ในห้องนอนที่มืดมิดปราศจากแม้แต่แสงสลัวจากหลอดไฟ หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาอย่างหมดเรี่ยวแรง เสื้อผ้าบนร่างหล่อนยับย่นจากวันที่แสนหนักอึ้ง เธอแทบไม่มีแรงแม้แต่จะถอดรองเท้า เดินผ่านความเงียบงันไปทรุดตัวลงข้างเตียงอย่างช้า ๆ ร่างบางยกเข่าขึ้นกอดแน่น ราวกับจะปกป้องหัวใจตัวเองไม่ให้แตกสลาย
ห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ค่อยๆดังขึ้นตามแรงอารมณ์ คำถามมากมายถาโถมในหัวเธอไม่ต่างอะไรกับคลื่นที่ซัดซ้ำเข้าฝั่งอย่างไม่หยุดหย่อน“ควรเชื่อใจใคร?” “ควรเลือกใคร?” “ผิดไหมที่รู้สึกแบบนี้?” ริมฝีปากล่างถูกกัดแน่นจนเลือดซึมเล็กน้อย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ็บกายหรือเจ็บใจมากกว่ากัน น้ำตาไหลพรากเป็นสายลงบนพวงแก้มที่ซีดเซียว เสียงร้องไห้ดังสะท้อนกับความเงียบของห้อง บาดลึกจนแทบหายใจไม่ออก “ฮึก…พี่ไม่คิดจะบอกหนูเลยรึไง…ฮือ…” น้ำเสียงแหบพร่าผ่านลำคอที่สั่นสะท้านเพราะความรู้สึกหนักหน่วง ราวกับคำพูดสั้นๆนั้นเป็นดาบที่แทงย้อนกลับเข้าหัวใจของตัวเอง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งรุ่งเช้า วันสอบวันสุดท้ายก็มาถึง… ในห้องสอบ นักศึกษาคนอื่นต่างตั้งใจขีดเขียนอย่างเคร่งเครียด แต่เธอกลับนั่งเหม่อลอย ดวงตาคู่งามเหม่อมองกระดาษข้อสอบตรงหน้าโดยไร้ความหมาย สมาธิหลุดลอยไปไกล คำถามบนกระดาษเหมือนกลายเป็นเพียงเส้นหมึกไร้สาระ “วันนี้…มันควรเป็นวันที่โล่งใจ” เธอคิด “แต่ทำไมรู้สึกเหมือนใจยังถูกกักขังอยู่ในความเจ็บปวดเดิม ๆ…” หลังจากการสอบสิ้นสุดลง หญิงสาวเดินออกมาจากอาคารอย่างเหนื่อยล้า พอจะเปิดประตูรถ เสียงตะโกนจากด้านหลังก็ดังขึ้น “เจส!!!” คนถูกเรียกชะงัก หันกลับไปตามเสียงเรียกนั้น แล้วภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งตรงเข้ามา ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่แต่เป็นแฟนหนุ่มเธอเอง เสื้อนักศึกษาของเขายุ่งเหยิง ลมหายใจหอบแรง แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความคาดหวังและโหยหา “ที่รัก พี่ขอกลับด้วยสิค้าบ” เขายิ้มให้เธอ รอยยิ้มแบบเดิม รอยยิ้มที่เคยทำให้เธอใจอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตอนนี้…มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หัวใจของเธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้า ยังไม่พร้อมจะฟังเหตุผล หรือแม้แต่จะเชื่อคำพูดใดๆจากเขา เจสสิก้าหันหน้าหนี พยายามจะเดินหนีขึ้นรถ แต่เสียงของเขาก็ยังไม่หยุด “พี่ก็มีรถ ทำไมไม่กลับเองล่ะคะ” น้ำเสียงของเธอฟังดูแข็ง แต่ในใจกลับสั่นคลอน “เจส..หนูเป็นอะไร เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายอาทิตย์ พี่ดูออก หนูหลบหน้าพี่…หมดรักแล้วหรอ?” เขาถามออกมาเสียงสั่นก่อนจะปล่อยโฮ ดวงตาที่เคยมั่นใจกลับเต็มไปด้วยน้ำใสๆ เขาซบหน้าลงบนไหล่ของเธออย่างหมดแรง เธอไม่ได้ผลักไส แต่ก็ไม่ได้ตอบรับ ร่างกายแข็งทื่อ แต่หัวใจปั่นป่วน “เจสอย่าเงียบสิ..ฮึก..มีอะไรก็พูดออกมา อย่าหลบกันแบบนี้…” “ห..หนูขอโทษ..ฮึก..” “ไม่ ที่รัก อย่าพูดขอโทษในสิ่งที่หนูไม่ได้ผิด…” เขาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเธออย่างแผ่วเบา นั่นยิ่งทำให้เธอสับสนผู้ชายคนนี้รักเธอขนาดนี้ แล้วทำไมเธอถึงยังไม่มั่นใจ? ทำไมใจเธอยังจมอยู่กับอดีต? “ฮึก…” สุดท้าย เธอพุ่งเข้ากอดเขาแน่น ความคิด ความสงสัย ทุกอย่างหยุดลงเพียงครู่ เธอแค่อยากซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่โหยหามานาน มือใหญ่ของเขากอดตอบในทันที “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือหนูได้ยินอะไรมา…พี่รักหนูที่สุดนะ” “ฮึก…ค่ะ…” … ค่ำคืนหนึ่งในร้านเหล้าใจกลางเมือง แสงไฟหลากสีสาดเข้าหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่เพียงลำพัง ดวงตาแดงช้ำ มือเรียวหยิบแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เธอไม่แม้แต่จะใส่ใจกับคนรอบข้าง “บัว… ทำไมดื่มหนักขนาดนี้” เสียงคุ้นเคยทำให้เธอเหลือบมอง “พี่ไม่ต้องมายุ่ง!” “พูดกับพี่ดีๆหน่อยได้ไหม?” “แล้วทำไมฉันต้องทำ?” เขาถอนหายใจ เดินเข้ามานั่งตรงข้าม แล้วคว้าแก้วเหล้าไปจากมือเธอ “เหล้าน่ะ พอได้แล้ว…” แต่เธอกลับไม่สนใจ หันไปสั่งเพิ่มด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “เอาอีกแก้วค่ะ เอาที่แรงที่สุด!” เขาคว้าแก้วที่พนักงานเพิ่งวางลง แล้วกระดกมันหมดทันที “พี่เป็นใครมาสั่งฉัน! บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง!” “แต่พี่จะยุ่ง!” “แก้วนั่นมันของฉันนะ!” ทั้งสองผลัดกันดื่ม แข่งกันประชด แข่งกันทำร้ายตัวเอง จนร่างกายเริ่มเมาเละกันทั้งคู่ “บัวคนเดิมไปไหนแล้ว…” เซนเซถามเสียงเบา แววตาเศร้าหมองอย่างเห็นได้ชัด “ไม่เคยมีบัวคนนั้นอยู่จริงหรอก…ความตอแหลของฉันใช้ได้กับทุกคน แต่ทำไมมันใช้ไม่ได้กับเขา…” น้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือกลายเป็นเสียงสะอื้น “ใครจะอยากร้าย…ถ้าไม่เจ็บก่อน…” “แต่บัวไม่จำเป็นต้องร้ายเพื่อคนที่ไม่เห็นค่าหรอก…มองดูสิ พี่ยังอยู่ตรงนี้ ยังรักบัวอยู่ตรงนี้…” “แต่บัวไม่ต้องการมัน!!” เธอลุกขึ้นเดินออกไปทันที ทิ้งเขาไว้กับคำพูดที่ยังค้างคาในลำคอ… ความรักของเขามันคงไร้ค่ามากเลยสินะ เซนเซยกแก้วในมือขึ้นกระดกรวดเร็วก่อนจะวางมันลงจนเกิดเสียง ปัก! พรางกับแววตาที่แฝงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสหรัฐอเมริกา “ข่าวเด็ดสดๆใหม่ๆค่ะคุณผู้ชม! ประธานแห่ง K กรุ๊ป ผู้ที่เพิ่งก้าวขึ้นรับตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปี กลับสามารถสร้างอิทธิพลในแวดวงธุรกิจได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ประเด็นร้อนที่เราจะมาพูดถึงในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องอิทธิพลของคุณปอร์เช่นะคะ แต่เป็นเรื่องของหัวใจค่ะ! ใช่แล้วค่ะ ภาพหลุดของคุณปอร์เช่กับซูเปอร์สตาร์ชื่อดังหน้าใหม่อย่างคุณกอบัว กำลังเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล! หลายคนกำลังลุ้นกันว่า หรือทั้งคู่จะแอบคบหากันอยู่จริงๆ!?” หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งฟังข่าวจากอีกซีกโลกผ่านไอแพดในมือ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แววตาทั้งคมและเย็นชาราวกับรู้อะไรมากกว่าที่ใครคิด “หึ…คบกันงั้นเหรอ…น่าสนใจดีนี่” “คุณหนูเล็กคะ คุณท่านให้มาตามให้ไปรับประทานของว่างค่ะ” เสียงของสาวใช้ดังขึ้นจากหน้าห้อง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยก่อนตะโกนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เดี๋ยวเจสลงไปค่ะ” ⸻ ด้านล่างคฤหาสน์ “มาเร็วสิหลานรัก ย่าทำของโปรดไว้ให้เพียบเลยนะจ๊ะ” มาเดลิน ผู้เป็นย่าเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม ขณะหญิงสาวเดินเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร เจสสิก้ารีบเดินตรงไปยังโต๊ะที่เต็มไปด้วยของว่างหน้าตาน่ารับ
ประเทศสหรัฐอเมริกา เสียงเบรกของรถหรูดังขึ้นเบาๆ หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ เอี๊ยด~ รถยนต์คันงามจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าคฤหาสน์สุดหรู ก่อนที่ประตูหน้าจะเปิดออกพร้อมร่างสูงในชุดสูทดำของบอดี้การ์ดคนสนิท เขาก้าวเท้าไปยังประตูหลังด้วยท่วงท่าสง่างามและมั่นคง ก่อนจะเปิดมันออกอย่างสุภาพเพื่อรับหญิงสาวคนสำคัญ ขาเรียวยาวของหญิงสาวเหยียบลงจากรถทีละข้างอย่างเรียบหรูร่างของเธอปรากฏพร้อมกับเสื้อผ้าสุดหรูดูมีระดับ และทันทีที่คนตัวเล็กก้าวลงมาเต็มตัว ชายชุดดำก็ก้มศีรษะทำความเคารพด้วยความนอบน้อม “หลานรักของย่า~~~” เสียงหญิงชราเอ่ยขึ้นอย่างเปี่ยมสุข รอยยิ้มอบอุ่นของท่านปรากฏอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์ ผู้เป็นย่ายืนกางแขนออกพร้อมต้อนรับหลานสาวที่ตนรักสุดหัวใจ “คุณย่า!!” หญิงสาวร้องเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ร่างเล็กรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดร่างอันอบอุ่นของย่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน ทั้งสองสวมกอดกันแน่นราวกับโลกนี้มีกันแค่สองคน “คิดถึงที่สุดเลยหลานรักของย่า” “หนูก็คิดถึงคุณย่ามากกกกเลยค่ะ” เสียงใสๆ ที่แฝงด้วยความน่ารักของหญิงสาวทำเอาผู้สูงวัยยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความรักและความคิดถึง ทั้งสองเดินเคี
“ทำไมไม่ยิ้มหน่อยวะไอ้ปอร์เช่” “นั่นดิ กูเห็นมึงเหม่อตั้งนานละ” เสียงเพื่อนสองคนดังขึ้นติดกัน คล้ายจะดึงสติชายหนุ่มให้กลับมาจากภวังค์ แต่ปอร์เช่ก็ยังคงนั่งเงียบ สีหน้าเรียบนิ่งจนเกือบจะดูเย็นชา ดวงตาเขาไม่หยุดเหลือบมองไปทั่วบริเวณคล้ายกำลังตามหาใครบางคน ทว่า…ไม่ว่าจะมองเท่าไรก็ไม่เห็นเธอคนนั้นเลย “…..” ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำอธิบาย มีแค่ความเงียบที่แผ่ซ่านไปทั่วโต๊ะ จนเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยเริ่มรู้สึกอึดอัดแทน “อ่อ กูรู้ละ…” “เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก มึงจะคิดมากทำไม น้องเจสเขาอาจจะติดธุระอยู่ก็ได้” เซนเซพูดพลางตบบ่าเบา ๆ เหมือนจะปลอบใจ แต่ปอร์เช่กลับไม่แม้แต่จะหันมามอง ริมฝีปากเม้มแน่นเล็กน้อยเหมือนกำลังพยายามสะกดกลั้นบางอย่างไว้ ทันใดนั้น เขาก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ คว้าโทรศัพท์ในมือแน่น ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร “เอ้า! มึงจะไปไหนวะ!” เสียงเพื่อนร้องตามหลัง แต่ชายหนุ่มไม่ได้หยุดเดิน เขากดโทรศัพท์หาหมายเลขเดิมอีกครั้ง รอสาย แต่ก็เหมือนเดิม หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้… มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มสั่นเล็กน้อย เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เสียงบรรยากาศงานด้านหลังก็ดูจะค่อยๆ เ
ซ่า… ซ่า… ซ่า… เสียงเนื้อที่กำลังถูกผัดอยู่ในกระทะดังต่อเนื่องในห้องครัวของคอนโดสุดหรู หญิงสาวร่างบางกำลังยืนเตรียมอาหารเช้าด้วยท่าทีคล่องแคล่ว ขณะที่แสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านโปร่งบางเข้ามาอาบตัวเธอเบาๆ ฟุ่บ… แขนแกร่งวงใหญ่เข้ามารัดรอบเอวเธอจากด้านหลัง พร้อมกับใบหน้าคมที่ซุกลงมาตรงซอกคอขาวอย่างออดอ้อน “หอมจัง ที่รักทำอะไรครับ” เสียงทุ้มแหบเอ่ยถามพลางสูดกลิ่นหอมจากผิวเนียนตรงลำคอ “ที่รัก หนูทำอาหารอยู่นะคะ อย่าเพิ่งกวนสิ” “ก็พี่คิดถึงนี่นา” เขาไม่ฟังเลยสักนิด มือยังคงกอดแน่นราวกับไม่อยากให้เธอขยับไปไหน ร่างสูงเอาแต่แนบชิดจนหญิงสาวต้องถอนหายใจนิดๆ อย่างเอ็นดู “อีกไม่กี่วันก็วันรับปริญญาแล้ว พี่อยากได้อะไรคะ?” “พี่อยากได้หนู” “หนูบ้านหรือหนูนาคะ?” “ที่รักอ่ะ!” หญิงสาวหลุดหัวเราะออกมากับสีหน้าและน้ำเสียงแบบเด็กน้อยสามขวบของเขา ใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมกลายเป็นออดอ้อนราวกับแมวที่อ้อนเจ้าของ เพราะรู้ว่าเขาจะไม่มีวันหยุดกวนหากยังยืนอยู่แบบนี้ ร่างเล็กจึงยื่นมือไปปิดเตาแก๊ส และหันกลับมาเผชิญหน้า— !!! แต่ไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงก็พุ่งเข้าประกบริมฝีปากนุ่มอย่างรวดเร็ว พร
“อย่าคิดว่ากูต่อยยัยนั่นเพราะมันว่ามึงล่ะ กูทำเพราะหมั่นไส้มันเฉยๆ” “กูก็ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนี่ มึงจะรีบแก้ตัวทำไม” ได้ยินแบบนั้น กอบัวเงียบลงทันที ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นมาแล้วเดินออกจากตรงนั้น ปล่อยให้เจสยืนอยู่ลำพังโดยไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม ไม่นาน เจสสิก้าก็เดินออกจากคาเฟ่โดยไม่มองกลับหลัง เธอเดินเรื่อยๆ ไปตามทางเท้าที่ทอดยาวราวกับปล่อยให้มันพาไปตามความรู้สึก หัวใจที่ปั่นป่วนทำให้เธอต้องการความเป็นส่วนตัว แต่ความสงบในความโดดเดี่ยวนั้นก็จบลง เมื่อจู่ๆก็มีใครบางคนเดินเข้ามาทักเธออย่างไม่คาดฝัน “มีเรื่องไม่สบายใจอยู่หรอครับ” เสียงนั้น…เสียงที่คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก ใครกัน? เธอหันกลับไปมองต้นเสียง และพบกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดแต่งกายสไตล์ผู้ชายจีนทันสมัย แต่ใบหน้าของเขากลับมองไม่เห็นชัดเจน เพราะหมวกสีดำกับแมสสีขาวที่บดบังใบหน้าทั้งหมด เขาเดินเข้ามาเคียงข้างเธออย่างใจเย็น หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถาม “นายเป็นใคร?” “พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับ รู้แค่ว่า…ตอนที่เราเจอกันครั้งล่าสุด พี่ก็อยู่ในสภาพแบบนี้…แต่เพิ่มเติมคือกลิ่นควันบุหรี่” “อ้อ…นายคือเด็กคนนั
“พี่ยอมรับว่าพี่เคยชอบกอบัวจริงๆ แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว… ตอนนั้นพี่ยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าความรักมันคืออะไร แต่ตั้งแต่ที่พี่ได้เจอเจส…พี่พูดได้เลยว่า นอกจากแม่แล้ว พี่ไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนมากขนาดนี้เลย”เสียงของปอร์เช่เอ่ยขึ้นช้าๆ แววตาเขาสงบนิ่งขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือหัว ดวงดาวนับพันดวงลอยอยู่กลางความมืด เสียงลมหอบเบาๆ พัดผ่านเส้นผมของคนทั้งคู่ที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าสูง ทำให้บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบสงบและอบอุ่นเจสนั่งอยู่ข้างๆ มองเขาเงียบๆ ดวงตาของเธอสะท้อนแสงดาว และบางอย่างในใจเธอก็เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มบางๆ ออกมาอย่างอ่อนโยน…ยิ้มที่แฝงด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโล่งใจ ทั้งเศร้า ทั้งอบอุ่นและเสียใจไปพร้อมๆกัน หากย้อนเวลากลับไปได้ เธอคงไม่หนี ไม่หลบหน้าปอร์เช่อย่างที่เคยทำ เธอควรจะฟังเขาตั้งแต่แรก“ทีนี้หนูเข้าใจแล้วใช่มั้ย?” เขาหันมาถามเสียงนุ่ม“เข้าใจแล้ว~” เจสตอบกลับด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ดวงตาเธอมองเขาอย่างแน่นิ่ง เหมือนคนที่เพิ่งยอมรับความจริงบางอย่างได้อย่างเต็มหัวใจ“เจส…” เขาเรียกชื่อเธออีกครั้ง คราวนี้สายตาเขาจริงจังขึ้น เหมือนกำลังจะพูดอะไรที่สำคัญแต่ก่อนที่เข