รถยนต์ที่เคลื่อนมาจอดลงที่หน้าฟาร์มพร้อมเสียงเปิดปิดประตูรถทำให้หิรัญหันไปมอง เห็นว่าเป็นกัทลีในชุดทำงานกำลังก้าวลงจากรถยนต์ที่จอดไว้หน้าประตูรั้ว ชายหนุ่มยิ้มให้เธอและรีบเดินไปเปิดประตูโดยมีลูกสาววิ่งตามไปติดๆ
“แม่มาแล้ว”
เสียงของบัวชมพูดังสดใส เด็กหญิงวิ่งไปหามารดาพร้อมผลงานในมือ กระดาษวาดเขียนอีกแผ่นที่เธอวาดระหว่างพ่อทำงานในโดม
กัทลียิ้มรับลูกโดยอัตโนมัติ ขณะที่มือเตรียมเปิดประตูรถอีกด้านหนึ่งเพื่อให้น้องบัวขึ้นประจำที่นั่ง หางตาของเธอมองเลยไปยังพ่อของลูกที่ยืนข้างๆ เด็กหญิงแล้วก็ชะงัก
หิรัญในเสื้อยืดเก่า ๆ เปื้อนคราบดิน และลูกสาวที่ยืนอยู่ข้างเขา เหมือนฉากหนึ่งในละครครอบครัวที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมีอีกแล้ว
เธอเลิกฝันถึงภาพครอบครัวที่มีเขาเป็นส่วนประกอบไปตั้งแต่ลูกอายุสามขวบ และตั้งแต่ที่เขากลับมาจนถึงตอนนี้เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะ “อิน” อะไรนักหนากับหน้าที่พ่อด้วยซ้ำ
กัทลีเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เธอไม่อยากยอมรับว่าภาพนั้นทำให้บางอย่างในใจเธอหวั่นไหว
“แม่ขาวันนี้หนูวาดรูปให้พ่อ แล้วก็วาดให้แม่ด้วยค่ะ” เด็กหญิงรีบส่งกระดาษให้ด้วยสีหน้ามีความสุข ขณะที่กัทลีบอกตัวเองให้ตั้งสติลูกมีความสุขนั่นคือสิ่งที่คนเป็นแม่ควรดีใจ หญิงสาวบอกตัวเองขณะที่รับภาพที่เด็กน้อยวาดมาดูแล้วยิ้ม
“สวยจังเลยค่ะลูก แม่ชอบมากๆ สงสัยแม่ต้องเอาไปอวดให้ป้านาดูแล้วล่ะพรุ่งนี้” เธอพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แล้วหันไปหาหิรัญ
“วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
“เรียบร้อยดี น้องบัวมาช่วยทำงานในโดมแล้วก็ออกมานั่งทำแบบฝึกหัดที่คุณสั่งไว้ กินข้าวเที่ยง แล้วก็วาดรูปรอจนคุณมารับนี่ล่ะ แต่วันนี้น้องบัวบอกว่าอยากเลี้ยงหนอนผีเสื้อ ผมต้องอธิบายให้อยู่พักนึงเลยล่ะ” หิรัญตอบยิ้มๆ
“แม่คะหนูอยากมาอีก พรุ่งนี้แม่จะให้พ่อไปรับหนูมาที่นี่อีกได้ไหมคะ” บัวชมพูพูดเสียงใส
กัทลีลังเล แต่พยักหน้าตอบในที่สุด “ได้ค่ะ ถ้าหนูทำแบบฝึกหัดเสร็จทุกวัน แม่ก็จะอนุญาตให้คุณพ่อไปรับหนูมาอยู่นี่ทุกวันที่แม่ต้องไปทำงานจนกว่าจะเปิดเทอมเลยค่ะ”
หิรัญยิ้มกับคำพูดนั้น
“พรุ่งนี้เช้าเจอกันเวลาเดิมนะลูก เดี๋ยวพ่อไปรับน้องบัวที่บ้านเองค่ะ” ชายหนุ่มหันมาหากัทลีน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“ขอบคุณนะกล้วย ที่ไว้ใจให้ผมดูแลน้องบัว”
หญิงสาวมองแต่ไม่ตอบอะไร เธอแค่พยักหน้าแล้วจูงมือลูกขึ้นรถกลับบ้าน
ระหว่างทางกลับบ้านกัทลีเงียบลงกว่าทุกวัน แต่เด็กหญิงยังคงพูดไม่หยุดเกี่ยวกับต้นเมล่อน ต้นกระท้อน หนอนยักษ์และผีเสื้อที่รอวันออกจากดักแด้ คนเป็นแม่เออออไปตามเรื่องจนน้องบัวไม่รู้สึกว่าวันนี้แม่พูดน้อยกว่าปกติ
ความคิดของเธอกำลังย้อนกลับไปในอดีตเมื่อแปดปีก่อน ภาพของหิรัญกับคำสัญญาที่เคยออกจากปากเขา ก่อนที่เขาจะจากไปมีชีวิตใหม่โดยไม่เคยรักษาคำพูดที่ให้ไว้แม้แต่ครั้งเดียว
“กล้วย... ไม่ว่าต่อไปจะเป็นยังไงเราจะไม่ทิ้งกัน หินไม่ทิ้งกล้วยกับลูกแน่นอน”
เธอเพิ่งรู้ตัวว่าไม่เคยลืมอะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เลย ที่ผ่านมาคือการหลอกตัวเองมาตลอดว่าเธอไม่เหลือความรู้สึกอะไรให้เขาแล้ว
และสิ่งที่เป็นในวันนี้ หญิงสาวไม่แน่ใจเลย... ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไรมากกว่ากันระหว่างลูกจะรักพ่อจนลืมแม่ หรือกลัวว่าเธอจะกลับไปรักผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง
ก่อนถึงบ้านหญิงสาวจอดรถที่ตลาดนัดประจำตำบล วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากทำกับข้าวเองจึงคิดจะชวนลูกสาวแวะลงไปซื้ออาหารเย็นกลับไปรับประทานที่บ้าน
“เย็นนี้เรากินอะไรกันดีคะลูก”
น้องบัวมองไปรอบๆ ตลาดนัด ที่นี่เป็นตลาดใหญ่จนน่าตื่นเต้นและแน่นอนว่ามันเป็นตลาดอีกแห่งของย่าจันทร์หอม
“หนูอยากกินไอติมกะทินั่นค่ะแม่” เธอชี้ไปยังร้านไอติมกะทิโบราณทันทีที่กวาดตาไปเจอ ทำให้คุณแม่หัวเราะอย่างเอ็นดู
“แล้วข้าวล่ะลูก ไม่กินเหรอวันนี้”
เด็กหญิงส่ายหน้าหวือ “ไม่กินข้าวค่ะ เรากินราดหน้ากันไหมคะแม่ ร้านข้างๆ ไอติม”
“แม่ว่าไอติมเราจะนั่งกินที่นี่ดีไหมคะ ซื้อกลับบ้านเดี๋ยวละลาย”
หญิงสาวถามต่อ น้องบัวพยักหน้าทันทีพลางจูงมือคุณแม่เดินตรงไปยังร้านที่หมายตาไว้
สองแม่ลูกสั่งไอติมและท็อปปิ้งแล้วจึงเดินเข้าไปนั่งในเต็นท์ของร้านไอติม ที่ทางร้านจัดโต๊ะให้คนนั่งรับประทานที่นั่นมีอยู่หลายโต๊ะ เพียงครู่เดียวเมนูที่สั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟให้อย่างรวดเร็ว
ไอติมกะทิสดโบราณมีเครื่องเคียงหลายชนิดเช่น ข้าวเหนียวมูน มันเชื่อม สับปะรดเชื่อม โรยหน้ามาด้วยถั่วลิสงคั่วหอมๆ
“อร่อยจังค่ะแม่ เขาขายทุกวันไหมคะ” น้องบัวถามตั้งแต่ตักคำแรกเข้าปากทำให้คุณแม่หัวเราะทันที
“ตลาดนี้ขายทุกวันจันทร์กับพฤหัสค่ะลูก แต่แม่ว่าหนูอย่ากินบ่อยมันหวานนะคะ”
“ไม่บ่อยค่า แค่วันละถ้วย” น้องบัวตอบ
“นั่นล่ะบ่อยแล้วลูก”
“สองคนแม่ลูกเถียงอะไรกันหืม...”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นทำให้พวกเธอหันไปมอง แล้วน้องบัวก็ร้องอย่างดีใจ
“ย่า... มาเมื่อไหร่คะ”
“ย่ามาตั้งแต่บ่ายๆ แล้วลูก”
นางจันทร์หอมรับไหว้กัทลีและน้องบัว จากนั้นกัทลีขยับเก้าอี้ให้นาง
“แม่นั่งก่อนไหมคะ มาเก็บค่าแผงเหรอคะแม่”
“จ้ะ ไม่เชิงมาเก็บหรอก พาหินมาให้พวกพ่อค้าแม่ค้ารู้จักหน้าน่ะ ต่อไปแม่จะให้เขามาเก็บแม่จะได้ไม่ต้องมาเอง” นางจันทร์หอมตอบ
“หู... คุณย่าเป็นเจ้าของตลาดเหรอคะ” น้องบัวทำท่าตื่นเต้น
“ใช่ลูก ที่ตรงนี้ก็เป็นของบ้านเราน่ะน้องบัว อีกหน่อยย่าจะให้หนูดูแลถ้าหนูโตขึ้น”
“แล้วพ่อล่ะคะย่า ทำไมหนูไม่เห็นเลย” น้องบัวได้ยินย่าบอกว่าพาพ่อมาที่นี่ แต่เหตุใดเธอไม่เห็นบิดาเลย
“โน่นไง กำลังมาพอดี” นางจันทร์หอมกวักมือเรียกลูกชายทำให้ฝ่ายนั้นสาวเท้าเร็วขึ้น
“ครับแม่ ครบแล้วนะ” หิรัญทำท่ายกกระเป๋าคาดเอวที่เก็บเงินค่าแผงมาให้มารดาทั้งกระเป๋า แต่นางรีบปฏิเสธ
“จะเอามาให้ทำไม พรุ่งนี้หินก็เอาไปเข้าธนาคารให้แม่”
“อ้าว” เสียงของน้องบัวดังขึ้น ทำให้หิรัญและย่าจันทร์หอมหันไปมอง
“อะไรเหรอลูกน้องบัว” ย่าเป็นคนถาม งงกับท่าทีผิดหวังของหลานสาว
“น้องบัวนึกว่าพ่อเก็บเงินในตลาดมาไว้ใช้เองค่ะ แล้วพ่อจะมีเงินใช้เหรอคะ”
สายตาของเด็กหญิงที่กลัวว่าพ่อจะไม่มีเงินใช้ทำให้ย่าและพ่อมองอย่างเอ็นดู ในขณะที่กัทลีปรามลูกสาว
“ไม่เอาค่ะลูก พูดแบบนี้ไม่น่ารักเลย ตลาดของย่านะคะย่าจะให้พ่อเท่าไหร่เดี๋ยวย่าเขาให้เอง”
น้องบัวฟังทำแล้วทำหน้าตาตกใจ “หนูไม่ได้ว่าย่านะคะ น้องบัวขอโทษค่ะย่า”
ย่าจันทร์หอมโบกมือวุ่นวาย “อย่าดุลูกเลยกล้วย น้องบัวห่วงพ่อใช่ไหมลูก ย่าเข้าใจ”
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั