หลี่เหมยไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีคนกำลังโต้เถียงเรื่องของเธอ นั่นเพราะหญิงสาวมัวแต่ทำอาหารให้ครอบครัวและสามีหมาด ๆ กินอย่างไรล่ะ ซึ่งขณะนั้นเองคนของหยางอี้ข่ายก็เข้ามาพอดี
“พี่เขย สหายของพี่มาหาน่ะ รออยู่หน้าบ้าน” หลี่ลู่หรานเดินเข้ามาบอก เพราะตอนนี้หยางอี้ข่ายกำลังช่วยภรรยาเตรียมวัตถุดิบ
“ขอบใจมากนะเสี่ยวหราน สงสัยจะมาบอกเรื่องสามคนนั้น”
ชายหนุ่มยิ้มให้ทั้งที่ปกติเขามักจะมีความเย็นชาอยู่เสมอ
“ถ้าอย่างนั้นก็ชวนสหายของพี่กินอาหารด้วยกันสิคะ นี่ก็จะบ่ายแล้วพวกเรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย” หลี่เหมยส่งเสียงบอกในตอนที่กำลังจัดเตรียมวัตถุดิบทำอาหาร
“อืม ถ้าอย่างนั้นพี่ออกไปหาพวกเขาก่อนนะ แล้วจะรีบกลับมาช่วย” ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วตอบกลับ
“ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยวหรานก็อยู่ พี่ไปหาสหายเถอะ จะได้มีหลักฐานในการเอาผิดคนที่ทำร้ายฉันเมื่อวาน”
หญิงสาวบอกอย่างใจดี แม้จะเพิ่งรู้จักเขาวันนี้ เธอกลับรู้สึกไว้วางใจเขาอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะลี่ลี่บอกว่าสามีคนนี้ไว้ใจได้ อีกส่วนก็เกิดจากความรู้สึกของตัวเองที่คิดว่าเขาเป็นคนดี
หยางอี้ข่ายยิ้มให้หญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตนเอง คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจแต่งงานกับเธอ และคิดไม่ผิดที่จะให้เธอมาเป็นคุณนายน้อยของตระกูลหยาง
เมื่อชายหนุ่มเดินออกไปแล้ว หลี่ลู่หรานก็หันมาบอกกับพี่สาวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่น่าเชื่อว่าพี่เขยจะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพราะท่าทางของเขาไม่เห็นเหมือนพวกเราเลย” เด็กสาวก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าท่าทีของพี่เขยเป็นอย่างไร แต่เธอคิดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างพวกเธอแน่นอน
“ไม่ธรรมดาอย่างไร พี่เขยของเธอก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเรานั่นแหละ จะให้เขาวิเศษกว่าคนอื่นหรือไง” เธอหัวเราะออกมาเล็กน้อยขณะที่ตอบ พร้อมกับส่ายหน้าให้กับน้องสาว ที่ดูจะมีจินตนาการเหลือล้ำ
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันหมายถึงพี่เขยดูเหมือนคนที่มีอิทธิพล ฉันก็บอกไม่ถูกนะว่าแบบไหน แต่ก็ไม่เหมือนชาวบ้านแบบเราหรอกเชื่อฉันสิ” เด็กสาวยังคงยืนยันความคิดของตนเอง ในขณะที่มือทั้งสองข้างช่วยทำงานไปด้วย
“เอาเถอะ ไม่ว่าพี่อี้ข่ายจะเป็นใคร แต่ตอนนี้เขาก็คือคนในครอบครัวของเราแล้ว และเป็นพี่เขยของเธอด้วย พี่ไม่สนใจอดีตของเขาหรอกนะ และไม่สนใจด้วยว่าเบื้องหลังเขาจะเป็นใคร ขอแค่ไม่มีภรรยาแล้วก็พอ”
“นั่นสินะ ต่อให้พี่เขยจะเป็นคนที่มีอิทธิพล แต่เขาก็คือคนในครอบครัวของเราอยู่ดี ฉันจะมัวคิดให้ปวดหัวทำไม รีบทำอาหารกันดีกว่า แต่เอาจริง ๆ ฉันก็มัวแต่ห่วงพี่นั่นแหละจนนี่ก็ยังไม่ได้กินอาหารเลย ถ้าฉันผอมลง พี่รองต้องรับผิดชอบ”
เด็กสาวทำเสียงขึงขังทำให้หลี่เหมยหลุดหัวเราะออกมากับความตะกละของน้อง
“เรานี่จริง ๆ เลย สรุปแล้วห่วงพี่หรือว่าหิวข้าวกันแน่”
“ฮ่า ๆ มันก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละค่ะ”
จากนั้นสองพี่น้องก็ช่วยกันทำอาหารต่อ และเร่งมือในการทำไม่น้อยเนื่องจากคนทั้งบ้านยังไม่มีใครได้กินอาหารเลยในวันนี้
หยางอี้ข่ายเดินออกมาพบกับสหายหน้าบ้าน ซึ่งคนที่มาก็คือเทียนสิง เขามาเพื่อบอกเรื่องที่ได้ไปสืบและสอบสวนเจ้าสามคนเมื่อวาน
แต่เพราะกลัวใครสงสัยและได้ยิน เทียนสิงจึงเรียกเจ้านายเหมือนสหายเพราะอีกฝ่ายสั่งไว้
“พวกเราสืบได้แล้วว่าคนที่สั่งการทั้งสามคนนั้นเป็นผู้หญิง แต่ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเธอคนนั้นเป็นใคร เพราะเธอไม่ได้บอกชื่อและดูเหมือนจะระวังตัวไม่น้อย ส่วนราคาว่าจ้างคือสามร้อยห้าสิบหยวน”
หยางอี้ข่ายเงียบไปทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะให้ลูกน้องทำงานต่อ
“สืบเรื่องนี้ต่อไป แล้วลากผู้หญิงคนนั้นออกมาให้ได้ ใครก็ตามที่มันคิดร้ายกับอาเหมย มันจะต้องรับบทลงโทษอย่างสาสมเหมือนคนที่อยู่ไม่สู้ตาย” ชายหนุ่มพูดเสียงเหี้ยม และไม่คิดจะปล่อยผู้หญิงคนนั้นไป
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่นั้น หลี่ซือหยวนก็เดินออกมาจากที่ซ่อน เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่เพราะรู้ว่าคนที่มาหาน้องเขยนั้นคือลูกน้องคนสนิทของคุณชายหยาง ชายที่เย็นชาและเหี้ยมโหดที่สุดในเมืองนี้จึงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม
แม้ว่าการสนทนาของคนทั้งคู่ไม่ได้มีเรื่องที่ต้องน่าตกใจ เพราะเรื่องที่คุยกันคือเรื่องของหลี่เหมยน้องสาวของเขาเอง แต่ด้วยท่าทางของคนที่มาดูไม่เหมือนกิริยาของสหายที่คุยกันก็ทำให้ไม่อาจวางใจได้เต็มที่
“คุณคือคนสนิทของคุณชายจากตระกูลหยาง ผมเคยพบตอนไปขนสินค้าเข้าโกดัง ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสหายกับอี้ข่าย”
แม้จะพูดด้วยเสียงปกติ แต่ฟังแล้วช่างกดดันไม่น้อยเลย
หยางอี้ข่ายถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะสารภาพตัวตนของตนเอง เพราะเชื่อว่าพี่ภรรยาคนนี้ย่อมเข้าใจถึงเหตุผล และในเมื่อเขารักหลี่เหมยด้วยใจจริง หลี่ซือหยวนคนนี้ย่อมไม่ห้าม
“ฉันคือหยางอี้ข่าย คุณชายจากตระกูลหยาง และนี่คือเทียนสิงคนสนิทของฉันเอง”
“เพราะอะไรคุณถึงปิดบังอาเหมย”
“เพราะกลัวว่าน้องสาวนายจะทิ้งฉันน่ะสิ ฉันตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น ในวันที่นายและเธอไปซื้อจักรยานในตลาดมืด”
“แล้วเมื่อไรจะบอกอาเหมย ไม่กลัวเธอโกรธเหรอ”
หลี่ซือหยวนถาม เขารู้สึกยินดีที่ได้ยินคำว่ารักจากคนใหญ่คนโต ซึ่งหากชายตรงหน้ารักน้องสาวเขาจริง เขาก็ไม่คิดที่จะขัดขวาง
“ไม่นานหรอก รอให้คุณพ่อคุณแม่กลับมาเสียก่อน แล้วฉันจะบอกเรื่องนี้กับน้องสาวนายเอง ว่าแต่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วใช่ไหม ต่อไปก็เรียกฉันว่าอี้ข่ายเหมือนเดิมเถอะนะ ต่อให้ฉันจะอายุมากกว่า แต่ก็มีศักดิ์เป็นน้องเขยของนาย”
เขาไม่ยึดถือกับอำนาจหรือคำว่าคุณชายหยาง เพราะอย่างไรชายหนุ่มตรงหน้าก็คือพี่ชายของภรรยา
“ผมขอเรียกพี่อี้ข่ายก็แล้วกัน แล้วพี่ก็เรียกผมว่าอาหยวนหรือซือหยวนก็ได้” เขาตอบกลับมาบ้าง ก่อนจะพูดต่อ “ผมได้ยินทั้งหมดแล้ว คนที่ผมคิดถึงตอนนี้มีเพียงถังชุนเป้ย หลานสาวจากบ้านถัง เธอน่าจะไม่พอใจที่ยุวปัญญาชนชายหร่วนเจินฮ่าวยังคงตามง้ออาเหมย”
ทันทีที่ได้ยินหยางอี้ข่ายก็ถึงกับขบกรามแน่น เส้นเลือดตรงขมับปูดขึ้นมา
“ได้ยินที่พี่ภรรยาบอกแล้วใช่ไหม นายให้คนจับตามองผู้หญิงคนนี้ รวมถึงชายที่ชื่อหร่วนเจินฮ่าวด้วย หากจำไม่ผิดตระกูลหร่วนคือตระกูลพ่อค้าที่อยู่ปักกิ่ง เห็นทีต้องมอบรางวัลให้พวกเขาเสียแล้ว เทียนสิง”
“ครับ”
“ตัดเส้นทางการค้าของตระกูลหร่วนทั้งหมด หากมีใครให้ความช่วยเหลือหรือค้าขายด้วย นั่นก็นับว่าเป็นศัตรูกับตระกูล
หยางเช่นกัน”“ครับ ผมขอตัวก่อน” เทียนสิงเตรียมจะหมุนตัวกลับไปทำตามคำสั่ง ทว่ากลับถูกเจ้านายเรียกไว้
“นายอยู่กินข้าวก่อน อาเหมยบอกให้ชวนสหายกินข้าวด้วยแล้วค่อยกลับ” น้ำเสียงที่สั่งลูกน้องนั้นเย็นชาเหลือเกิน
หลี่ซือหยวนยืนขำกับท่าทางของคุณชายตระกูลหยาง
ที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเกรงใจน้องสาวเขาไม่น้อย‘หมดกันกับคำร่ำลือที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณชายที่เหี้ยมโหดที่สุดของเมือง’ เขาได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าเล็กน้อย
หลังจากที่ผ่านมื้ออาหารไปแล้ว หยางอี้ข่ายมีงานที่ต้องทำเลยลากตัวพี่ชายภรรยาไปด้วย เรื่องการทำงานของหลี่ซือหยวนในกองพลน้อยเขาจัดการได้ และยังอยากจะจัดการไม่ให้พ่อตาแม่ยายไปทำงานหนักอีกด้วย แต่เรื่องนี้คงต้องบอกกับภรรยาเสียก่อน
หลี่เหมยพอไม่มีอะไรทำจึงกลับเข้าห้องและวางแผนเรื่องที่จะทำคืนนี้ เธอมองว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับถังชุนเป้ยโดยตรง ซึ่งไม่เกี่ยวกับบ้านถัง และบ้านนี้ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับครอบครัวเธอ เลยไม่คิดจะให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย
‘เจ้านาย เจ้านายลืมไปหรือเปล่าว่ายังมีโสม และฉันยังพบเห็ดหลินจือบริเวณใกล้เคียงกัน ทำไมไม่พาครอบครัวไปล่ะ ตอนนี้พ่อกับแม่และน้องสาวของเจ้านายก็อยู่ หรือเจ้านายจะแลกเข้าระบบ’
‘ไม่ล่ะ ตอนนี้สมาชิกครอบครัวฉันเพิ่มขึ้นมาอีก คงต้องเก็บแล้วเอาไปขายดีกว่า ฉันอยากหลุดพ้นจากหมู่บ้านแห่งนี้เร็ว ๆ แต่ขอจัดการนางเอกของเรื่องเสียก่อน ไม่ชอบอยู่แบบสงบ ๆ ดีนัก’
หลี่เหมยไม่ได้ลืม แต่เชื่อว่าคงยังไม่มีใครหาโสมพวกนั้นพบ พอลี่ลี่เตือนสติก็นึกขึ้นมาได้ ก่อนจะเดินออกมาชวนทุกคนออกไปเก็บโสม ซึ่งสร้างความตกใจให้กับคนในบ้านไม่น้อย
“ไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ ครั้งที่แล้วฉันก็ไปกับพี่ใหญ่ เราขายได้เกือบแสนหยวน และที่ไม่บอกยอดเงินจริงก็เพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะกังวล” หญิงสาวรีบอธิบาย
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะ หากชาวบ้านถามก็ค่อยบอกว่าไปหาของป่าและฟืน” หลี่กวงพยักหน้าเข้าใจ แล้วรีบบอกให้
ทุกคนไปเตรียมตัว เพื่อไปเก็บโสมอย่างที่ลูกสาวบอกเมื่อมาถึงทั้งสี่ต่างก็ช่วยกันเก็บอย่างเบามือ และไม่คิดว่าโสมจะมีไม่น้อย หากนับแล้วน่าจะได้เกือบห้าสิบต้น และคาดว่าเงินจากการขายก็น่าจะไม่ต่ำกว่าแสนหยวน
ซึ่งทั้งสี่เลือกที่จะเข้าเมืองทันทีด้วยการเดินอ้อมไปอีกหมู่บ้าน และเมื่อมาถึงร้านสมุนไพร คนดูแลร้านก็เปิดห้องส่วนตัวให้
หลังจากที่ตกลงซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ทางสวี่เหิงก็พาไปเบิกเงินเหมือนเดิม เขาไม่คิดว่าเพียงเดือนกว่า หญิงสาวคนนี้จะพบโสมอีกแล้ว
ทั้งสี่กลับบ้านด้วยความเบิกบานใจ แต่เมื่อมาถึงกลับต้องหงุดหงิด เพราะหร่วนเจินฮ่าวมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“มาทำไม นี่ยังไม่ถึงรอบที่ต้องจ่ายเงิน” หลี่กวงถาม พร้อมตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ
“เอ่อ ผมมีเรื่องจะคุยกับหลี่เหมย” แม้ไม่อยากมีปัญหากับชายสูงวัยตรงหน้า แต่เพราะต้องการรู้ความจริงเลยต้องมาและถามสิ่งที่อยากรู้
“คุณมีเรื่องอะไร เราสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้ว
อีกอย่างนะตอนนี้ฉันมีสามีแล้ว คุณไม่ควรจะมาวุ่นวายกับฉันที่นี่อีก และมาได้เพียงแค่ตอนที่เอาเงินมาคืนเท่านั้น”หลี่เหมยรีบบอก เพราะไม่อยากให้เขามาวุ่นวายกับเธออีก
“เธอแต่งงานแล้วงั้นเหรอ อย่างไรฉันก็ไม่เชื่อหรอก ก่อนหน้านี้เธอรักฉันจะตายไป จะเปลี่ยนใจง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ”
ชายหนุ่มไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะยังเชื่อว่าเธอนั้นรอตนเองอยู่
“ฉันเคยตาบอดมาก่อนเรื่องนี้ฉันไม่เถียง แต่ตั้งแต่วันที่ฉันตาสว่าง ฉันก็ไม่มีใจให้คุณอีกแล้ว เรื่องระหว่างเรามันเป็นแค่ความรู้สึกที่ฉาบฉวย อีกอย่างคนที่คุณรักคือถังชุนเป้ย ดังนั้น
คุณควรกลับไปหาเธอซะ ฉันเองก็มีครอบครัวแล้ว ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับชายอื่น หวังว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดนะ”หลี่เหมยพูดอย่างไม่คิดจะไว้หน้าใครอีก และแม้ว่าเธอจะไม่ตัดสินใจแต่งงาน เธอก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับหร่วนเจินฮ่าว!!
ตอนพิเศษ 2 5 ปีผ่านไปตอนนี้สถานการณ์ครอบครัวของหลี่เหมยก็เข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น และตอนนี้ลูกฝาแฝดของเธออย่างหยางกวนโม่กับหยางเสี่ยวเหมยก็อายุครบห้าขวบในวันนี้ ดังนั้นวันนี้ที่บ้านตระกูลหยางจึงครึกครื้นมากเป็นพิเศษ เพราะสมาชิกทั้งสองครอบครัวลงไปจัดเตรียมสถานที่ตั้งแต่เช้ามืด แขกที่มาก็จะเป็นทั้งญาติพี่น้อง และคู่ค้าที่มีสัมพันธ์อันดีแต่ในห้องนอนของหยางอี้ข่ายนั้นมีแสงส่องผ่านผ้าม่านสีฟ้าอ่อนเข้ามาเล็กน้อย และในห้องนั้นก็กำลังร้อนระอุกับบทรักยามเช้าที่สามีกำลังมอบให้ภรรยา“อา....เสียวมากครับอาเหมย ไม่ว่ากี่ปีผ่านไปน้องก็ทำให้มีความสุขทุกครั้ง” หยางอี้ข่ายถึงกับแหงนหน้าครางออกมาอย่างสุขสม“ฮึก...ฉันก็เสียวและมีความสุขค่ะ แต่พี่ต้องทำเวลาหน่อยนะ ตอนนี้ทุกคนตื่นแล้ว ซี้ดดด!” หลี่เหมยที่ตอนนี้อยู่ในท่าคุกเข่าหันก้นให้สามีอัดกระแทกแก่นกายเข้าในร่องเสียว เธอครางด้วยความเสียวซ่าน เมื่อตอนนี้สะโพกหนากระแทกใส่เธอไม่ยั้งตับ ๆ ตับ ๆ ตับ ๆ“โอ้ววว พี่ก็พยายามอยู่ แต่พี่อยากมีความสุขกับอาเหมยนาน ๆ พี่รักอาเหมยที่สุด จุ๊บ!”ชายหนุ่มที่แหงนหน้าครางได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งจับเอ
ตอนพิเศษ 1 ตั้งแต่ที่รู้ว่าหลี่เหมยตั้งท้อง นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนจนเกือบจะคลอดอยู่แล้ว ทว่าทุกคนกลับดูแลเธอไม่ต่างจากตอนท้องสองเดือน จนหญิงสาวต้องบ่นออกมาว่าเธอแค่ท้องไม่ได้ป่วยสักหน่อย แล้วคุณหมอก็บอกแล้วว่าท้องนี้ของเธอแข็งแรงดีแม้ว่าจะท้องแฝดก็ตาม “อาเหมยเป็นอย่างไรบ้าง พี่ไม่อยากไปทำงานเลย”หยางอี้ข่ายรีบบอก พร้อมกับมีสีหน้าออดอ้อนภรรยา จนโม่ซือเจินต้องเบะปากใส่ลูกชายที่เสแสร้งจนเกินหน้าเกินตา“ฉันก็เหมือนเดิม วันนี้พี่มีประชุมสำคัญของสมาคมการค้า พี่อย่ามางอแงเหมือนเด็กเลยนะ งานนี้สำคัญนะคะ”หญิงสาวอยากจะขำกับท่าทางของเขา แต่ก็ไม่อยากหักหน้าสามีต่อหน้าคนรับใช้หยางอี้ข่ายถอนหายใจ หากวันนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเขาคงไม่ไปหรอก เพราะภรรยากำลังอยู่ในช่วงใกล้คลอด“ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ เสร็จงานแล้วจะรีบกลับ”“พ่อถามหน่อยเถอะ คุณชายแห่งตระกูลหยางผู้เหี้ยมโหดไปไหนแล้ว ทำไมพ่อเห็นแค่แมวน้อยเท่านั้นล่ะ” นายท่านหยางอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อลูกชาย“โธ่ พ่อครับ ผมก็แค่คนที่รักลูกรักภรรยา งานก็ส่วนงานสิครับ หากมีคนมารังแก ผมก็พร้อมที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”ชายหนุ่มไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร
บทที่ 26 หยางอี้ข่ายเดินเข้ามาหาหลี่เหมยที่นั่งอยู่บนเตียง เขายิ้มให้อย่างอ่อนหวาน พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ เจ้าสาว“ขอโทษนะครับที่พี่เข้ามาช้า พอดีมีแขกดึงไว้น่ะ” เขาพูดขึ้นและหอมแก้มเธอเบา ๆ“ฉันก็นึกว่าพี่จะปล่อยให้ฉันนอนหนาวอยู่คนเดียวในคืนเข้าหอซะอีก” หญิงสาวพูดอย่างหยอกล้อ และเริ่มมือไม้ซุกซนถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก “ไปอาบน้ำก่อนดีไหมคะ”“พี่จะปล่อยให้คืนแต่งงานของเราไร้ความหมายได้อย่างไร ส่วนเรื่องอาบน้ำ เอาไว้อาบทีหลังได้ไหมครับ ตอนนี้ยังไม่มีเหงื่อเลยสักนิด เดี๋ยวเรามาเข้าหอกันดีกว่า” ชายหนุ่มตอบกลับพร้อมกับเริ่มถอดเสื้อผ้าให้เธอทีละชิ้นเหมือนกำลังแกะกล่องของขวัญ“พูดแล้วก็ทำให้พี่คิดถึงคืนนั้น ที่เรามีอะไรกันครั้งแรก พี่อยากมีความรู้สึกแบบนั้นอีกจังเลย พี่ชอบมากที่ปากน้อย ๆ นี้สัมผัสกับแก่นกายของพี่ ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นกับพี่มาก่อน พี่ขอแบบนั้นอีกได้ไหมครับ”หยางอี้ข่ายพูดอย่างอ่อนหวาน เขาจูบลงที่ริมฝีปากบางในตอนที่พูดถึงปากของเธอ“งั้นถ้าฉันทำให้พี่ พี่ก็ต้องทำให้ฉันด้วยนะคะ เหมือนวันนั้น” หญิงสาวตอบกลับอย่างเขินอาย เมื่อคิดถึงคืนแรกของทั้งสองคน“ได้สิ เรามามีความสุขด้วยกันนะ”
บทที่ 25 หัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยรีบห้ามซือถัวทันที“เธออย่าเห็นแก่ได้ไปหน่อยเลยซือถัว ก่อนหน้านี้บ้านใหญ่เคยให้อะไรกับบ้านรองบ้างล่ะ ตอนที่แยกบ้านและตัดขาดกัน บ้านรองแทบไม่มีอะไรติดตัวมาเลย แม้ว่าตอนนี้ครอบครัวของหลี่กวงจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง แต่บ้านหลังนี้ก็ยังเป็นของเขาอยู่ และเขาจะให้ของในบ้านกับใคร หรือไม่ให้ใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของหลี่กวง เธอไม่มีสิทธิ์มายุ่ง”“นี่มันเรื่องในครอบครัวของตระกูลหลี่ หัวหน้าหมู่บ้านนั่นแหละที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแบบนี้ ฉันพูดกับน้องชายของสามี ไม่ได้พูดกับหัวหน้าหมู่บ้านสักหน่อย” เธอหันกลับมาตวาดใส่หัวหน้าหมู่บ้านอย่างโมโห และรู้สึกไม่พอใจที่หัวหน้าหมู่บ้านเข้ามายุ่งในเรื่องนี้แต่ในขณะนั้นเอง ลูกชายคนโตของซือถัวก็เดินเข้ามาด้วยความโมโห พร้อมกับพูดกับแม่อย่างฉุนเฉียวว่า“ผมบอกแม่แล้วใช่ไหมว่าให้เลิกยุ่ง และวุ่นวายกับบ้านอารองเสียที ในเมื่อแม่ไม่เชื่อฟังผม และยังเห็นแก่ตัวอยู่แบบนี้ เห็นทีผมต้องแยกบ้านเสียแล้วล่ะ”พอเห็นว่าลูกชายพูดด้วยอาการโกรธจัด ท่าทีของซือถัว ก็สงบลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ กับเขา“แม่ก็แค่อยากได้เครื่องเรือน และข้าวขอ
บทที่ 24 นายท่านหยางเห็นว่าครอบครัวของลูกสะใภ้ยังมีความเกรงใจตัวเอง และยังเรียกนายท่านอยู่จึงได้เอ่ยปากบอกออกมา“ไม่ต้องเรียกฉันว่านายท่านหรอก เราคนกันเองทั้งนั้นต่อจากนี้เรียกฉันว่าพี่หยางตงเถอะ”“เธอก็เหมือนกัน ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณนาย ต่อไปก็เรียกว่าพี่ซือเจิน เราสองครอบครัวตอนนี้เกี่ยวดองกันแล้ว”โม่ซือเจินพูดขึ้นมาบ้าง“ครับ / ค่ะ” ทั้งสองตอบรับอย่างยินดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าคนยิ่งใหญ่อย่างนายท่านหยางจะไม่ถือตัวกับชาวบ้านแบบตนเอง“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ฉันจะพาเธอไปในเมืองเพื่อไปเลือกดูเสื้อผ้าและของใช้ในงานแต่งงาน เธออยากจะจัดงานที่ไหนเหรอ”โม่ซือเจินถามความคิดเห็น“ฉันอยากจะย้ายบ้านก่อนน่ะค่ะ ตอนนี้พ่อสามีให้บ้านมาแล้ว เลยตั้งใจว่าจะไปดูในวันพรุ่งนี้ เพื่อจะได้เตรียมงานที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้า”หลี่เหมยตอบเอง เธอต้องการทำอย่างที่พูดก่อน ส่วนเรื่องจะเชิญใครไปงานแต่งงานนั้นค่อยว่ากัน หรือไม่ก็ค่อยเลี้ยงคนในหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเธอ“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ อาเหมยก็ค่อยไปดูบ้านกับทุกคนก็แล้วกันว่าชอบหรือเปล่า หากไม่ชอบพ่อจะได้เปลี่ยนหลังใหม่ให้ แล้วจะได้ย้ายทะเบียนบ้านทุกคนเ
บทที่ 23 ครึ่งเดือนต่อมา...แม้ว่าจะผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว แต่ตอนนี้ในหมู่บ้านก็ยังพูดคุยเรื่องของถังชุนเป้ยอยู่ เนื่องจากการกระทำของเธอมันโหดร้ายจนเกินไป แต่ก็ไม่มีใครไปโกรธหรือเกลียดคนบ้านถัง นั่นเพราะว่าทุกคนแยกแยะออก และรู้ว่าคนบ้านถังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้และที่ทุกคนแปลกใจก็เพราะว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน ตัวของหร่วนเจินฮ่าวโดนคำสั่งย้ายอย่างกะทันหัน และเห็นว่าเงินเดือนที่ได้จากกองพลน้อยถูกสั่งหักไว้เพื่อชำระหนี้ให้กับหลี่กวงตามสัญญาที่เคยทำไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหัวข้อสนทนาของชาวบ้านไม่ต่างกันวันนี้หลี่เหมยตั้งใจจะเข้าเมือง เพราะอยากไปดูที่โรงขยะว่ามีสิ่งของน่าสนใจหรือไม่ อีกอย่างเธอได้ยินสามีพูดว่า พ่อกับแม่สามีใกล้จะกลับมาแล้ว เธอจึงอยากจะหาของเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าในระบบออกมาซึ่งในระบบพอมีเครื่องประดับบางอย่างที่ไม่ผิดกฎหมายในยุคนี้ ส่วนพ่อสามีก็คงจะให้เป็นนาฬิกาข้อมือ ที่หาไม่ได้จากในยุคนี้เหมือนกัน‘เจ้านาย ภาพวาดนั้นมีค่ามาก เจ้านายซื้อเก็บไว้ก่อนเถอะในอนาคต ซื้อขายเป็นร้อยล้านหยวนกันเลยนะ’ลี่ลี่รีบส่งเสียงบอกเมื่อเห็นภาพวาดโบราณที่แทบจะประเมินค่าไม่ได้ แต่ในยุคนี้นั้