เมิ่งปิ่งเหวินทั้งร่างดั่งวิญญาณหลุดลอยแต่หัวหน้ากองร้อยนั้นหมดความอดทนแล้ววันนี้มีคนต้องจับกุมมากมาย จำต้องจัดการให้แล้วเสร็จก่อนตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้า เขาจึงไม่มีแม้แต่ใจจะผัดวันประกันพรุ่ง“นำตัวไป”เพียงสิ้นคำสั่ง องครักษ์เสื้อแพรก็กรูกันเข้ามา คว้าเอาเครื่องพันธนาการมาสวมให้เมิ่งปิ่งเหวินในทันทีเครื่องพันธนาการนี้หนักหนาสาหัส ยังจำกัดการเคลื่อนไหวของศีรษะและแขนสองข้าง คนธรรมดายังแทบทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนนางที่เคยลอยชายภรรยาเมิ่งปิ่งเหวินร่ำไห้ปานใจจะขาด “ท่านพี่ ท่านจากไปเช่นนี้ พวกเราจะอยู่กันอย่างไร?”เมิ่งปิ่งเหวินหันมองภรรยาและลูกทั้งหลาย ขบกรามแน่นพลางกล่าวว่า “ข้าก็ไม่อาจใส่ใจได้มากไปกว่านี้แล้ว หากได้รับพระเมตตาไว้ชีวิตพวกเจ้า เจ้าจงพาลูกๆ กลับบ้านเกิด เลี้ยงดูพวกเขาให้เติบโต แล้วจงสั่งสอนพวกเขาให้ดีว่าชั่วชีวิตของลูกหลานรุ่นหลัง อย่าได้สอบเป็นขุนนาง จงเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา จะดียิ่งกว่า!”กล่าวจบ เมิ่งปิ่งเหวินก็ถูกองครักษ์เสื้อแพรพาตัวไป ทิ้งไว้เพียงเสียงร่ำไห้ของภรรยาและบุตรที่ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในสายฝนกระหน่ำภายใต้สายฝนที่คลุมคลั่งไปทั่วเมืองหลวง เหตุก
หญิงวัยกลางคนมีสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยว่า “เรื่องก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ยังคิดคำนึงอยู่ไย อีกทั้งทุกวันนี้ชีวิตของพวกเราใช่ว่าจะเลวร้ายอะไร ท่านแม้ไม่มีอำนาจในมือมากนัก แต่ทุกคนก็รู้ว่าท่านมีสายสัมพันธ์ทางดองกับท่านจางอยู่บ้าง ใครต่อใครก็มักยอมให้พวกเราสักเล็กสักน้อย”“ฝ่ายบ้านเมืองยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เมื่อเดือนก่อนบ้านเกิดส่งจดหมายมาบอกว่า ผู้ว่าราชการในเมืองนั้นได้สั่งให้บูรณะสุสานบรรพบุรุษของพวกเราใหม่ทั้งแผง แค่ท่านที่เป็นขุนนางในเมืองหลวงเช่นนี้ ตระกูลทั้งตระกูลก็พลอยได้รับเกียรติยศไปด้วย”“เรื่องเหล่านี้ ล้วนเป็นผลดีมิใช่หรือ”เมิ่งปิ่งเหวินพ่นเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้ามิรู้ ในท้องถิ่น เรื่องต่างๆ แม้จะมากมาย แต่ก็ยังเป็นเพียงการงานและความสัมพันธ์ในท้องถิ่น วนเวียนไปมา ข้าก็ยังสามารถควบคุมได้ ทว่าในเมืองหลวง เพียงมีคลื่นสะเทือนเพียงเล็กน้อย สำหรับข้าแล้ว ก็อาจกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่ทำให้ร่างแหลกเป็นผุยผง”จากถ้อยคำของสามี หญิงวัยกลางคนจับได้ถึงความจนปัญญาและความหวาดหวั่น รีบเอ่ยถามว่า “หรือว่าวันนี้เกิดเรื่องผิดคาดขึ้น? ทั้งวันข้าก็ใจไม่สงบเลย เพิ่งได้เห็นท่านกลับมาก็รู้สึกสบายใจขึ้นบ
