วันจันทร์บัวชมพูตื่นแต่เช้าอย่างสดชื่น ในตอนนี้ที่เด็กหญิงอยู่ในช่วงปิดเทอม ระหว่างที่แม่ไปทำงานน้องบัวจะอยู่ที่บ้านโดยที่มีพี่เลี้ยงดูแล โดยที่ช่วงนี้พี่เลี้ยงของน้องบัวที่กัทลีเคยจ้างที่บ้านเก่าย้ายตามมารับหน้าที่เดิมเรียบร้อยแล้ว
ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ที่น้องบัวมาอยู่ด้วย ผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้เธอพาลูกไปที่ทำงานด้วยเพราะเห็นใจว่าเพิ่งย้ายมา และกัทลีเองก็จะได้พาลูกไปทำความรู้จักกับคนรอบข้างใหม่ๆ ที่ควรรู้จักไว้ได้ด้วย
หากแต่เมื่อผ่านไปสองสัปดาห์หญิงสาวก็คิดว่าลูกรู้จักบ้านใหม่และปรับตัวได้ดีพอสมควรแล้ว และเธอควรหากิจกรรมอื่นให้ลูกทำที่บ้านระหว่างแม่ออกไปทำงาน
ในวันแรกเธอสั่งงานให้เด็กหญิงทำแบบฝึกหัดและกำชับทั้งลูกและพี่เลี้ยงเรื่องความปลอดภัยต่างๆ รวมถึงติดกล้องวงจรปิดไว้เพื่อที่เธอจะได้ดูลูกได้
แต่ในตอนสายเด็กหญิงโทรไปหาหิรัญและบอกกับชายหนุ่มว่าอยากไปดูต้นเมล่อน ซึ่งเมื่อหิรัญรู้ว่าลูกอยู่บ้านกับพี่เลี้ยงสองคนในช่วงกลางวัน ชายหนุ่มก็ร้อนใจจนต้องโทรไปหากัทลีในตอนเที่ยงเพื่อคุยเรื่องข้อตกลงดูแลลูกใหม่
“ยังไงนะหิน คุณว่าอะไรนะ”
“ตอนนี้น้องบัวปิดเทอม วันทำงานถ้าคุณไม่พาลูกไปทำงานด้วยหรือไปเรียนพิเศษก็ให้น้องบัวมาอยู่กับผมที่ฟาร์มได้ไหมกล้วย ผมเป็นห่วงลูกไม่อยากให้แกอยู่ตามลำพังกับพี่เลี้ยงที่บ้านสองคน” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วคุณไม่ต้องทำงานเหรอหิน ที่ฟาร์มของคุณมีแต่คนงาน มีบ่อน้ำ รถราเครื่องจักรก็เยอะถ้าลูกไม่อยู่ในสายตาตลอดเวลาฉันว่าอันตรายกว่าให้น้องบัวอยู่บ้านกับพี่เลี้ยงอีก”
“ผมทำงานผมก็ดูแลลูกได้ งั้นคุณลองถามลูกไหมว่าแกจะเลือกอยู่กับพี่เลี้ยงสองคน หรือว่าจะมาอยู่กับพ่อในตอนกลางวันแล้วกลับบ้านตอนเย็นหลังคุณเลิกงาน”
หญิงสาวตอบตกลงว่าจะให้เรื่องเป็นไปตามความต้องการของลูก การตัดสินใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับลูกขึ้นอยู่กับความสุขของแกเป็นหลัก แต่ภายในใจเธอกลับเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่กล้าถามตัวเอง
เย็นวันนั้นกัทลีถามลูกสาวตามตรง เด็กหญิงเหลือบตามองแม่รู้สึกเหมือนทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ และความรู้สึกนั้นก็ส่งผ่านมาทางสีหน้าจนแม่รับรู้ได้จนเธอต้องดึงร่างเล็กมากอด
“แม่ไม่ได้ว่าหนู ที่ถามเพราะแม่อยากให้หนูโอเคที่สุด ถ้าก่อนเปิดเทอมในวันที่แม่ต้องไปทำงานหนูจะไปอยู่กับพ่อที่ฟาร์มก็ได้นะ เย็นเลิกงานแม่ไปรับหนูเองก็ได้ค่ะลูก”
น้องบัวนิ่งให้กอดชั่วครู่ก่อนที่เธอจะขยับตัว “หนูอยากไปอยู่ดูต้นเมล่อนที่หนูปลูกค่ะแม่ หนูเอาแบบฝึกหัดไปทำที่บ้านพ่อก็ได้นะคะแม่แล้วตอนเย็นหนูจะส่งการบ้านให้แม่ตรวจ” เด็กหญิงต่อรอง
กัทลียิ้มและลอบถอนใจ เป็นอีกครั้งแล้วสินะที่น้องบัวเริ่มแสดงออกชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเธอยังต้องการพ่อ
ความสัมพันธ์ของธนนท์และกัทลียังคงเส้นคงวา ชายหนุ่มรุ่นพี่ยังคงความสุภาพ อบอุ่น และพร้อมช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และไม่เคยร้องขออะไรตอบแทน
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กัทลีอยากเปิดใจคบหากับเขามากไปกว่าเพื่อนร่วมงาน และยิ่งเขาดีกับเธอหญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ทุกครั้งที่มองหน้าเขา
เช้าวันต่อมาธนนท์มาส่งเอกสารราชการให้ที่แผนกตามปกติ เขาทักทายนาราและส่งยิ้มเลยมาให้กัทลี
“สวัสดีครับพี่นา สวัสดีครับกล้วย”
“หวัดดีจ้า เอ๊ะทำไมวันนี้ดูนนท์อารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ” นาราตอบพลางยิ้มไปด้วยเหมือนจะแซว
“อากาศดีเลยอารมณ์ดีครับพี่ ไม่มีอะไรหรอก” เขาตอบปนหัวเราะแล้วหันไปยิ้มให้กัทลี
“เอกสารนี่พี่ลงความเห็นมาแล้ว ยังไงกล้วยอ่านอีกทีแล้วพิจารณาใหม่ สรุปยังไงส่งไฟล์ก๊อบปี้ไปทางอีเมลของพี่ได้เลยครับ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปห้องข้างๆ ก่อนนะครับ ต้องส่งแฟ้มอีกชุด”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ จริงๆ พี่นนท์ให้กล้วยไปรับเอกสารเองก็ได้ค่ะไม่เห็นต้องเดินมาเอง” กัทลีตอบแต่ชายหนุ่มรีบโบกมือไปมา
“ไม่เป็นไร พอดีพี่มีเรื่องต้องคุยกับการเงินอยู่แล้วไหนๆ จะมาก็เลยหยิบแฟ้มของกล้วยติดมือมาด้วยพอดี”
ชายหนุ่มอธิบายและขอตัวไปทำงานต่อ หลังจากเขาเดินไปแล้วกัทลีมองตามหลังไปส่วนนาราก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“กล้วย พี่ขอถามจริงๆ เถอะนะ”
“คะพี่นา” กัทลีหันหน้ามามองหัวหน้าสาว
“นนท์เขาดีกับกล้วยขนาดนี้ ออกตัวแรงแบบนี้ กล้วยเคยคิดอะไรกับเขาบ้างไหม?”
คำถามนั้นทำให้คนที่ถูกถามเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง กัทลีเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า
“กล้วยยังไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะเรื่องนี้ ไม่อยากคิดด้วยค่ะพี่นา
น้องบัวกำลังโตก็ต้องยิ่งใส่ใจมากขึ้น อีกอย่างกล้วยไม่อยากให้ใครมองว่าตัวเองหาคนมาช่วยรับภาระเกี่ยวกับลูก”เธอหาคำตอบที่ดีที่สุดทว่าหนักแน่นและเหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลานี้มาจนได้ และมันก็สมเหตุสมผลจนคู่สนทนาคล้อยตาม
“ก็ดีเหมือนกัน พี่ว่าเรื่องนี้อย่ารีบเลยยิ่งเรามีลูกถ้ามีแฟนใหม่ก็ไม่ใช่แค่หาแฟนแต่เขาต้องมาเป็นอีกคนในครอบครัวด้วย” นาราพูดอย่างเป็นกลาง หากทั้งสองเป็นคู่กันจริงสักวันก็คงลงเอยกันได้
บ่ายวันเดียวกันนั้นซึ่งเป็นช่วงเวลาพักเบรกของคนงาน หิรัญนั่งดูแดดที่ตกกระทบกับผนังโดมปลูกเมล่อน ตอนนี้เมล่อนในแปลงทดลองกำลังโตวันโตคืนและช่วงนี้เขาและคนงานต้องเร่งทยอยผูกต้นเมล่อนเข้ากับเชือกที่โยงด้านบน ให้ยอดของมันไต่ขึ้นไปตามเส้นเชือกเป็นการบังคับทิศทางการเติบโต ง่ายต่อการดูแลซึ่งมีผลกับคุณภาพของผลผลิต แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คิดถึงคำพูดของธนัชเมื่อคืนว่า
"มึงน่ะอย่าเอาแต่คิดว่าเขาจะมีคนใหม่หรือยัง มึงต้องถามตัวเองก่อน ว่ามึงจะกลับไปทำให้เขามีความสุขได้ไหม ถ้ายังไม่แน่ใจหรือยังไม่ได้คิดก็อย่าเพิ่งไปคิดหมั่นไส้ใครเลย”
หิรัญกำมือแน่น เขารู้ตัวดีว่าเขาเคยทำผิดพลาดมากแค่ไหน และตอนนี้แม้แต่คำขอโทษก็อาจไม่เพียงพอแล้ว
แต่เขาก็ยังอยากพยายาม แม้ว่าความพยายามนั้นจะไม่มีใครรับรู้เลยก็ตาม...
ชายหนุ่มลุกไปทำงานต่อเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังฟุ้งซ่านมากไป ขณะมือข้างหนึ่งกำลังจับเชือกเส้นที่โยงขึ้นหลักด้านบน ดึงปลายเชือกให้ผูกกับต้นเมล่อนที่เริ่มมีใบจริงสามสี่ใบแล้ว และอีกไม่นานมันจะเริ่มมีดอก
เพียงแต่ว่าในช่วงแรกๆ เขาจะเด็ดดอกตัวเมียทิ้ง โดยเก็บไว้เฉพาะดอกที่ออกในข้อที่แปดถึงสิบห้าเท่านั้นเพื่อความสมบูรณ์ของผลที่เขาจะคัดไว้ให้โตเพียงต้นละหนึ่งผล
ทันใดภาพและเสียงในอดีตลอยเข้ามา
“ต้นไม้เหมือนลูกนะ ต้องดูแลดีๆ ไม่งั้นก็ไม่รอด”
ตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่าสมัยเรียนมัธยมที่ตัวเองเคยทำแปลงทดลองปลูกเมล่อน กัทลีเคยช่วยเขามัดต้นเมล่อนกับหลักแบบนี้ และทั้งที่มือเปื้อนดินเธอก็ยังยิ้มเมื่อเขาทำอะไรตลกๆ และดุเมื่อเขามือหนักไปจนต้นไม้ช้ำ
เขาเพิ่งรู้ตัวว่า ทุกอย่างที่ตัวเองทำในปัจจุบันล้วนวนเวียนกับอดีตที่เคยมีกับกัทลีทั้งสิ้น
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั