วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับอาชา แต่สำหรับเหมยแล้ว มันกลับเป็นช่วงเวลาที่เธอได้ทบทวนตัวเองและเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ตอนนี้มีหมาสีขาวพันธุ์ไทยที่มาอยู่เป็นเพื่อนเหมยทุกวันชื่อคุณนายสีด่าง ที่ชื่อสีด่างเพราะทั้งตัวมีแต่รอยดำ เป็นจุดดำ ๆ เหมือนแม่วัว "เจ้าสีด่างเป็นเอ็งนี่ก็ดีนะกินแล้วก็นอน" เหมยที่ตอนนี้เริ่มเขียนนิยายเพื่อนสะสมต้นฉบับว่าง ๆ เธอจะโทรหาแม่น้ำฟ้ากับพ่อของเธอ เธอใช้เวลาอยู่กับพราวและเจ้าสีด่างหมาตัวเมียที่คอยเฝ้ามาขออาหารเธอเป็นประจำ เพื่อนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างและรับฟังทุกความรู้สึก บาดแผลในใจของเหมยค่อย ๆ สมานขึ้นทีละน้อย เมื่อเธอเริ่มยอมรับได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นความผิดของใครทั้งนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างอาจเป็นเพราะพรหมลิขิต พราวเพื่อนสาวที่อยู่เป็นเพื่อนเหมยในทุกช่วงเวลาหลังจากที่มีเรื่องกับอาชา *ฮัลโหลยายเจ๊สซี่ืสรุป แกจะมาเมืองไทยเมื่อไหร่ มาคราวที่แล้วก็ไม่มาหาฉันไปหาแต่ยัยเหมยคนเดียว"พราวแอบงอนให้กับเจ๊สซี่ "โอ๋....ไม่งอนฉันนะเพื่อนเลิฟ เดี๋ยวสี่เดือนหมดงานเดินแบบฉันก็จะเคลียร์คิวพักร้อนได้สองอาทิตย์เดี๋ยวจะรีบไปหาแกสองคนเลย โอเคปะ"เจ๊สซี่อ้อนเพื่อนสาวสองคน "เออก็ได้"พราวยอมอ่อนข้อให้กับเจ๊สซี่ ทั้ง 3 สาวพากันพูดคุยสัพเพเหระตามประสาผู้หญิงและก็ถามเรื่องราวของเหมย อย่างเป็นห่วงเป็นใยเสมอเจสซี่แม้จะอยู่ห่างไกลคนละซีกโลกเธอก็ยังคงไม่เคยทิ้งเพื่อนสาวคนนี้ "ขอบใจนะที่เป็นห่วงฉันน่ะ แกสองคนไม่ต้องห่วงนะฉันดีขึ้นแล้ว"เหมยบอกกับพราวและเจสซี่ "พวกฉันสองคนไม่ห่วงแกแล้วจะให้ห่วงใครหรือยะ นี่เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินข้างนอกแล้วค่อยกลับมาคุยกันใหม่แล้วกันนะยัยเจสซี่ที่นี่เย็นแล้วเดี๋ยวไม่มีข้าวเย็นกิน"พราวหันมาบอกเจสซี่ "แกกินเยอะนะเยอะยายพราว ระวังตัวจะอ้วนเป็นตุ่มดูซิเนี่ยกินจังเลยเจสซี่บ่นให้กับเราเพื่อนสาวที่หน้ากลมตุ๊ต๊ะจนดูน่าหยิก นั่นปากปล่อยยัยเกรซซี่อย่าให้มาเมืองไทยนะระวังเถอะฉันจะพาแกไปกินให้อ้วนกว่าฉันเลยทั้ง 3 สาวก็ยังคงพูดคุยกันแบบติดตลก อาชายังคงโทรหาเหมยทุกวัน แม้ว่าจะไม่ได้รับสาย แต่เขาก็ยังส่งข้อความไปหาเธออย่างสม่ำเสมอ ข้อความเหล่านั้นไม่ใช่ข้อความที่เร่งเร้าหรือตัดพ้อ แต่เป็นข้อความที่บอกเล่าเรื่องราวในแต่ละวันของเขา เช่น วันนี้ลิลลี่ทำอะไรบ้าง วันนี้เขาจัดการเรื่องคดีดารินไปถึงไหนแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือข้อความที่แสดงความห่วงใยและสำนึกผิดอย่างจริงใจ "คุณเหมยครับ วันนี้ผมกับลิลลี่ปลูกดอกไม้ที่คุณเหมยชอบด้วยนะ ตอนนี้ดอกกุหลาบในสวนมีเกือบ 200 ต้นแนะ" และอาชาก็ส่งรูปส่วนที่เขาตั้งใจปลูกลงมือทำกับหนูน้อยลิลลี่ด้วยตัวเอง "คุณเหมยเห็นแล้วใช่ไหม สวยมากเลยผมหวังว่าในวันที่ดอกกุหลาบพวกนี้บาน คุณ เหมยจะมาดูด้วยตัวเองนะ" อาชาเล่าเรื่องมากมายให้กับเหมยฟังตลอดระยะเวลาที่ห่างกันมันทำให้อาชารู้ว่าอาชามีความรู้สึกดีๆกับเหมยมากแค่ไหน เหมยอ่านข้อความเหล่านั้นทุกวัน เธอรับรู้ได้ถึงความตั้งใจและความพยายามของอาชา น้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นในใจเธอเริ่มละลายลงทีละน้อย เธอเห็นความจริงใจของเขาผ่านข้อความเหล่านั้น และนึกถึงแววตาของเขาในวันที่มาหาเธอที่เชียงราย เธอเริ่มที่จะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิตย์ที่สองที่อาชากับเหมยต้องหา่างกัน เหมยได้รับข่าวว่า คดีของ ดาริน มีความคืบหน้าอย่างมาก ตำรวจได้รวบรวมหลักฐานและพยานที่เพียงพอที่จะเอาผิดดารินได้ "อันนี้เป็นหลักฐานผลการตรวจเลือดของคุณอาชาและแก้วแชมเปญในวันนั้นมียาอย่างที่คุณอาชาได้ให้ทนายมาแจ้งกับทางตำรวจครับ" คดีทุกอย่างเริ่มเห็นผล "งั้นยังไงฝากคุณตำรวจด้วยนะครับ"อาชาพูดจบก็วางสายไป อาชาส่งข้อความมาบอกเหมยว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด และดารินจะต้องได้รับผลกรรมจากการกระทำของเธออย่างสาสม ข่าวนี้ทำให้เหมยรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด มันเหมือนกับก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจได้ถูกยกออกไป เธอรู้ว่าอาชาไม่ได้โกหก และเขากำลังพยายามแก้ไขทุกอย่างอย่างจริงจัง คืนนั้นเอง เหมยตัดสินใจโทรกลับหาอาชา เธอลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้ากดปุ่มโทรออก “สวัสดีครับ” เสียงของอาชาดังขึ้นในทันที เสียงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีที่ปิดไม่มิด “คุณอาชาคะ...เหมยเองค่ะ” เหมยพูดเสียงสั่นเล็กน้อย “เหมย! คุณ...คุณสบายดีใช่ไหมครับ” อาชาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลและดีใจ “เหมยดีขึ้นแล้วค่ะ” เหมยตอบอย่างจริงใจ “เหมยโทรมาขอบคุณนะคะ...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คุณทำ” อาชาเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังประมวลผลคำพูดของเธอ “ไม่ต้องขอบคุณเลยครับเหมย ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ ที่ให้โอกาสผมได้คุยกับคุณอีกครั้ง” เหมยถอนหายใจยาว “เหมยได้ยินเรื่องคดีของดารินแล้วนะคะ” “ใช่ครับ ตอนนี้คดีมีความคืบหน้ามากแล้ว และผมมั่นใจว่าเธอจะได้รับการลงโทษที่สาสม” อาชาตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “คุณ...คุณทำอะไรไปมากมายเพื่อเหมยขนาดนี้ทำไมคะ” เหมยถามด้วยความสงสัย อาชาเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง “เพราะผมรู้สึกผิดมาก กับสิ่งที่เกิดขึ้น และที่สำคัญที่สุด...เพราะผมเริ่มรู้สึกบางอย่างกับคุณตั้งแต่แรกเห็นแล้วเหมย และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มันทำให้ผมรู้ว่าผมไม่อยากเสียคุณไปจริงๆ....” คำสารภาพของอาชาทำให้เหมยถึงกับอึ้ง เธอไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเธอ ความรู้สึกอบอุ่นแปลก ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ “เหมย....เหมยไม่รู้จะพูดอะไรดีค่ะ” เหมยพูดเสียงแผ่ว “คุณไม่ต้องพูดอะไรตอนนี้ก็ได้ครับเหมย แค่คุณรับสายผม และยอมคุยกับผมอีกครั้ง มันก็มีความหมายกับผมมากแล้ว” อาชาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ผมอยากจะขอโอกาสได้เจอคุณอีกครั้ง ได้ไหมครับเหมย” เหมยลังเล แต่ในใจก็รู้สึกอยากเจอเขาเช่นกัน เธออยากเห็นแววตาของเขา อยากฟังเสียงของเขา อยากรู้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเธอเป็นเรื่องจริงหรือไม่ “ก็ได้ค่ะ” เหมยตอบในที่สุด “แต่...ขอเวลาอีกนิดนะคะ ฉันยังไม่พร้อมที่จะกลับไปที่เชียงใหม่ตอนนี้” “ได้ครับเหมย ผมจะรอคุณ” อาชาตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข “คุณอยู่ที่นั่นให้สบายใจก่อนนะครับ เมื่อไหร่ที่คุณพร้อม บอกผมได้เลย ผมจะไปหาคุณทันที ยัยหนูลิลลี่คิดถึงคุณมากเลยนะ”อาชาบอก หลังจากวันนั้น เหมยและอาชาเริ่มพูดคุยกันทุกวัน พวกเขาเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันฟัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้น เหมยเริ่มเห็นด้านที่อ่อนโยนและจริงใจของอาชา เขาไม่ได้เป็นเพียงชายหนุ่มผู้เอาแต่ใจ และรุนแรงอย่างที่เธอเคยคิด แต่เขามีมุมที่อบอุ่น อ่อนโยน และมีความรับผิดชอบ ส่วนอาชาเองก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเหมยมากขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง อ่อนโยน และมีความเมตตา และยิ่งได้รู้จักเธอก็ยิ่งทำให้เขารักเธอมากขึ้น สัปดาห์ต่อมา เหมยตัดสินใจที่จะกลับไปเชียงใหม่เพื่อกลับไปสอนลิลลี่ตามสัญญา อาชาอาสามารับเธอที่สนามบินด้วยตัวเอง เมื่อทั้งสองคนได้พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกอึดอัดที่เคยมีอยู่ก็มลายหายไป เหลือเพียงความอบอุ่นและความรู้สึกดีๆ ที่ทั้งสองมีให้กัน “คุณกลับมาแล้ว” อาชาพูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง เขาเอื้อมมือไปจับมือของเหมยเบาๆ เหมยไม่ได้ดึงมือกลับ เธอปล่อยให้อาชากุมมือเธอไว้ “ค่ะ เหมยกลับมาแล้ว” เหมยตอบพร้อมรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม อาชาขับรถพาเหมยกลับมาที่บ้านสวนของเธอเอง เขาช่วยเธอขนกระเป๋าเข้าบ้าน และอยู่คุยกับเธอจนแน่ใจว่าเธอรู้สึกสบายใจ “ลิลลี่คิดถึงคุณครูเหมยมากเลยนะครับ” อาชาพูดขึ้น “คุณครูจะกลับไปสอนลิลลี่อีกครั้งได้ไหมครับ” เหมยยิ้ม “ฉันจะสอนน้องลิลลี่ค่ะ แต่ขอเวลาอีกหน่อยนะคะ เหมยเตรียมการสอนให้เรียบร้อยแล้วจะไปทันที” อาชาพยักหน้า “ได้ครับ ผมจะรอนะครับ” จากวันนั้นเป็นต้นมา เหมยและอาชาใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น พวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เหมยได้กลับไปสอนภาษาไทยให้น้องลิลลี่อีกครั้ง และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลิลลี่ก็กลับมาแน่นแฟ้นเหมือนเดิม อาชายังคงให้เกียรติและดูแลเหมยเป็นอย่างดี