มีประสบการณ์ล้ำหน้ากว่าพันปีในภายหน้า อีกทั้งยังมีวิสัยทัศน์ในด้านการสร้างกองทัพยุคใหม่ หลี่เฉินจึงเชี่ยวชาญในเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างของราชสำนักและกองทัพเป็นอย่างยิ่งแผนผังการวางยุทธศาสตร์ทั้งหมดล้วนบรรจุอยู่ในสมองของเขาแท้จริงแล้วในสายตาของหลี่เฉิน สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือการนำบทบาทงานการเมืองของกองทัพยุคใหม่เข้ามาใช้ในกองทัพ ทว่าไม่สอดคล้องกับสภาพบ้านเมือง ไม่เข้ากับระดับอารยธรรมของสังคม และไม่สอดรับกับระบบการปกครองของแผ่นดิน หลี่เฉินจึงทำได้เพียงละวางความคิดนี้แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังรวบอำนาจทหารจากจวนผู้บัญชาการทั้งห้ากับกรมยุทธนาการเดิมมารวมเป็นหนึ่ง แล้วแบ่งแยกออกเป็นสามส่วนความสัมพันธ์สามเส้า เป็นโครงสร้างที่มั่นคงที่สุดเสมอทั้งสามฝ่ายต่างถ่วงดุล ตรวจสอบกันและกัน โดยที่หลี่เฉินไม่จำเป็นต้องลงมือทำสิ่งใดมากมาย สามกรมนี้ก็จะเกิดการแข่งขันกันเองโดยธรรมชาติการแข่งขันเชิงสร้างสรรค์เช่นนี้ นั่นแหละคือสิ่งที่หลี่เฉินต้องการบรรลุเขาเพียงต้องดูแลแกนกลางผู้นำของทั้งสามกรมให้ดี ก็สามารถควบคุมกองทัพทั่วทั้งแผ่นดินได้โดยอ้อมซูเจิ้นถิงเดิมทีเข้าใจว่า การปฏิรูปของหลี่เฉินคงเปลี
หากเรื่องนี้เกิดกับใครก็ตาม เมื่อได้ยินว่าข้างบนคิดจะยุบหน่วยงานที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ ย่อมต้องตกใจในบัดดลแต่ซูเจิ้นถิงกลับเพียงแค่ตะลึงไปเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อันที่จริง สำนักบัญชาการทหารสูงสุดก็มิได้มีความจำเป็นต้องดำรงอยู่อีกต่อไป”การที่หลี่เฉินจะยุบสำนักบัญชาการทหารสูงสุด หาใช่เรื่องพร่ำเพ้อไร้เหตุผลและเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้จะมิใช่สาเหตุหลัก ก็ยังถือว่ามีอิทธิพลอยู่บ้าง ทำให้หลี่เฉินเร่งแผนการออกมาเร็วขึ้นสำนักบัญชาการทหารสูงสุดก็จำเป็นต้องยุบ ไม่เช่นนั้น หน่วยงานนี้จะกระทบต่อการควบคุมกองทัพของตำหนักบูรพาในอนาคตโดยตรง“สำนักบัญชาการทหารสูงสุด เดิมคือกองบัญชาการแม่ทัพใหญ่ที่ก่อตั้งโดยปฐมจักรพรรดิเมื่อครั้งสร้างแคว้น ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักกิจการลับ และสุดท้ายกลายเป็นสำนักจอมทัพห้ากองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน”หลี่เฉินกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “แรกเริ่ม สถานะของหน่วยงานนี้คือช่วยปฐมจักรพรรดิในการควบคุมกองทัพทั่วหล้า นับเป็นระบบบัญชาการสูงสุดของกองทัพต้าฉิน เพราะเมื่อตอนสร้างแคว้นใหม่ๆ ทุกด้านต่างก็อยู่ในภาวะขาดแคลน ซากเดนของราชวงศ์ก่อนหน้า โจรภูเขา และขุนศึกท้องถิ่นต่างยังไม
ซูเจิ้นถิงขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำนี้“พวกเขาล้วนเป็นขุนนางใต้บัญชาของกระหม่อมาหลายปี แม้กระทั่งบางคน ยังเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบิดาของกระหม่อมในสนามรบ…”หลี่เฉินถอนหายใจยาวเขารู้ดีว่าแม้ซูเจิ้นถิงจะเจนสนามเพียงใด ท้ายที่สุดก็ยังพลาดในเรื่องที่ขุนนางทหารระดับสูงแทบทุกคนมักพลาดเชื่อใจพี่น้องร่วมรบมากเกินไปในสนามรบ เจ้าย่อมวางใจพี่น้องร่วมรบได้อย่างหมดใจแต่ในเวทีการเมือง ย่อมไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความไว้ใจโดยสิ้นเชิง“แม่ทัพซู เช่นเดียวกับเจ้า ข้าเชื่อในความสัตย์และความเที่ยงตรงของเจ้า ว่าเจ้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้ และเจ้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำ ซูผิงเป่ยย่อมรับตำแหน่งต่อจากเจ้า ส่วนผ้าไหมลายงามก็เป็นพระชายาแล้ว อนาคตตระกูลซูย่อมรุ่งโรจน์ทั่วทั้งตระกูล ไยยังต้องมีพรรคพวกหรือผลประโยชน์ส่วนตัว? ข้าเองก็คือพรรคพวกและผลประโยชน์ของเจ้า”“แต่แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าล่ะ?”“หากผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าวางใจได้ แต่พวกเขาก็มีคนใกล้ชิด มีคนรุ่นหลังที่ต้องดูแล แล้วคนเหล่านั้นเล่า แม่ทัพซู เจ้าจะรับประกันได้อย่างไร? มีสิ่งใดมารับประกัน?”คำถามติดกันเป็นชุดของหลี่เฉินทำให้
ซูเจิ้นถิงเป็นคนเช่นไรหรือเป็นผู้มีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่าจ้าวเสวียนจีแม้แต่น้อยพอได้ยินเพียงเสียงสายพิณก็บรรลุความหมาย เขาจึงเข้าใจความคิดของหลี่เฉินในทันทีซูเจิ้นถิงฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขุนนางเบื้องล่างส่งมา ก็แค่ของธรรมดาสามัญ หากปฏิเสธตรงๆ กลับจะทำให้พวกเขาเกิดความคิดฟุ้งซ่าน”“ส่งปลาสองสามตัวแน่นอนว่านับว่าไม่ใช่เรื่องอะไร แม้กระทั่งส่งทองคำอัญมณี ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดแล้ว วังหลวงก็คือวังหลวง ยังไงเสียก็ต้องมีเรื่องของมนุษยสัมพันธ์อยู่บ้าง”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ ว่า “แต่ว่าหากมีผู้ส่งของมา ก็ย่อมต้องมีจุดประสงค์แน่นอน แม่ทัพซู เจ้าย่อมรู้ดี ข้ายึดถือหลักว่า น้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา แต่ในสระน้ำนี้ มีปลาชนิดใด นิสัยอย่างไร ข้ากลับต้องรู้ให้ชัด”พอสิ้นประโยค หลี่เฉินก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างกะทันหัน เอ่ยถึงเรื่องที่ดูไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย“เรื่องปืนใหญ่แดงเมื่อคราก่อน แม่ทัพซูจัดการได้เป็นเช่นไรบ้าง?”ซูเจิ้นถิงตอบในทันทีว่า “สืบสวนใกล้เสร็จสิ้นแล้ว ขุนนางผู้เกี่ยวข้องในคดีนี้ ตั้งแต่หัวหน้ากองร้อยขึ้นไปมีทั้งหมดยี่สิบหกคน เกี่ยวพันถึงกรมยุทธนาการ สำนักจอมทัพห้ากอง และกร
ภายในขบวนเสด็จ ซูจิ่นพ่าเต็มไปด้วยความยินดีนางเคยคิดว่า คงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าหลี่เฉินจะเอาใจใส่นางถึงเพียงนี้…สายตาที่ซูจิ่นพ่าใช้มองหลี่เฉิน จึงอบอุ่นนุ่มนวลขึ้นกว่าก่อนนักหลี่เฉินทำหน้าหนารับน้ำใจผิดๆ ของซูจิ่นพ่าเอาไว้โดยไม่ปฏิเสธถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่เฉินทงรายงานในวันนี้ เขาก็คงไม่ได้นึกถึงเรื่องพาซูจิ่นพ่ากลับบ้านเลยจริงๆ“เจ้ามีธุระราชการจะคุยกับท่านพ่อใช่หรือไม่” ซูจิ่นพ่าถามขึ้นอย่างกะทันหันสีหน้าหลี่เฉินถึงกับแข็งทื่อไปเล็กน้อยหาภรรยาทั้งที อย่าเลือกคนฉลาดเกินไปเลย ความลับเก็บไว้ไม่ได้แม้แต่น้อย“ไม่ใช่สักหน่อย”องค์รัชทายาทผู้หนึ่ง ปลดปล่อยพรสวรรค์เฉพาะตัวของผู้ชายทันที... ขณะพูดโกหกหน้าตาเฉย ไม่กะพริบ ตาสักนิดที่จริง ซูจิ่นพ่าก็แค่ถามเล่นๆ ทว่าพอเห็นท่าทีของหลี่เฉินกลับรู้สึกคลางแคลงใจขึ้นมาอย่างประหลาด“หากเจ้ามีเรื่องจะพบพ่อข้า เรียกท่านพ่อเข้าไปในตำหนักบูรพาเสียก็ได้มิใช่หรือ”หลี่เฉินยิ้มแหย “ก็ใช่น่ะสิ”คำอธิบายนั้นดูจะไร้ช่องโหว่ แต่ซูจิ่นพ่ากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลกแม้ไม่มีหลักฐาน แต่นางก็เหมือนจะเข้าใจสัจธรรมข้อหนึ
พูดมาขนาดนี้แล้ว เฉินทงก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกเขากัดฟันแน่น กลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท ภายในกองทัพ ต้องไม่มีจ้าวเสวียนจีคนที่สองเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”ประโยคนั้น ทำให้สีหน้าของหลี่เฉินพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหลี่เฉินไม่ได้ตวาด ไม่ได้ดุด่าเฉินทงเพียงใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “หลักฐานแน่ชัดหรือไม่”หัวใจเฉินทงเต้นรัว ฝ่ามือมีเหงื่อซึม รีบตอบว่า “แน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่กวางกงยังอยู่ ก็ไม่เคยหย่อนการตรวจสอบคนในกองทัพที่มีปัญหาเลย แม่ทัพที่อยู่ในเมืองหลวง พวกกระหม่อมมีแฟ้มข้อมูลที่จดบันทึกลักษณะนิสัย จุดยืน และภูมิหลังไว้แล้ว เมื่อนำมาเทียบกับการโยกย้ายครั้งใหญ่นี้ จะเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”หลังคำตอบของเฉินทง หลี่เฉินเงียบไปนานกว่าเดิมหลี่เฉินเชื่อใจซูเจิ้นถิงอีกฝ่ายไม่มีเหตุผลใดจะเปลี่ยนข้างหากตำหนักบูรพาพินาศ คนที่ตายเป็นคนแรกคือเขาเอง และคนที่ตายเป็นคนถัดไปก็คือซูเจิ้นถิงพวกเขาผูกชะตากรรมไว้บนเส้นเชือกเส้นเดียวกันมานานแล้ว ด้วยสติปัญญาทางการเมืองอันเฉียบแหลมของซูเจิ้นถิง เขาไม่มีทางไม่รู้เรื่องนี้ยิ่งไปกว่านั้