“หากเขามาจริงๆ แล้วคิดจะทำสิ่งใดกับเจ้า ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้” กงฮุยอวี่กล่าวเสียงเย็น นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “ได้ยินว่าซานเป่า... ตายแล้ว?”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ ว่า “เขาใช้พลังทั้งชีวิต เพื่อประคองลมหายใจของเสด็จพ่อเอาไว้”กงฮุยอวี่ชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยว่า “ขันทีเป็นร่างที่พิกลพิการโดยกำเนิด แม้จะฝึกวิชาบางอย่างได้ผลล้ำเลิศ ทว่าในแง่ของธาตุทั้งห้าภายในร่าง ย่อมไม่สมบูรณ์จึงมีช่องโหว่ แต่เขาก็มีพรสวรรค์สูง วิชาที่ฝึกก็เป็นระดับยอดเยี่ยม จึงพาตัวเองมาถึงขั้นนั้นได้ ทว่าก็แลกมากับการสึกกร่อนอายุขัยอย่างมาก”“เมื่อฝีมือระดับนั้นสูญสิ้น พิษเก่าที่สะสมมาย่อมปะทุขึ้นในบัดดล บวกกับพลังชีวิตที่ร่อยหรอ เขาย่อมไม่อาจรอดชีวิตได้”หลี่เฉินไม่ได้ตอบคำใดในถ้อยคำของกงฮุยอวี่ เพียงแต่จ้องมองสายฝนอันกระหน่ำอยู่นอกศาลาค่ำคืนนี้มีเรื่องมากมายเกินไป หวือหวาสูงต่ำสลับกัน ทำให้อารมณ์ของหลี่เฉินพลอยผันผวนไปตลอด จนรู้สึกราวกับค่ำคืนนี้ยาวนานเป็นพิเศษกงฮุยอวี่ยืนเงียบอยู่อีกครู่ ก่อนจะจากไปโดยไม่ส่งเสียงแม้แต่คำกล่าวลา นางก็ไม่เอ่ย ช่างไร้มารยาทยิ่งแต่ดูเหมือนว่า ‘ไร้มารยาท’ ก็คื
หากจะว่ากันตามจริง ตำแหน่ง “อาจารย์แห่งรัฐผู้พิทักษ์แผ่นดิน” ไม่ใช่ตำแหน่งขุนนาง แต่เป็นเพียงตำแหน่งเกียรติยศเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิต้าฉินกว่าสามร้อยหกสิบปี มีผู้ได้รับตำแหน่งนี้ไม่ถึงสิบคนทว่าทุกคน ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแดนเซียนแห่งพื้นพิภพในนั้นที่เลื่องชื่อที่สุด คืออาจารย์แห่งรัฐผู้พิทักษ์แผ่นดินคนแรก ตามตำนานกล่าวว่า เขาคือองครักษ์ติดตามของไท่จู่หวงตี้ ทั้งสองร่วมบุกเบิกจากศูนย์ ในชีวิตของไท่จู่หวงตี้ที่ผ่านศึกน้อยใหญ่นับหมื่นครั้ง เขาผู้นี้ไม่รู้กี่คราแล้วที่เคยช่วยชีวิตฝ่าบาทเอาไว้โดยเฉพาะศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายที่สถาปนาใต้หล้าต้าฉิน ณ ทะเลสาบพัวหยาง ครั้งนั้นไท่จู่หวงตี้ทุ่มหมดหน้าตัก ปิดล้อมกองกำลังใหญ่ของศัตรูจนหลังเปิดโอกาสให้ข้าศึกตีโอบด้านหลัง ฝ่ายศัตรูส่งยอดฝีมือระดับแดนเซียนแห่งพื้นพิภพสามคน นำทัพยอดฝีมืออีกสองร้อยหกสิบคน กับทหารกล้าหลายพันคนโอบล้อมฝ่าบาทไว้ โดยที่ไท่จู่หวงตี้มีเพียงองครักษ์ไม่กี่ร้อยคนทว่าในศึกครั้งนั้น อาจารย์แห่งรัฐผู้พิทักษ์แผ่นดินพาฝ่าบาทฟันฆ่ายอดฝีมือแดนเซียนแห่งพื้นพิภพไปหนึ่งคน ทำลายล้างอีกหนึ่ง และทำให้อีกหนึ่งบาดเจ็บสาหัส จนสาม
หลังจากสั่งเสร็จ หลี่เฉินก็กล่าวกับวั่นเจียวเจียวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจขัดขืนได้ว่า “เจ้าร่างกายอ่อนแอ อารมณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้ ยิ่งง่ายที่จะล้มป่วย”“หลังจากนี้ข้ายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก ขาดเจ้าไม่ได้ในการปรนนิบัติ ดังนั้นการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงคือหน้าที่อันดับหนึ่งของเจ้าในยามนี้ นี่คือคำสั่ง ห้ามปฏิเสธ เข้าใจหรือไม่?”ถ้อยคำมากมายที่อัดแน่นในใจของวั่นเจียวเจียวติดอยู่ที่ลำคอ เมื่อเห็นหลี่เฉินที่เปียกโชกไปทั้งตัว นางก็รู้สึกทั้งเจ็บปวดและสำนึกในพระเมตตา ความรู้สึกหลากหลายปะทุขึ้นในใจ นางพยักหน้าหนักแน่น พลางกล่าวเสียงสั่นว่า “บ่าวน้อมรับพระบัญชา”เมื่อเห็นว่าวั่นเจียวเจียวยังซึมเศร้าอยู่ ทว่าอย่างน้อยก็ตั้งสติได้บ้าง หลี่เฉินจึงค่อยวางพระทัยเวลาเช่นนี้ ต้องใช้เรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจของวั่นเจียวเจียว เพื่อไม่ให้นางจมอยู่กับความเศร้าเสียใจจากการตายของซานเป่า“พอแล้ว รีบกลับไปพักผ่อน หมอหลวงจะมาตรวจชีพจรให้เจ้าในไม่ช้า จากนั้นก็นอนหลับให้ดี พรุ่งนี้แต่เช้า มาที่หอฝึกพระราชกรณียกิจเพื่อปรนนิบัติข้า”หลังจากส่งวั่นเจียวเจียวไปแล้ว หลี่เฉินยังคงยืนอยู่ในศาลาราตรีมืดมนยิ
นิสัยของวั่นเจียวเจียว หากเขากลับมาแล้ว นางย่อมไม่มีทางไม่มารับทว่านาง... กลับไม่มาอีกทั้งภายนอกวันนี้ก็วุ่นวายราวกับสงครามแม้ตำหนักบูรพาจะมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะไม่มีเรื่องผิดพลาดใดเกิดขึ้นมีทั้งความรู้สึกที่มีต่อวั่นเจียวเจียวก่อนหน้านี้ และคำสั่งเสียของซานเป่าก่อนสิ้นใจ หลี่เฉินย่อมไม่อาจทนเห็นวั่นเจียวเจียวประสบอันตรายในช่วงเวลานี้ได้สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาว่า “บ่าวพึ่งเห็นคุณหนูวั่นอยู่ที่สวนหลังเมื่อครู่เจ้าค่ะ”“ดีมาก มีรางวัลให้”ในใจของหลี่เฉินเบาใจลงบ้าง ขอเพียงนางยังอยู่ในเขตตำหนักบูรพา ก็ไม่น่ามีปัญหาพูดจบ หลี่เฉินก็หมุนกาย มุ่งหน้าไปยังสวนหลังตำหนักทันทีในกลุ่มคน จ้าวหรุ่ยอ้าปากทำท่าจะร้องเรียกหลี่เฉิน แต่สุดท้ายกลับกลืนคำพูดลงไปเสีย“พระสนม ขอพวกเรากลับกันก่อนเถิด หมอหลวงว่า ท่านกระทบกระเทือนที่ศีรษะ ต้องพักผ่อนอีกหลายวันเจ้าค่ะ” นางกำนัลคนสนิทไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าหมองของจ้าวหรุ่ย จึงกล่าวขึ้นจ้าวหรุ่ยถอนหายใจเบาๆ แล้วพยักหน้า “ไปเถิด กลับตำหนักกัน”สวนหลังตำหนักบูรพา ภายในศาลาสายฝนและลมโหมกระหน่ำจา
ราชสำนักต้าฉินเคร่งครัดในระเบียบพิธี โดยเฉพาะเสียงถวายพระพร มีข้อกำหนดแน่ชัดจักรพรรดิต้องใช้คำว่า ‘หมื่นปี’ไทเฮา ฮองเฮา องค์รัชทายาท พระชายาองค์รัชทายาท และอ๋องทั้งหลาย จึงจะสามารถได้รับคำถวายพระพรว่า ‘พันปี’สำหรับผู้อื่นหรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่ำกว่านั้น ล้วนไม่มีสิทธิ์ได้รับการถวายพระพรเช่นนี้ขณะที่เสียงถวายพระพร ‘พันปี’ ดังขึ้นข้างหู ซูจิ่นพ่าก็รู้สึกพร่ามัวอยู่ชั่วขณะนับแต่นี้ไป นางจะกลายเป็นสตรีผู้เป็นใหญ่ในตำหนักแห่งนี้การย้ายออกจากที่นี่ในครั้งถัดไป เกรงว่า... คงเป็นยามที่สามีของนางเสด็จขึ้นครองราชย์ และย้ายจากตำหนักบูรพาเข้าสู่พระราชวังหลวงแม้จะเตือนใจตนเองมานับครั้งไม่ถ้วนให้ยอมรับทุกสิ่ง แต่ในเวลานี้ ซูจิ่นพ่าก็ยังรู้สึกสับสนอยู่บ้างนางไม่แน่ใจว่าตนเองพร้อมหรือไม่ นางเพียงรู้สึกเลือนลาง ไม่รู้ว่าหนทางในวันหน้านั้นอยู่ที่ใด“ไปเถิด”หลี่เฉินเอื้อมมือมาจับมือนางไว้ ขัดจังหวะความคิดฟุ้งซ่านของนางทั้งสองเดินเคียงบ่า ผ่านระหว่างช่องทางที่ผู้คนคุกเข่าเปิดทางให้ ตรงเข้าสู่ชายคาหน้าหอฝึกพระราชกรณียกิจ หลี่เฉินหันหน้าไปทางซูจิ่นพ่าแล้วพูดว่า “จากนี้ไป เจ้าเป็นสตรีผู้
เฉินทงเพียงแค่ไม่ได้ฉลาดเฉียบแหลมนัก หาใช่คนโง่ไม่หากเป็นคนโง่โดยแท้ ก็คงไม่มีทางได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร และไต่ขึ้นเป็นบุคคลลำดับที่สองของหน่วยบูรพาได้ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้เขานับได้ว่าเป็นบุคคลลำดับหนึ่งของหน่วยบูรพาแล้วด้วยซ้ำเพราะฉะนั้น หลังจากคิดครู่หนึ่ง เฉินทงก็เข้าใจได้ทันทีว่าคำถามเมื่อครู่นั้น ทำให้องค์รัชทายาททรงไม่พอพระทัยเรื่องนี้ทำให้เฉินทงรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก และยิ่งรู้สึกขอบคุณที่ซูเจิ้นถิงยื่นมือช่วยไว้ในยามคับขันซูเจิ้นถิงโบกมือพลางกล่าวว่า “เพียงแค่ยกมือเท่านั้น อย่าได้ถือเป็นเรื่องใหญ่เลย”“เพียงแต่ผู้บัญชาการเฉินพึงเข้าใจ การทำงานใต้เบื้องพระบัญชาขององค์ชาย จำต้องรู้จักหยั่งพระทัยอยู่เสมอ เข้าใจความหมายในทุกถ้อยคำขององค์ชาย จึงจะสามารถถวายงานได้อย่างเหมาะสม”เฉินทงพยักหน้ารับ “กระหม่อมเข้าใจแล้ว ขอขอบพระคุณแม่ทัพซูที่ชี้แนะพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงเห็นเฉินทงทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด จึงกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเฉินยังมีเรื่องใดหรือไม่?”เฉินทงยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมมีความคิดอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรกล่าวหรือไม่…”โดยทั่วไป หากเอ่ยถึ
“ในฐานะที่เป็นแม่ทัพภาคแห่งสำนักบัญชาการทหารสูงสุด แม่นยำแล้วว่าแม่ทัพซูเจ้าคือแม่ทัพใหญ่ของกองทัพทั่วทั้งใต้หล้า แล้วเหตุใดอำนาจของสำนักบัญชาการทหารสูงสุดจึงตกต่ำถึงเพียงนี้ เรื่องนี้แม่ทัพซูควรกลับไปใคร่ครวญให้ดี”อำนาจของสำนักบัญชาการทหารสูงสุดนั้น... ใหญ่โตนักตำแหน่งนี้เปรียบเสมือนหน่วยบัญชาการสูงสุดทางทหารของทั้งอาณาจักรทว่าก็เพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่นั้นเอง ทำให้ตลอดหลายรัชสมัยก่อนหน้า ถูกบรรพกษัตริย์ทั้งหลายคอยควบคุมและจำกัดไว้จึงทำให้กรมยุทธนาการค่อยๆ มีอำนาจเพิ่มขึ้น อีกทั้งผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมยุทธนาการส่วนใหญ่ ล้วนไม่มีพื้นเพจากสายทหาร เรื่องนี้ได้กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในราชสำนักต้าฉินมายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษเรื่องทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วเป็นผลจากพระราชอำนาจที่ต้องการถ่วงดุลกับอำนาจของขุนนางในยามแผ่นดินสงบสุข การปล่อยให้หน่วยบัญชาการทางทหารตกอยู่ภายใต้อำนาจของทหารกลุ่มเดียว ย่อมทำให้จักรพรรดิพระองค์ใดก็ไม่อาจบรรทมให้เป็นสุขได้และก็เพราะเหตุนี้เอง อำนาจของสำนักบัญชาการทหารสูงสุดจึงค่อยๆ สูญสิ้นจนเหลือเพียงในนาม ข้อกำหนดต่างๆ ที่ควบคุมกองทัพจึงกลายเป็นเพียงตัวหนังส