เขาไม่เคยเร่งรัดเธอในเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย และพยายามพิสูจน์ให้เธอเห็นว่าเขาสามารถเป็นที่พึ่งให้กับเธอได้ เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกรักและผูกพันระหว่างเหมยกับอาชาก็เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ แต่หนักแน่น เหมยเรียนรู้ที่จะให้อภัย และอาชาก็เรียนรู้ที่จะรักอย่างแท้จริง ทางด้านธงที่พยายามตามตื๊อตามจีบเหมยหลังจากรู้ว่าเหมยนั้นได้มาเป็นคุณครูสอนหนังสือภาษาไทยให้กับหนูน้อยลิลลี่หลานสาวของอาชาวัย 4 ขวบธงพยายามเข้าใกล้เหมยทุกวิถีทาง ภายใต้ดวงตาคมกริบประดุจเหยี่ยวที่จ้องจะตะครุบเหยื่อตลอดเวลาอย่างอาชาก็เฝ้าสังเกตการณ์ว่าธงคนที่เคยมีอดีตกับเหมยกำลังพยายามเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้หญิงของเขาอาชากกำลังส่งสัญญาณเตือนธงอยู่ห่างๆเหมยไว้ดีที่สุดถ้าไม่อยากต้องมีอันเป็นไปก่อนวัยอันควร.....วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับอาชา แต่สำหรับเหมยแล้ว มันกลับเป็นช่วงเวลาที่เธอได้ทบทวนตัวเองและเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตอนนี้มีหมาสีขาวพันธุ์ไทยที่มาอยู่เป็นเพื่อนเหมยทุกวันชื่อคุณนายสีด่าง ที่ชื่อสีด่างเพราะทั้งตัวมีแต่รอยดำ เป็นจุดดำ ๆ เหมือนแม่วัว "เจ้าสีด่างเป็นเอ็งนี่ก็ดีนะกินแล้วก็นอน" เหมยที่ตอนนี้เริ่มเขียนนิยายเพื่อนสะสมต้นฉบับว่าง ๆ เธอจะโทรหาแม่น้ำฟ้ากับพ่อของเธอ เธอใช้เวลาอยู่กับพราวและเจ้าสีด่างหมาตัวเมียที่คอยเฝ้ามาขออาหารเธอเป็นประจำ เพื่อนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างและรับฟังทุกความรู้สึก บาดแผลในใจของเหมยค่อย ๆ สมานขึ้นทีละน้อย เมื่อเธอเริ่มยอมรับได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นความผิดของใครทั้งนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างอาจเป็นเพราะพรหมลิขิต พราวเพื่อนสาวที่อยู่เป็นเพื่อนเหมยในทุกช่วงเวลาหลังจากที่มีเรื่องกับอาชา *ฮัลโหลยายเจ๊สซี่ืสรุป แกจะมาเมืองไทยเมื่อไหร่ มาคราวที่แล้วก็ไม่มาหาฉันไปหาแต่ยัยเหมยคนเดียว"พราวแอบงอนให้กับเจ๊สซี่ "โอ๋....ไม่งอนฉันนะเพื่อนเลิฟ เดี๋ยวสี่เดือนหมด
อาชาพยักหน้าช้าๆ เขาเข้าใจดีว่าเธอต้องการเวลา “ได้ครับเหมย ผมจะให้เวลาคุณ แต่ได้โปรด อย่าหนีผมไปอีกเลยนะครับ ผมขอร้อง”เขาลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ แล้วหยิบนามบัตรของเขาออกมาจากกระเป๋าสตางค์ “นี่เบอร์โทรศัพท์ของผม และนี่คือเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผมใช้ส่วนตัว ถ้าคุณต้องการอะไร หรือเมื่อคุณพร้อมที่จะคุยกับผม ได้โปรดโทรหาผมนะครับให้คุณพราวโทรมาหาผมก็ได้”เหมยรับนามบัตรมาถือไว้ในมืออย่างสั่นเทา เธอไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี อาชาโค้งคำนับเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบเชียบอาชาเดินออกมาจากบ้านพักตากอากาศของพราวด้วยความรู้สึกที่ปะปนกันไปหมด เขารู้สึกโล่งใจที่ได้เจอเหมยและได้อธิบายเรื่องราวบางส่วน แต่ก็ยังคงกังวลกับท่าทีของเธอที่ยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด“นายครับ เป็นยังไงบ้างครับ” เสือรีบเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง“เธอไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะคุยกับฉัน” อาชาตอบเสียงเหนื่อยหน่าย เขามองย้อนกลับไปยังบ้านพักตากอากาศ เขารู้ว่าการตามหาเหมยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการแก้ไขทุกอย่าง สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำให
"รบกวนคุณทนายจัดการเรื่องนี้ได้ตามสมควรไม่ต้องสอบถามอะไรจากผมทั้งนั้น"อาชาสั่งเสียงเรียบอย่างไม่ใยดีอย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่สามารถจัดการได้แต่เขารู้ว่าคนอย่างดารินทร์ถ้าไม่จัดการถอนรากถอนโคนก็คงจะต้องกลับมาวุ่นวายกับเขาอีกแต่ตอนนี้เขายังไม่มีกระจิดกระใจจะทำอะไรทั้งนั้นนอกจากตามหาเหมยให้เจอแล้วอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังในที่สุด โทรศัพท์ของอาชาก็ดังขึ้น เป็นเสือที่โทรรายงาน “นายครับ ผมได้ข้อมูลมาแล้ว คุณเหมยเคยทำงานเป็นบรรณาธิการอิสระให้กับสำนักพิมพ์ ‘สายรุ้งหลากสี’ และมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อคุณพราว ซึ่งมีบ้านพักตากอากาศอยู่ในจังหวัดเชียงรายครับ”หัวใจของอาชาเต้นแรง เขาจำได้ว่าเหมยเคยพูดถึงความชอบในความสงบของธรรมชาติ เชียงรายเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการหลบซ่อนตัว เขารีบจัดการให้ป้าแจ่มเก็บสัมภาระสำหรับเช้าวันรุ่งขึ้นทันที โดยให้เสือจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย “เสือ! เตรียมรถให้พร้อมที่สุด เราจะไปเชียงรายกันพรุ่งนี้เช้า”“ครับนาย” เสือรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าเจ้านายของเขาจริงจังแค่ไหนกับการตามหาเหมย
เหมยขยับตัวอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดระบมแล่นแปลบขึ้นมาจากกลางลำกาย ย้ำเตือนถึงเรื่องราวเร่าร้อนเมื่อคืน เธอพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างทุลักทุเล ทุกท่วงท่าดูเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ดวงตาหวานกวาดมองไปรอบห้องที่ยังคงอบอวลด้วยกลิ่นกายของอาชาทันทีที่สองเท้าแตะพื้น เหมยก็ตรงรี่ไปยังกองเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น หยิบมันขึ้นมาสวมใส่อย่างเร่งรีบ ไม่สนใจว่ามันจะยับยู่ยี่เพียงใด ในใจของเธอมีเพียงความคิดเดียวคือ ต้องรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับอาชาอีกต่อไปเธอหลุบตาต่ำ พยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับอาชาที่ยังคงหลับใหลอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานซีดเผือด ไม่หลงเหลือร่องรอยของความสุขสมจากเมื่อคืน ความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดถาโถมเข้ามาในใจ เหมยรู้ดีว่าเธอไม่ควรปล่อยให้เรื่องราวเกินเลยไปถึงเพียงนี้ และเธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก"เหมยขอโทษนะค่ะคุณอาชา"เหมยคิดในใจเพราะเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในหัวของเธอและเธอก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ถ้าจะให้เธออยู่สู้หน้าอาชาตอนนี้เธอคงทำไม่ได้เมื่อแต่งตัวเสร็จ เหมยคว้ากระเป๋าของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก้าวออกจากห้องนอนใหญ่
อาชาที่กำลังไร้สติเขาได้ทำบางอย่างล่วงเกินผู้หญิงที่เขาชอบมาก ๆ เขาไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไงแต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะให้เหมยเป็นผู้หญิงที่จัดการความรู้สึกของเขาแม้ว่ามันจะไม่ถูกก็ตาม"เหมยทำไมของเธอแน่นขนาดนี้"ร่างกายเปียกปอนของทั้งสองคนภายใต้สระน้ำใสอาชาพูดเสียงกระเส่าไปหน้าแดงเถือกไปหมด"คุณอาชาเหมยขอร้อง...อย่าทำอะไรเหมยเลย"เหมยพยายามเรียกสติอาชาพยายามวิ่งหนีแต่ก็ยิ่งเหมือนเป็นการปลุกเร้าอารมณ์ซาตานดิบเถื่อนที่อยู่ภายใต้หน้ากากหรอเรา"อาขาออกหน่อยสิที่รัก..."อาชาพูดจบนิ้วที่กำลังขยี้ที่ติ่งเสียวเขาเปลี่ยนใช้สอดเข้าไปในรูสวาทภายใต้สายนั้นเย็นยะเยือกยิ่งทำให้ เหมยรู้สึกเสียวซ่านจนสมองขาวโพลนล่องลอยไปตามแรงอารมณ์"อ้าส์... ยะ อย่าค่ะ ซี๊ด .."เหมยครวญครางลมหายใจติดขัด หายใจหอบเหนื่อยไม่เป็นจังหวะ รูสวาทถูกนิ้วมือหนากระหน่ำแทงนิ้วเข้าออกไม่หยุด เข้าสุด ออกสุด"จูบ เหมย จูบ จูบผม" อาชาร้องขอให้ เหมยจูบเขาอีกครั้ง ตัวอาชาทรมานจากฤทธิ์ยาปลุกเซ็กส์ที่โดนมาจากดารินอย่างรุนแรงอาชาเหลือมืออีกข้าง กดหัวขอเหมยเข้ามาแนบประกบจูบ หยอกเย้ากับริมฝีปากเล็ก โลมเลียบังคับให้เห
เขาได้ไปพบกับดารินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเพราะดารินขอร้องและต้องการจะพบเขาเขาตัดสินใจไปพบดารินผู้หญิงที่เคยทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดีที่เขาอยากจะเห็นคือเธอจะทำหน้ายังไงเมื่อเห็นว่าเขามีทั้งเงินและอำนาจในเวลานี้"มีอะไรก็รีบพูดมาเวลาของฉันเป็นเงินเป็นทองคงไม่มีเวลามานั่งเสวนากับคนแบบเธอ"อาชาใช้คำพูดเสียดสีใส่ดารินอย่างไม่ไว้หน้า"โถ่ อาชาคะ เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้วตอนนั้นดารินยังเด็ก อาชาช่วยให้อภัยดารินไม่ได้หรอคะ"ดารินเริ่มดราม่าเล่าความเท็จตีหน้าเศร้าใส่อาชา"น้องเอาแชมเปญมาเสิร์ฟให้หน่อย"ดารินหันไปบอกบริกรข้าง ๆ บริกรถือแชมเปญมูลค่าสูงเปิดและรินให้กับอาชาและดาริน โดยที่ก่อนหน้านี้ดารินได้แอบทายาบางอย่างไว้ที่ขอบแก้ว"ทำไมล่ะคะไม่กล้ากินหรอ รังเกียจดาขนาดนั้นเลยหรอคะ"ดารินหมุนแก้วแชมเปญเบาๆแล้วกระดกทีเดียวจนหมดอาชาไม่ตอบอะไรเขากระดกแชมเปญทีเดียวหมดแก้วเช่นกัน พร้อมกับวางเงินค่าแชมเปญเอาไว้บนโต๊ะลุกขึ้นเต็มความสูงปลายตามองดารินเพียงหางตา"อาชาคุณจะไปไหนคะ ได้โปรดอยู่คุยกับดารินก่อน อาชาคะ อาชา..!"ดารินพยายามดึงรั้งอาชาเอาไว้เพราะเธอมีแผนอยากจะได้อาชากลับมาอีกครั้งเพราะผู้ชายที่เธอเคยคว