลี แต่เขาก็ละเลยมันไปอีก
จนวันนี้ที่เขากลับมา แต่ดูเหมือนว่าข้างกายของกัทลีจะมีผู้ชายพร้อมเคียงข้างและนั่นไม่ใช่ที่ของเขา
“ครั้งนี้...จะยังทันอยู่ไหม” เขาถามตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนรถออกจากหน้าบ้านด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
เย็นวันนั้นหลังจากขับรถกลับมาถึงฟาร์ม หิรัญก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เขาโทรหาเพื่อนสนิทในกลุ่มคนหนึ่งซึ่งก็ไม่พ้นธนัชหรือบอมเพื่อนคนดีคนเดิม
“ไอ้บอม... กูอยากคุยด้วยหน่อยว่ะ มีเรื่องอยากเล่าเต็มไปหมดเลย”
เสียงปลายสายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับอย่างรู้ทัน ไอ้ห่านี่เวลามีอะไรดีๆ ไม่เคยคิดถึงกูหรอก “เออ มึงโทรมาเมื่อไหร่กูว่างเสมอ ว่าแต่มึงจะเล่าเรื่องลูกได้ยังกูอยากรู้มากครับ”
หิรัญหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะตอบว่า “ก็เรื่องนี้ล่ะ ถ้าแม่ของลูกกูเขาจะหาพ่อใหม่ให้ลูก กูทำไงดีวะมึง”
“ก่อนจะไปเรื่องเขาจะหาพ่อใหม่ให้ลูก มึงเล่าความชั่วมึงมาก่อนครับเพื่อนว่าเรื่องเป็นไงมาไง มึงมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ตอนไหนวะหิน สมัยเรียนมหาลัยกูอยู่กับมึงแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงมึงเอาเวลาไหนไปนอกใจกูทำสาวท้องวะ” ธนัชพูดทีเล่นทีจริง ตามที่เคยมีคนสงสัยว่าเขาและหิรัญเป็นคู่รักกัน ตามประสาจินตนาการอันเพริดแพร้วของพวกสาววายที่มีเกลื่อนมหาวิทยาลัยในตอนนั้น
“เปล่าเลยมึง กูไม่ได้ไปทำสาวไหนท้องตอนเรียนมหาลัย” หิรัญตอบช้าๆ กว่าจะพูดจนจบคนฟังก็แทบขาดใจเพราะความอยากรู้ไม่ไหว
“แต่กูทำผู้หญิงท้องก่อนเข้ามหาลัยว่ะ เขาเป็นแฟนกูนี่ล่ะตอนแรกเราตั้งใจจะมาเรียนด้วยกันแต่พอดีเขาท้องก่อน กูก็เลยไปเรียนคนเดียว”
หากหิรัญมีตาทิพย์ก็คงเห็นว่าปลายสายทำท่าช็อกไปแล้ว แต่เพราะว่าเขาไม่มี ชายหนุ่มจึงได้ยินแค่เพียงคำสบถว่า
“ไอ้เหี้ย... มึงชั่วกว่าที่กูคิดอีกนะไอ้หิน”
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั