คืนนั้นหลังจากส่งลูกเข้านอน หิรัญออกมานั่งคุยกับบิดามารดาเนื่องจากทั้งสองนอนดึกตามประสาคนสูงวัย
“แม่ นอกจากให้ไปเก็บค่าแผงมีงานอะไรให้ผมทำอีกไหม”
สองปู่ย่ามองหน้ากันแล้วหันมามองลูกชาย “ว่างเหรอหิน หรืออยากได้ตังค์เพิ่ม”
“แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะอยากทำตัวให้มีประโยชน์” หิรัญย้อนถาม
“ไม่คิด”
“ไม่คิด”
พ่อแม่ตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะยอมพูดความจริง
“เอาตรงๆ ก็แบบนั้นล่ะฮะ วันละห้าร้อยไม่พอเลี้ยงลูกจริงๆ นะแม่”
“ใช่ จะได้รู้ไงว่าเลี้ยงลูกไม่ง่าย แต่แม่เขาก็เลี้ยงมาได้นะกล้วยเงินเดือนไม่เท่าไหร่เอง” นางจันทร์หอมสอน
“กล้วยน่ะเป็นข้าราชการ เงินเดือนบวกค่าตำแหน่ง ค่าอะไรต่างๆ ยังไม่ถึงสามหมื่นเลย ค่าเลี้ยงดูหลานพ่อสมทบให้ก็ยอมรับแค่ไม่เท่าไหร่ ไหนจะค่าน้ำไฟ ข้าวสาร แก๊ส ของกินของใช้ในบ้าน ค่าอุปกรณ์การเรียนค่าขนมลูกแต่ละวัน กล้วยได้เงินเดือนน้อยกว่าลูกสมัยทำงานที่กทม. อีกแต่ก็ยังเลี้ยงลูกมาได้อย่างดี”
ปู่เหมเล่าอีกด้านของคนเป็นแม่ หิรัญหน้าสลดลง
“ผมเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาผมเห็นแก่ตัวมาก ก็กำลังแก้ตัวอยู่นี่ไงแม่”
“แล้วนอกจากเก็บค่าแผง ไม่คิดจะทำเป็นชิ้นเป็นอันบ้างหรือไงลูก อายุก็ควรจะคิดทำอะไรที่มั่นคงได้แล้ว เรือกสวนไร่นาพ่อเอ็งก็มีไม่คิดจะศึกษาเลยหรือไง”
มารดาชี้ทางสว่างลูกชายเริ่มฉุกใจคิด “จริงด้วยแม่ ผมเคยอยากทำสวนผักไฮโดร งั้นให้ผมลองทำนะ”
“ผักไฮโดรคนบ้านเราจะกินเหรอ เอ็งจะทำอะไรต้องดูตลาดด้วยนะลูก” นางจันทร์หอมติง
“ทำส่งห้างสิแม่ ตอนนี้ต้องทำอะไรเน้นขายตลาดบน คนมีตังค์ยังไงเขาก็ซื้อ” หิรัญอธิบายแต่มารดายังทำท่าคิดหนัก
“เอ็งก็ลองเขียนโครงการมาละกัน เผื่อพ่อเขาอนุมัติให้ทุนเอ็งไปทำสักหยิบมือ”
เช้าวันต่อมาหิรัญไปส่งลูกที่โรงเรียน จากนั้นเขาแวะไปหาจิรัชเพื่อปรึกษาเรื่องการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เพราะว่าจิรัชเป็นเจ้าของสวนกระบองเพชรกินได้ชายหนุ่มได้ข้อมูลจากเพื่อนมาพอสมควร
“เอ็งก็ลองทำน้อยๆ ก่อน ไฮโดรมีระบบน้ำนิ่ง น้ำไหล ข้าว่าทำเล็กๆ สั่งซื้อชุดปลูกมาเซตเล็กๆ ก่อนว่าชอบจริงไหม มันก็มีอะไรจุกจิกอยู่นะ”
หิรัญนำเรื่องมาคุยกับปู่เหมย่าจันทร์ ในช่วงต้นทั้งสองก็เห็นดีด้วย แต่แล้วย่าจันทร์ก็ต้องตบอกผางเมื่อลูกชายทิ้งท้ายว่า
“ผมว่าจะลองทำโรงเรือนเล็กๆ ขนาดสักสองสามเมตรก่อนนะแม่ ผมขอเบิกเงินลงทุนสักสองแสนแม่โอเคเนอะ”
“ไอ้หิน เอ็งสั่งซื้ออุปกรณ์ปลูกจากดาวอังคารรึไง มันถึงแพงขนาดขอทุนเป็นแสน” ย่าจันทร์กำลังจะเงื้อมือหยิกแต่ลูกชายรู้ทันเดินหนีไปเสียก่อนแถมยังผิวปากอารมณ์ดี
“สองแสนนี่แม่จันทร์หอมว่าลูกเราจะปลูกผักโตพอได้กินจริงๆ สักกี่ต้นนะแม่ จับฉ่ายสักหม้อจะได้ไหม” พ่อเหมถาม
“ไม่คาดหวังเราคงไม่ผิดหวังนะพ่อ จับฉ่ายก็ซื้อเอาเถอะแม่ว่า” นางจันทร์หอมตอบสามี
“คุณพ่อ วันนี้คุณครูบอกว่าขอเก็บค่าเรียนพิเศษด้วยค่ะ” น้องบัวบอกทันทีที่ชายหนุ่มไปรับลูกที่โรงเรียน
“อ่อจ้ะ เท่าไหร่ลูก” หิรัญเริ่มคิดในใจว่าเงินจะพอไหม
“เดือนละห้าร้อยค่ะคุณพ่อ”
และแล้วธนบัตรสีม่วงที่เพิ่งได้มาจากย่าจันทร์ก็ปลิวไปอยู่ในมือลูกสาวที่วิ่งกลับไปหาครูเพื่อเอาไปจ่ายค่าเรียนพิเศษรายเดือน หิรัญได้แต่มองตามอย่างพูดไม่ออกได้แต่ยิ้มแห้งให้ลูก
“เอาอะไรหน้าโรงเรียนไหมลูก” ขนมหน้าโรงเรียนถึงอย่างไรก็คงราคาย่อมเยากว่าในร้านสะดวกซื้อ ไอ้หินนะจะเลี้ยงลูกทั้งทีก็ไม่มีเงินอีก เขานึกด่าตัวเองในใจ
“ไม่เอาค่ะหนูเพิ่งกินนมมา อิ่มมาก” น้องบัวปฏิเสธ
ลูกรัก อภิชาตบุตรโดยแท้ สงสัยลูกจะรู้ว่าพ่อไม่ค่อยมีเงิน หิรัญคิดในใจพลางหาวิธีไปต่อรองกับพ่อแม่ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้
หากแต่ขับรถไม่ทันถึงบ้าน เมื่อกำลังจะถึงร้านสะดวกซื้อชื่อดัง น้องบัวก็ส่งเสียง “คุณพ่อหนูอยากเข้าไปซื้อขนมที่นี่ค่ะ”
ไม่ว่าชีวิตเราจะผ่านอะไรมา แต่ถ้าเรามีลูก ห้ามผ่านร้านสะดวกซื้อเด็ดขาด
หิรัญนึกถึงมีมอันหนึ่งที่ฮิตกันในโลกโซเชียลและมันช่างตรงกับชีวิตเขาพอดี ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้เด็กหญิง
“ซื้อขนมเหรอคะ ไหนเมื่อกี้หนูบอกว่าอิ่มแล้วไงคะลูก”
“ก็เมื่อกี้อิ่ม แต่ตอนนี้หิวขนมแล้วค่ะ หนูจะไปดูขนมเผื่อคุณปู่คุณย่าด้วยไงคะ เผื่อพ่อด้วย” เจอไม้นี้เข้าไปหิรัญก็ไม่มีอะไรจะเถียงลูกอีก เขาจอดรถหน้าร้านดังกล่าว ในระหว่างที่เดินตามลูกเข้าไปในร้านก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความหาเพื่อนอีกกลุ่ม
“บอม กูขอยืมเงินมึงหน่อยดิ ด่วนเลย”
รอไม่นาน ข้อความขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้ว จากนั้นเขาก็ได้รับข้อความตอบกลับ
“กูไม่มี ตอนนี้กูเหลือติดบัญชีแค่พันกว่าๆ เอง”
หิรัญพึมพำ “โถ เพื่อนกูทำไมอนาถาจังวะ”
“อะไรนะคะพ่อ” เด็กหญิงหันมาถามเมื่อได้ยินพ่อพูดอะไรแว่วๆ ชายหนุ่มรีบสั่นหน้าทันที
“เปล่าค่ะลูก พ่อหมายถึง... เอ่อเพื่อนพ่อน่ะ ตอนนี้มันบอกว่ามันนอนรักษาตัวอยู่ในห้องผู้ป่วยอนาถา หนูเลือกขนมต่อเลยลูก”
เมื่อน้องบัวหันไปเลือกของต่อ เขาจึงพิมพ์กลับไป “เอามาห้าร้อยก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูโอนคืนให้พรุ่งนี้”
“ไอ้สัส... ห้าร้อยแม่งก็จะเอา” บอมหรือธนัชด่ากลับมา สักพักเขาก็ได้รับการแจ้งเตือนเงินเข้าบัญชี ธนัชส่งสลิปยืนยันการโอนมาให้พร้อมกับข้อความทิ้งท้าย
“ดอกร้อยละยี่ต่อวัน ไม่ต้องรีบคืนก็ได้นะเพื่อน”
“ห่าแม่ง คิดดอก” หิรัญสบถ แต่เขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อดวงหน้าเล็กๆ มองเขาอย่างไม่พอใจ
“คุณพ่อด่าหนูเหรอ”
หิรัญตกใจ “ไม่ใช่ค่ะลูก พ่อด่าเพื่อนค่ะมันกวนประสาทพ่อนิดหน่อย พ่อจะด่าน้องบัวทำไมคะ พ่อรักหนูจะตาย”
น้องบัวทำสีหน้าไม่เชื่อ “ถ้าพ่อรักหนูจริงๆ ทำไมหนูเพิ่งเจอพ่อล่ะคะ”
เจอคำถามนี้ หิรัญถึงกับไปไม่เป็น เขาตั้งสติก่อนที่จะตอบคำถามลูกอย่างระมัดระวัง
“เมื่อก่อนพ่อทำตัวไม่ดีค่ะเลยไม่ได้มาหาหนู พ่อเป็นคนที่แย่มาก นิสัยเสียก็เลยยังมาเจอหนูไม่ได้ น้องบัวยกโทษให้พ่อได้ไหมคะ”
“อ๋อ ตอนนี้พ่อนิสัยดีแล้วก็เลยมาได้ หนูเข้าใจแล้วค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้าหงึกหงัก โดยที่ไม่รู้ว่ากิริยาแทงใจดำคนเป็นพ่ออย่างจัง
‘กูโดนลูกด่าเหรอวะ ไม่หรอกน้องบัวเป็นเด็กไม่คิดอะไรซับซ้อน มึงอย่าคิดไปเองไอ้หิน’ หิรัญถามตอบกับตัวเองก่อนจะรีบเดินตามลูกเพื่อไปจ่ายเงินค่าของ
หลังสอบปลายภาคเสร็จสิ้น น้องบัวก็ได้ย้ายมาอยู่กับแม่ที่บ้านเช่าในตัวเมืองตามที่กัทลีสัญญาไว้ หญิงสาวตั้งใจให้ลูกได้พักผ่อนเต็มที่ก่อนเริ่มต้นเทอมใหม่ และวางแผนจะย้ายโรงเรียนให้ลูกเข้าเรียนชั้นประถมปีที่สอง ซึ่งมีหลายโรงเรียนที่น่าสนใจและอยู่ใกล้ที่ทำงานของเธอเช้าวันที่เก็บของเตรียมย้ายบ้าน ปู่เหมกับย่าจันทร์หอมมายืนส่งหลานสาวที่หน้าบ้าน น้องบัวกอดย่าจันทร์หอมแน่น ส่วนปู่เหมก็ลูบเรือนผมนุ่มหลานสาวด้วยแววตาอาวรณ์“เอาไปเฉพาะของเล็กๆ ขนง่ายๆ ก็พอนะลูก ของชิ้นใหญ่ของเล่นของน้องบัวหลายๆ ลังเดี๋ยวแม่ให้ไอ้หินมันมาขนไปให้” ย่าบอกให้เด็กทำงานในบ้านช่วยกันขนของจุกจิกของหลานสาวใส่ท้ายรถยนต์ของกัทลี และหันมาคุยกับหลานสาว“ย่าจะคิดถึงหนูนะลูก”“บัวก็จะคิดถึงย่าค่ะ” เด็กหญิงตอบพร้อมน้ำตาคลอเบ้า“แม่จะพาหนูมาเยี่ยมย่ากับปู่ทุกเดือนเลยค่ะ หนูสัญญา”กัทลียิ้มบาง มองลูกแล้วหันไปสบตาคุณพ่อคุณแม่ของอดีตสามี “หนูจะพาน้องมาหาพ่อกับแม่ทุกเดือนจริง ๆ ค่ะ”“ดีแล้วลูก บ้านนี้ก็ยังเป็นบ้านของหนูเสมอ” ปู่เหมพูดช้าๆ ก่อนยื่นห่อขนมที่ย่าจันทร์ห่อไว้ให้ “เดินทางกันดีๆ นะกล้วย น้องบัว”น้องบัวชะเง้อมอ
เช้าวันนั้น หิรัญตื่นแต่เช้าและเดินทางไปยังแปลงที่ดินว่างในตัวเมืองตัส อยู่ในพื้นที่ชลประทานดินดีน้ำดี จำนวนขนาดพื้นที่ห้าไร่ที่นายเหมยกให้เมื่อรู้ว่าหิรัญตัดสินใจจะเริ่มต้นทำฟาร์มเมล่อนอย่างจริงจัง“พี่หิน พี่จะให้รถไถหมดเลยไหม” สิงห์ลูกน้องที่ชายหนุ่มขอแบ่งมาจากคนของบิดาวิ่งเข้ามาถามหิรัญพยักหน้า ชี้มือไปยังพื้นที่ที่วางแผนไว้ “ตรงโน้นไถแล้วเกลี่ยหน้าดินให้เสมอกันให้หมด” ชายหนุ่มเรียกรถไถมาปรับพื้นที่ หญ้ารกค่อยๆ ถูกแหวกออก เปิดหน้าแปลงดินที่รอการเพาะปลูก อีกส่วนของพื้นที่ก็กำลังจะทำการขุดบ่อพักน้ำเสียงเครื่องตักดินดังเป็นจังหวะในยามสาย แดดอ่อนยังไม่แรงพอจะทำให้เหงื่อไหล แต่หิรัญกลับรู้สึกว่าเสื้อยืดบนหลังเขาชุ่มไปหมดแล้ว แต่งานก็ยังมีอีกมากเสร็จจากขุดบ่อวันต่อไปเขาก็ต้องมาต่อท่อน้ำจากบ่อบาดาลเพื่อปล่อยน้ำลงบ่อให้เต็ม หิรัญยืนอยู่ข้างหลุมดินขนาดใหญ่ ที่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะกลายเป็นบ่อเก็บน้ำของฟาร์มเมล่อน ฟาร์มที่เขาตั้งใจจะให้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง... แต่เพื่อคนตัวเล็กๆ ที่ชื่อบัวชมพูด้วย ชายหนุ่มยืนกอดอกใต้เงาต้นตะขบป่าที่ยังเหลืออยู่
เสียงกริ่งเลิกเรียนของโรงเรียนดังขึ้นในช่วงเย็น หิรัญยืนรออยู่หน้าอาคารเรียนของเด็กประถมต้นตามเวลาเลิกเรียน เขามาก่อนเวลาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้น้องบัวต้องรอ สายตาชายหนุ่มกวาดไปทั่วสนามเด็กเล่นก่อนจะหยุดอยู่ที่ครูสาวคนเดิมที่คุ้นหน้าเดินจูงมือลูกสาวตัวน้อยในชุดนักเรียนออกมา"น้องบัว ทางนี้ลูก" เขาโบกมือเรียกเด็กหญิงตัวเล็กในชุดยูนิฟอร์มสีน้ำเงินขาวหันมาเห็นพ่อก็ยิ้มร่าและรีบวิ่งเข้ามากอดแน่นด้วยความคิดถึง หิรัญย่อตัวลงรับอ้อมกอดนั้นพลางลูบศีรษะลูกเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะรับกระเป๋านักเรียนมาถือไว้แล้วพาเธอเดินไปยังที่จอดรถแม้เขาจะยังไม่ถนัดกับการดูแลลูกเท่ากับกัทลี แต่เขาก็เริ่มคุ้นเคยแล้วกับหน้าที่พ่อหลายๆ อย่าง แม้จะดูว่าช้าเกินไปสำหรับบางคน แต่สำหรับเขามันคือโอกาสครั้งที่สองที่ไม่อยากปล่อยผ่านอีกเมื่อกลับถึงบ้าน หิรัญเปิดประตูด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหิ้วกระเป๋านักเรียนและกล่องข้าวที่ครูฝากส่งคืน ก่อนที่เขาจะบอกให้น้องบัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวอาบน้ำ ขณะที่ตนเองเดินไปจัดเสื้อผ้าชุดใหม่วางเตรียมไว้ให้ลูกสาว จากนั้นเขาเข้าครัวไปหยิบนมหนึ่งกล่องและขนมปังปิ้งทาแยมเ
กัทลีเริ่มต้นงานใหม่อย่างราบรื่น เพื่อนร่วมงานใหม่ องค์กรใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เธอคุ้นเคยและเคยทำงานร่วมกันตั้งแต่อยู่หน่วยงานเก่าก่อนหน้านี้ หญิงสาวใช้เวลาช่วงเช้าในการทำความรู้จักกับแผนกอื่นๆ ที่จำเป็นต้องทำงานด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็เริ่มงานของตัวเองที่คนเดิมทำค้างไว้ก่อนย้ายไป“นี่จ้ะกล้วย อันนี้พาสเวิร์ดของเรานะ” นารา นักวิชาการศึกษาระดับชำนาญการที่เป็นหัวหน้าคนใหม่ของเธอ ส่งซองขาวที่ภายในบรรจุรหัสเข้างานเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของเธอ “ขอบคุณค่ะพี่นา” กัทลีรับซองมาเปิดดู เธอฉีกรอยปรุกระดาษคาร์บอนที่ภายในพิมพ์รหัสของตัวเองไว้ จากนั้นเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อเข้ารหัส“พี่สิต้องขอบใจเรา ย้ายมาถูกเวลาช่วยงานพี่ได้เยอะเลย” นาราถอนใจโล่งอกที่ในที่สุดเธอจะได้มีเพื่อนมาช่วยทำงานสักที หลังจากที่รับบทหนักเพราะต้องรับผิดชอบงานแทนคนที่ย้ายไปมาสักพักหนึ่งแล้ว ไหนจะงานตัวเองก็ต้องทำเหมือนเดิมไม่นานหลังจากที่กัทลีเริ่มลงมือทำงาน หน้าจอของเธอก็ปรากฏข้อความเชิญประชุมจากระบบงานภายในองค์กร “กล้วย พรุ่งนี้เช้าไปประชุมแทนพี่ทีสิ พี่ต้องไปคุยกับโรงพิมพ์เรื่องจัดพิมพ์คู่
คืนนั้นหลังจากส่งลูกเข้านอน หิรัญออกมานั่งคุยกับบิดามารดาเนื่องจากทั้งสองนอนดึกตามประสาคนสูงวัย “แม่ นอกจากให้ไปเก็บค่าแผงมีงานอะไรให้ผมทำอีกไหม” สองปู่ย่ามองหน้ากันแล้วหันมามองลูกชาย “ว่างเหรอหิน หรืออยากได้ตังค์เพิ่ม” “แม่ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะอยากทำตัวให้มีประโยชน์” หิรัญย้อนถาม“ไม่คิด”“ไม่คิด”พ่อแม่ตอบพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ทำให้ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับก่อนจะยอมพูดความจริง “เอาตรงๆ ก็แบบนั้นล่ะฮะ วันละห้าร้อยไม่พอเลี้ยงลูกจริงๆ นะแม่” “ใช่ จะได้รู้ไงว่าเลี้ยงลูกไม่ง่าย แต่แม่เขาก็เลี้ยงมาได้นะกล้วยเงินเดือนไม่เท่าไหร่เอง” นางจันทร์หอมสอน “กล้วยน่ะเป็นข้าราชการ เงินเดือนบวกค่าตำแหน่ง ค่าอะไรต่างๆ ยังไม่ถึงสามหมื่นเลย ค่าเลี้ยงดูหลานพ่อสมทบให้ก็ยอมรับแค่ไม่เท่าไหร่ ไหนจะค่าน้ำไฟ ข้าวสาร แก๊ส ของกินของใช้ในบ้าน ค่าอุปกรณ์การเรียนค่าขนมลูกแต่ละวัน กล้วยได้เงินเดือนน้อยกว่าลูกสมัยทำงานที่กทม. อีกแต่ก็ยังเลี้ยงลูกมาได้อย่างดี” ปู่เหมเล่าอีกด้านของคนเป็นแม่ หิรัญหน้าสลดลง“ผมเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาผมเห็นแก่ตัวมาก ก็กำลังแก้ตัวอยู่นี่ไงแม่” “แล้วนอกจากเก็บค
กัทลีย้ายของเข้าบ้านใหม่ซึ่งเป็นบ้านเช่าขนาดห้าสิบห้าตารางวา เป็นบ้านแฝดชั้นเดียวสองห้องนอน หนึ่งห้องโถง สองห้องน้ำ มีห้องครัวแยกเป็นสัดส่วนและพื้นที่ซักล้างหลังบ้าน นอกจากนั้นยังมีส่วนพื้นดินให้ทำสวนครัวและสวนหย่อมเล็กๆ ได้อีกพอสมควรเธอมองบ้านที่ทำสัญญาเช่าไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนอย่างพอใจ มันเป็นบ้านสร้างใหม่ที่เจ้าของซื้อไว้และไม่มีโครงการมาอยู่จึงปล่อยเช่าไปก่อน “แม่ว่าหนูซื้อบ้านเลยดีไหมกล้วย จะได้ไม่ต้องกังวลค่าเช่าเดี๋ยวแม่เอาเงินในส่วนของเจ้าหินมาซื้อให้” แม่ย่าเคยออกปากจะซื้อบ้านให้ในวันก่อนที่นางมาเป็นเพื่อนเธอในตอนดูบ้าน“อย่าเพิ่งเลยค่ะแม่ หนูอยากรอดูงานให้เข้าที่เข้าทางก่อนดีกว่า อีกอย่างหนูไม่อยากได้เงินส่วนของหินด้วยค่ะ เกรงว่าถ้าเขารู้ทีหลังจะไม่พอใจ” “ก็ลองให้มันไม่พอใจดูสิ จริงๆ มันก็ยังเป็นเงินของแม่อยู่ แค่เคยคิดจะยกให้มันเฉยๆ แต่มันเองไม่สนใจตรงนี้ก็ช่วยไม่ได้” นางพูดถึงบรรดากิจการต่างๆ ที่นางลงทุนไว้ให้ผลิดอกออกผล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะพาร์ตเมนต์ บ้านเช่า ตลาดสดแม้แต่ที่จอดรถก็มีและเหตุผลที่ย่าจันทร์หอมเห็นด้วยกับการที่กัทลีหาบ้านเช่าที่ไม่เกี่ย