หิรัญจอดรถไว้ที่ริมรั้วบ้านเช่าของกัทลี เขาก้าวลงจากรถด้วยหัวใจที่เต้นแรงกว่าทุกวัน เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เขาจะเริ่มมารับลูกไปอยู่ด้วยทั้งวัน เพราะว่าแกยังปิดเทอมส่วนคนเป็นแม่ต้องทำงานตามปกติ
เด็กหญิงบัวชมพูวิ่งออกมาพร้อมกระเป๋าใบเล็กสำหรับใส่ของใช้ประจำวัน เธอสวมหมวกปีกกว้างที่แม่เตรียมไว้และใส่รองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ที่เพิ่งได้เมื่ออาทิตย์ก่อนบ่งบอกว่าเตรียมพร้อมสำหรับการไปช่วยพ่อปลูกเมล่อนอย่างเต็มที่
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
เธอยิ้มกว้าง พลางปีนขึ้นรถอย่างคล่องแคล่ว
หิรัญหัวเราะเบาๆ เขาไม่คุ้นกับคำเรียกนั้นนัก “คุณพ่อ” แต่มันก็ทำให้หัวใจเขาอบอุ่นจนอยากร้องไห้
“หนูพร้อมไหมคะน้องบัว วันนี้พ่อมีต้นเมล่อนอ่อนๆ ให้ดูเพียบเลยนะ”
“พร้อมค่ะ หนูเอาสมุดแบบฝึกหัดกับสีไม้ไปด้วย วันนี้หนูจะทำการบ้านใต้ต้นเมล่อนเลย”
หิรัญหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น เอาไว้ไปถึงฟาร์มน้องบัวคงเห็นเองว่าเธอจะนั่งทำการบ้านใต้ต้นเมล่อนได้ไหม ระหว่างทาง หิรัญแอบมองลูกจากหางตา บัวชมพูนั่งนิ่งไม่ซุกซน กำลังเปิดหนังสือนิทานภาพเล่มหนึ่งอ่านอย่างตั้งใจ ทั้งที่เขาเคยกังวลว่าลูกจะซนจนดูแลยาก แต่นาทีนี้เขาเริ่มเข้าใจว่า เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นได้ดีขนาดไหน ก็อยู่ที่แกจะมีแม่ที่เลี้ยงดูมาอย่างดีเพียงใด
เมื่อถึงฟาร์ม หิรัญเปิดประตูโดมเมล่อนให้ลูกเข้าไป เด็กหญิงรีบเดินเข้าไปยืนมองต้นเมล่อนที่เธอเคยเป็นคนย้ายต้นกล้าลงถุงปลูกจริงเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน
“หนูจำได้นะคะว่าต้นนี้ของหนู ตรงนี้เลย พ่อเคยติดป้ายชื่อไว้ให้”
หิรัญยิ้ม และเดินเข้าไปใกล้ต้นเมล่อนต้นนั้น ป้ายเล็กๆ เขียนว่า “ต้นของน้องบัว” ยังแขวนอยู่ที่เชือกเส้นเดิม
“ถ้าโตเมื่อไหร่ ลูกอยากกินเองไหม หรือจะเอาไปให้แม่ด้วย?”
“ให้แม่ก่อนค่ะ เพราะแม่ชอบผลไม้หวานๆ แล้วก็แบ่งให้พ่อด้วยก็ได้ค่ะ”
“โห ลูกพ่อใจดีจังเลย”
หิรัญตื้อในอกขึ้นมาดื้อๆ เมื่อคิดได้ว่าที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ตอนที่เขายังใช้ชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงที่กรุงเทพฯ จะกินจะใช้อะไรเขาไม่เคยคิดถึงลูกและภรรยาที่รอที่นี่เลย
ยอมรับว่าไม่เคยมีสักเสี้ยวในใจที่จะคิดถึงเด็กที่เรียกเขาว่าพ่อคนนี้ ก็สมควรที่กัทลีจะโกรธจนไม่อยากมองหน้า โกรธจนมองเขาเป็นเหมือนเชื้อโรคที่ไม่ควรข้องแวะด้วย
“พ่อ...” เขาพูดไม่ออกดื้อๆ เพิ่งเข้าใจคำว่าจุกไปทั้งอกเป็นเช่นไรก็วันนี้เอง
หลังจากที่น้องบัวมาดูต้นเมล่อนของเธอจนพอใจแล้ว ชายหนุ่มก็พาลูกออกจากโดมมาล้างไม้ล้างมือที่โรงครัวกลาง ตรงนี้เขาตั้งใจทำไว้เป็นที่พักเหนื่อย ที่รับประทานอาหารของตัวเองและคนงาน มีห้องน้ำและอ่างล้างหน้าล้างมือที่ก่อจากปูนปูกระเบื้องฝีมือช่างพื้นบ้านทำกันเอง
มีครัวเล็กๆ ที่เหมาะกับพื้นที่กลางแจ้งไว้เผื่อใครอยากทำกับข้าวง่ายๆ เช่นทอดไข่ ต้มไข่ และมีตู้เย็นสำหรับแช่น้ำเย็นไว้ให้ของส่วนรวม
น้องบัวล้างมือล้างหน้าตามแบบที่เห็นพ่อทำ จากนั้นเมื่อเรียบร้อยแล้วเธอหันไปเห็นอะไรบางอย่างที่ต้นไม้
“น้อง” เธอพูดเสียงดังทำให้หิรัญหันมามองอย่างไม่เข้าใจ
“น้องอะไรลูก”
“โน่นไงคะพ่อ น้องหนอนยักษ์น่ารักมากเลย” น้องบัวชี้ไปที่หนอนกระท้อนที่ไต่อยู่บนต้นกระท้อนข้างโรงครัว
“อ๋อ หนอนใบกระท้อนแล้วหนูไม่กลัวมันเหรอลูก” เขาถามอย่างงงๆ ทำให้เด็กหญิงหัวเราะ
“ไม่ค่ะ หนูชอบ”
น้องบัวทำเสียงเบาลงและถามเขาว่า “พ่อขา เราเลี้ยงน้องได้ไหม หนูอยากเห็นตอนน้องเป็นผีเสื้อ”
หิรัญนิ่งคิด “เลี้ยงก็ได้ค่ะ แต่พ่อว่าบนต้นนี้ก็มีเยอะ บางตัวก็เข้าดักแด้แล้ว หนูรอดูตอนมันออกจากดักแด้ไม่ดีกว่าเหรอลูก”
เด็กหญิงทำหน้าขัดใจ “หนูกลัวมาไม่ทัน”
“พ่อเคยเห็นเพื่อนเลี้ยง แล้วเอาใส่กล่องไว้ตอนมันออกจากดักแด้ปีกไปชนกล่อง ทำให้ปีกน้องผีเสื้อขาดน่ะพ่อเลยสงสารมันไม่อยากให้หนูเลี้ยง พ่อว่าปล่อยมันตามธรรมชาติดีกว่าไหมลูก”
น้องบัวนิ่งคิด “ก็ได้ค่ะ หนูไม่อยากให้น้องปีกขาดงั้นหนูต้องมาดูทุกวันนะคะ”
“เดือนหน้าก็เริ่มมีผีเสื้อทยอยออกจากดักแด้แล้วครับน้องบัว ยังไงหนูก็ได้เห็นแน่ๆ ลูก”
“พ่อพูดจริงนะคะ” เธอยังคงไม่แน่ใจ
“เอางี้ไหมเดี๋ยวพ่อติดกล้องวงจรปิดไว้ตรงนี้เลย จะได้เห็นตลอดเวลาเลยนะคะ”
ชายหนุ่มถามยิ้มๆ จากนั้นพ่อกับลูกก็หัวเราะพร้อมกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นในรูปแบบของพ่อและลูกสาว และแน่นอนว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตหิรัญ มันช่างแปลกใหม่จนเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเพิ่งค้นพบสิ่งมหัศจรรย์อย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างที่บัวชมพูนั่งทำแบบฝึกหัด หิรัญลงมือลงแรงกับงานในโรงเรือนต่อ พอพักก็พาลูกออกไปกินข้าวเที่ยงที่ใต้ร่มไม้ริมบ่อปลาเล็กๆ ที่เขาขุดไว้เป็นพื้นที่พักผ่อน บัวชมพูยกกล่องข้าวของตัวเองขึ้นโชว์
“วันนี้แม่ทำไข่ยัดไส้ให้หนูค่ะ พ่อกินกับหนูไหม”
“ได้เหรอลูกแต่พ่อกลัวหนูไม่อิ่ม พ่อไม่อยากแย่งของลูกนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แม่ทำมาเยอะหนูแบ่งให้พ่อได้” เด็กหญิงกระตือรือร้นที่จะเลื่อนกล่องอาหารมาตรงหน้าบิดา
หิรัญรับช้อนที่ลูกยื่นให้มาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วก็ชิมไข่ยัดไส้ฝีมือของกัทลี มันไม่ใช่แค่อาหารแต่มันคือน้ำใจเล็กๆ ที่ลูกมีให้ เพียงได้ชิมเท่านั้นเขาก็รู้ว่านี่คือมื้ออร่อยที่สุดมื้อหนึ่งของตัวเอง เพราะรู้ว่าคนทำใส่ความรักลงไปในอาหารแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าตอนนี้ความรักของกัทลีนั้นคงมีให้น้องบัวเท่านั้น
เพราะว่าที่ทำงานของกัทลีอยู่ห่างจากฟาร์มเมล่อนไม่ถึงสองกิโล พวกเขาจึงตกลงกันว่าตอนเช้าหิรัญจะเป็นคนไปรับน้องบัวที่บ้าน
และตอนเย็นกัทลีจะเป็นฝ่ายมารับลูกเองหลังเลิกงาน ซึ่งในเย็นวันนั้นน้องบัวสะกิดแขนพ่อพร้อมกับส่งของบางอย่างให้เขา
“พ่อคะ... หนูวาดรูปพ่อกับหนูอยู่ในฟาร์มเมล่อนค่ะ”
เด็กหญิงยื่นกระดาษภาพวาดฝีมือตัวเอง เป็นภาพบ้านหลังหนึ่ง มีต้นเมล่อนอยู่ในโดม รอบๆ นั้นมีต้นกระท้อนใหญ่และโรงครัว กลางภาพมีเด็กหญิงสวมหมวกปีกกว้างจับมือกับผู้ชายตัวสูงข้างๆ กัน หิรัญไม่ตอบอะไรเพราะพูดไม่ออก
หากน้องบัวเป็นคู่ชกบนสังเวียนตอนนี้เขาก็คงแพ้น็อกจนหมดสภาพ ชายหนุ่มก้มลงมองภาพนั้นเนิ่นนานแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับลูก
“ขอบคุณนะครับ สวยจังเลย เอ... พ่อว่าเดี๋ยวเอาใส่กรอบแขวนไว้ตรงไหนดีนะ” ชายหนุ่มทำเสียงสดใสทำให้เด็กหญิงยิ้มแป้น
“ตรงนี้ดีไหมคะพ่อ เวลาพ่อนั่งทำงานจะได้เห็นทุกวัน”
เธอชี้ไปที่มุมหนึ่งที่ระเบียงหน้าบ้าน ซึ่งจุดนั้นอยู่ใต้ชายคาพอสมควรและไม่น่าจะโดนฝน
“ดีเหมือนกัน ลูกใครน้าเก่งจังเลยตัวแค่นี้” หิรัญหัวเราะเมื่อน้องบัวรีบตอบทันที
“ลูกแม่กับพ่อไงคะ”
หิรัญมองลูกสาวอย่างเอ็นดู ในยามที่เขาหมดตัว หมดหวังจากชีวิตเดิม หากเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งมันก็คงแห้งเหี่ยวจนใกล้ตายแต่หัวใจของเด็กน้อยคนนี้กำลังค่อยๆ รดน้ำดูแลจนต้นไม้ต้นนั้นกำลังกลับมาแตกใบใหม่อีกครั้ง
วันนี้ชายหนุ่มอยากขอบคุณพ่อแม่ที่บังคับให้เขากลับบ้าน ไม่เช่นนั้นเขาคงพลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตตลอดกาล
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั