เข้าสู่ระบบค่ำคืนในบ้านเล็ก ๆ เงียบสงบ หลังจากบรรยากาศการแข่งขันที่จบลง—เสียงช้อนกระทบจานดังแผ่วเบาในครัว ก่อนจะเงียบสนิทลงหลังจานสุดท้ายถูกล้างเก็บเข้าที่
เมษาเดินกลับเข้าห้อง พร้อมกล่องปฐมพยาบาลสีขาวที่แน่นไปด้วยอุปกรณ์ครบชุด
กล่องนี้...เธอเตรียมไว้ตั้งแต่วันที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่...ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้จริงแบบนี้
ก๊อก ก๊อก
“พี่คีตะ หนูเข้าไปนะคะ”
เธอเคาะเบา ๆ ก่อนเปิดประตูห้องเข้าไป
คีตะที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ นั่งอยู่ปลายเตียงในเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงวอร์ม ผมเปียกหมาด ๆ ยังไม่ทันเช็ดแห้งดี กลิ่นสบู่อ่อน ๆ ลอยฟุ้งในอากาศ
“ถืออะไรมาน่ะ?” เขาเลิกคิ้วนิด ๆ
“กล่องปฐมพยาบาลค่ะ”
เธอยกขึ้นโชว์ แล้วนั่งลงข้าง ๆ เขาบนเตียง
“ขอหนูดูแผลหน่อยได้มั้ยคะ?
คีตะยิ้มมุมปาก
“ฉันไม่ได้เจ็บมากซะหน่อย”
แต่ก็ยอมขยับตัวให้เธอเช็กร่างกายอย่างว่าง่าย
เมษาเปิดกล่องออก หยิบสำลี ยาทาฟกช้ำ และพลาสเตอร์ออกมาวางเรียง
“ไหน...พี่เจ็บตรงไหนบ้างคะ?”
เธอถามพลางโน้มตัวเข้าไปใกล้ มือเล็กแตะเบา ๆ บนต้นแขนของเขา
“ตรงไหล่นิดหน่อย กับหลังมือ...แล้วก็ตรงสีข้างมั้ง”
เสียงเขาฟังดูสบาย ๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ดวงตาคมกลับจ้องมาที่เธอ...นิ่ง ลึก และคาดเดาไม่ได้
คิ้วเรียวของเมษาขมวดเข้าหากันทันที
“เจ็บขนาดนั้นแล้วบอกว่านิดหน่อยได้ไงเนี่ย...”
เธอบ่นเบา ๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
มือเล็ก ๆ ของเธอหยิบสำลีขึ้นมา แช่แอลกอฮอล์เล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเขา
คีตะนั่งนิ่ง ให้เธอจัดการตามสบาย
เธอใช้แอลกอฮอล์เช็ดเบา ๆ ตรงหลังมือของเขา ค่อย ๆ เป่าลมเบา ๆ แล้วแปะพลาสเตอร์ลายแมวน้อยน่ารักลงไป
“หึ ลายอะไรเนี่ย” คีตะหลุดหัวเราะเบา ๆ
“แมวน้อย~ หนูว่าเหมาะกับพี่ดีออก”
เธอยิ้มหวาน ก่อนโน้มหน้าเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบ
“เวลาเจ็บ...ต้องมีอะไรน่ารัก ๆ ไว้ปลอบใจสิคะ”
คีตะชะงักไปเสี้ยววินาที แววตาอ่านยากของเขาเริ่มมีประกายบางอย่างขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะขยับตัวมาอีกนิด...ไปแตะไหล่ที่มีรอยฟกช้ำ
“ขอโทษนะคะ มันอาจจะเจ็บหน่อย”
เธอพูดเสียงอ่อน สายตาจับจ้องที่แผลฟกช้ำของเขา
นิ้วเรียวของเมษาจุ่มครีมทายาเบา ๆ แล้ววางลงบนไหล่กว้างตรงรอยช้ำ ปลายนิ้วนุ่มนิ่มกดลงอย่างแผ่วเบา
แต่คีตะกลับรู้สึกร้อน...แบบประหลาด
เธอไม่พูดอะไรต่อ แค่...ตั้งใจทายาให้เขา ใกล้...มากพอจนเขาได้ยินเสียงลมหายใจของเธอ
คีตะกลืนน้ำลายลงคอเบา ๆ ดวงตาคู่คมเผลอมองเธอใกล้เกินไป — ใจเขากำลังสั่น ทั้งที่ภายนอกดูนิ่งราวไม่มีอะไร
“พี่คีตะ...” เมษาเอ่ยขึ้น ขณะกดปลาสเตอร์ปิดแผลอีกจุดหนึ่ง
“ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก...หนูกลัวแทบแย่”
เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงพูดเบา ๆ จากเขา
“...ขอบคุณนะ”
คำขอบคุณเรียบ ๆ แต่กลับทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะ เมษาพยักหน้า หลังจากทายาเสร็จก็จัดการเก็บยาและปิดกล่อง
“เรียบร้อยแล้วค่ะ หมดคิวพยาบาลคืนนี้แล้วว~”
เธอยิ้มหวาน ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากห้อง แต่ทันทีที่เปิดประตู...
“เมษา”
เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้เธอหันกลับไป
คีตะนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาคู่นิ่งสบกับเธอ แล้วพูดเพียงแค่ประโยคเดียว...
“ฝันดีนะ...คุณพยาบาลแมวน้อย”
เมษาหลุดหัวเราะออกมา
“หลับฝันดีนะคะ พี่คนเก่งของหนู”
ประตูปิดลงเบา ๆ ทิ้งให้ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง
คีตะมองฝ่ามือตัวเองที่มีพลาสเตอร์แมวน้อยแปะอยู่ ก่อนจะหลุดยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ยัยจิ๋วเอ๊ย...”
เขาพึมพำเบา ๆ พร้อมยกมือขึ้นแตะไหล่ตัวเองตรงที่เธอทายา
หัวใจของเขา...ทำไมสั่นไหวแปลก ๆ
🌸🌸🌸
ทันทีที่ประตูห้องคีตะปิดลง รอยยิ้มหวานประจำตัวของเธอก็ค่อย ๆ จางหาย...
📞 Rrrrrrr—
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันที
“ว่าไงคะ พี่คิน?”
เมษากดรับ ขณะเดินผ่านโถงบ้านตรงไปยังห้องนอนตัวเองด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เจอเป้าหมายของคุณหนูแล้วครับ หมายเลข 12 SUT — ชื่อ วาริท กำลังเมาอยู่ในผับ The Yard ย่านกลางเมือง”
เสียงของอคินราบเรียบ มืออาชีพเหมือนเคย
“แต่ที่สำคัญคือ...มันกำลังคุยกับ ‘กาย’ นักเลงคุมซอยหลังร้านเกมที่เคยมีข่าวยิงกันนั่นแหละ”
“...” เมษานิ่งไปเพียงอึดใจ ก่อนจะพูดเพียงสั้น ๆ
“เดี๋ยวหนูไปค่ะ” จากนั้นเธอก็วางสาย กำหมัดแน่น
‘ใช้วิธีสกปรกใส่พี่คีตะใช่มั้ย...?’
‘งั้น...ก็รับผลของการเลือกแบบสกปรกละกัน’
ทันทีที่เธอปิดประตูห้องนอนของเธอ ก็จัดการล็อกห้องทันที
ไม่มีใครเห็นอีกด้านหนึ่ง...สาวน้อยวัยใสที่มักหัวเราะง่าย กลายเป็นอีกคน
เธอเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อยืดคอกลมสีดำ กางเกงยีนส์สกินนี่เข้ารูป รองเท้าคอมแบทที่ดูแทบไม่เคยได้ใส่ในชีวิตปกติ
มัดผมหางม้าแน่น เรียบ หยิบแมสสีดำขึ้นมาสวม—ซ่อนครึ่งหน้าที่เคยแย้มยิ้ม
แววตาที่สะท้อนในกระจก...คือแววตาของคนที่โกรธขั้นสุด
เธอเปิดหน้าต่างห้องนอนชั้นสองออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนปีนลงมาตามรั้วที่หลังบ้าน
รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดรออยู่เงียบ ๆ ตรงถนนข้างบ้าน บนเบาะคือชายหนุ่มร่างสูง ผิวเข้ม แต่งตัวเรียบ ๆ แต่ดวงตามีแววอันตราย...
อคิน — บอดี้การ์ดหนุ่มผู้เป็นมากกว่าบอดี้การ์ดธรรมดา
เขาหันมา เมื่อเมษากระโดดลงมายืนบนพื้น
“พร้อมนะครับ?”
“เสมอค่ะ” เมษาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะคร่อมซ้อนท้าย มือเธอจับหลังเบาะแน่น ดวงตากลมสวยมองนิ่งไปด้านหน้า
“ให้มันรู้ว่า...การมายุ่งกับพี่คีตะ มันจะเจออะไร”
อคินหัวเราะหึ ๆ
“คุณหนูยังคงแสบเหมือนเคยนะครับ”
“พูดมากน่ะ พี่คิน รีบไป” เมษาบอก พร้อมจับเบาะให้มั่น
บรืนนนนนน!!!!
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นกลางคืนอันเงียบงัน รถพุ่งออกไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงแสงไฟท้าย...กับกลิ่นอันตรายที่เริ่มโชยมา
คืนนี้...นางฟ้าตัวน้อย จะกลายเป็น ยมทูตเงียบ
และหมายเลข 12...จะไม่มีวันลืมว่า เขา ‘ยุ่งผิดคนเสียแล้ว’
...
เวลา 01:12 น. — ในซอยเปลี่ยวหลังตึกแถวร้าง
กลางกรุงเทพฯ บรรยากาศเงียบผิดปกติ มีโกดังเก่าหลังหนึ่ง ที่ไม่มีใครใช้แล้วมานานหลายปี ประตูเหล็กบานใหญ่แง้มไว้เพียงครึ่งเดียว แสงไฟสีส้มสลัวลอดออกมาท่ามกลางความมืด
กลิ่นบุหรี่ราคาถูกและเสียงหัวเราะหยาบ ๆ ลอยออกมาพร้อมกับเสียงเจรจาที่ฟังไม่ค่อยชัด
“…ทำยังไงก็ได้ให้มันลงแข่งไม่ได้”
เสียงห้าวต่ำของวาริท — ผู้เล่นหมายเลข 12 ของ SUT เอ่ยขึ้น น้ำเสียงมีความขุ่นเคือง
เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหนังเก่า ๆ มีขวดเบียร์วางเกลื่อนโต๊ะด้านหน้า ข้าง ๆ กันคือ กาย นักเลงคุมซอยที่สวมเสื้อแขนสั้น โชว์รอยสักเต็มแขน กับลูกน้องอีกสองคนที่ยืนค้ำข้างประตู
“กูต้องการให้คนของมึงจัดมันให้เนียน ๆ …แบบเจ็บแต่ไม่มีหลักฐาน เข้าใจใช่มั้ย?” วาริทยื่นเงินปึกหนึ่งไปตรงหน้า
กายรับเงินมานับอย่างไม่รีบ พร้อมหรี่ตาลงด้วยท่าทางน่าเกรง
“อยากให้เนียน มันก็ต้องแพงขึ้นนะมึง...แต่ถ้ามึงอยากให้มัน ‘ไม่โผล่สนามอีก’ ง่ายกว่ามาก”
ทั้งห้องหัวเราะ—ทันใดนั้น...
ปึง!!!
เสียงประตูเหล็กถูกถีบเปิดกระแทกเข้ามาสุดแรง
“เฮ้ย!!”
ทุกคนหันขวับไปทางต้นเสียงทันที
ร่างของเมษาในชุดสีดำทั้งตัว ใส่แมสสีดำ มัดผมหางม้าสูง ปรากฏอยู่ที่กรอบประตู ท่ามกลางเงาสลัวของหลอดไฟที่กะพริบไม่หยุด
พรึ่บ!!
ร่างของเมษาพุ่งเข้าใส่วาริทด้วยความเร็วที่ฝึกปรือมาอย่างเชี่ยวชาญ
ผัวะ!!
หมัดขวาของเธอเสยเข้าข้างแก้มวาริทเต็มแรง จนเขากระเด็นล้มลงจากโซฟาแบบไม่ทันตั้งตัว
“อั่กกก!!” วาริทร้องลั่น เลือดซิบมุมปากทันที
ลูกน้องของกายจะวิ่งเข้ามา—แต่ไม่ทันถึงตัวของเมษา
ตุบ!
เสียงหมัดอีกลูกจากเงาในความมืด—อคินโผล่มาจากข้างหลัง อัปเปอร์คัทใส่ชายคนนั้นลอยตีลังกาไปฟาดกำแพงทันที
“ห้ามแตะต้องเด็กของฉัน”
เสียงอคินต่ำเรียบ แค่เสียงก็สามารถขู่ให้ขนลุกได้
กายลุกขึ้น คำราม
“ใครวะ!! บังอาจเข้ามาป่วน—”
ผัวะ!!
เมษาหันขวับ เตะก้านคอกายจนทรุดตัวลงทันที ร่างชายร่างยักษ์ทรุดลงกับพื้น พร้อมเสียงหอบหนัก ๆ
“พูดมาก...” เมษากดเสียงต่ำผ่านแมส
วาริทพยายามคลานหนี เมษากระชากคอเสื้อขึ้นมาตรง ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยแสยะยิ้มกลับซีดเผือด ดวงตาสั่นระริก
“อย่าทำกูเลย...” เขาพูดเสียงสั่น ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เพราะอะไรหญิงสาวคนนี้ถึงได้อัดเขาจนเละขนาดนี้
“แล้วทีแกจงใจชนพี่เขาล้ม ทำไมไม่คิด?”
“ไอ้คีตะงั้นเหรอ?” วาริทเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ผัวะ!!!
กำปั้นเล็ก ๆ ซัดเข้าหน้าทันที ทำเอาวาริทปากแตก เลือดไหลออกมาหนักกว่าเดิม ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อว่า หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ตรงหน้า...จะมือหนักตีนหนักขนาดนี้
“จำไว้นะ ไอ้ขยะ...”
เมษากระซิบเสียงต่ำข้างหู ดวงตาวาววับเหมือนแมวป่า
“อย่ามายุ่งกับเขาอีก ไม่งั้นตาย!!”
เธอผลักร่างวาริทกระแทกกับพื้นเสียงดัง ก่อนหันไปหาอคินที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอย่างใจเย็น
“ลบกล้องวงจรปิดให้หมด”
“แล้วโทรเรียกรถฉุกเฉินให้พวกมันด้วย...ก่อนจะนอนเลือดหมดตัว”
อคินพยักหน้า ก่อนกดโทรศัพท์อย่างไม่รีบร้อน
เมษาเหลือบตามอง ก่อนเหยียดยิ้มในแมสสีดำ
“ใครทำพี่เขาเจ็บ ก็ต้องเจ็บกว่าสองเท่า”
และเธอก็เดินออกจากโกดังไป...โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์เมษายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแค่ช่วงนี้…ข้าวมันไก่ที่เคยกินแล้วฟินตอนดึก กลับกลายเป็นศัตรูของชีวิต ข้าวต้มปลาเจ้าประจำที่เคยคลั่งไคล้ ตอนนี้แค่ได้กลิ่นก็แทบอ้วกแต่สิ่งที่เธอรู้แน่ ๆ คือ…เธอกำลังจะมีลูก และ “คุณพ่อเด็ก” ก็คือสามีสุดหล่อผู้คลั่งรักที่เพิ่งรู้ข่าวนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว18.47 น.เสียงประตูคอนโดดัง “แกร๊ก”“เมียครับ!!! ลูกพี่กินอะไรได้บ้าง!! พี่ซื้อของมาเป็นสิบถุง!!!”คีตะ โชติธาดาคนเดิม เพิ่มเติมคือระดับความเห่อเกินหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ในมือเขาถือทั้งซุปปลาแบบออร์แกนิก ขิงแก่สดจากเชียงราย น้ำมะพร้าวไม่แช่เย็น ผ้าคลุมไหล่สำหรับหญิงตั้งครรภ์และ…หนังสือชื่อ ‘เข้าใจเมียท้องใน 60 นาที’ ที่เปิดอ่านค้างไว้ตรงหน้าแรก“พี่คีตะคะ…” เมษาถอนใจเฮือก“แค่หนูบอกว่าอาเจียนตอนเช้า พี่ก็ไปเหมาโซเชียลเหรอคะ?”“ก็…ก็พี่กลัวเมียเหนื่อยไงคะ แล้วก็ลูกพี่…ก็แสบตั้งแต่ยังไม่ออกมา!”คีตะวางของลง ก่อนจะพุ่งมาทรุดตัวนั่งข้างเธอบนโซฟา เอามือทาบท้องเธอเบา ๆ ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่เห็นพุงแม้แต่นิด“อยากให้พี่ทำอะไรมั้ยครับ? อยากกินอะไรเป็นพิเศษ? น้ำแข็งจากขั้วโลก? ท
3 ปีต่อมา…แม้กรุงเทพฯ ยังจมอยู่ในวังวนเดิม ๆ ของการจราจรที่เหมือนภาพซ้ำทุกเช้าเย็น แต่ชีวิตของคีตะเปลี่ยนไปไกลราวฟ้ากับเหวจากเมื่อสามปีก่อนจากอดีตหนุ่มวิศวกรรมเครื่องกลที่ชีวิตผูกติดกับเครื่องจักร น้ำมันเครื่อง และซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติวันนี้เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำในห้องประชุมกระจกชั้นบนสุดของสำนักงานใหญ่ อาริกาโตะ กรุ๊ป—บริษัทเทคโนโลยีระดับอินเตอร์ที่กำลังเติบโตเร็วเหมือนติดจรวดในมือของเขามีทั้งดีลระดับพันล้าน หุ้นใหญ่ในมือ และแผนระดมทุนรอบใหม่ที่เหล่านักลงทุนต่างเฝ้ารอแต่ในสมองของเขา...มีเพียงคำถามเดียวที่วนซ้ำอยู่ทุกวัน‘เมียกูกินข้าวยังวะ’ไม่ว่าในแต่ละวันจะมีตารางงานแน่นขนาดไหน ต่อให้เลขาฯ ต้องคุกเข่ากราบขอให้เลื่อนนัดด่วนกับนักลงทุนต่างชาติคีตะก็จะส่ายหน้า...แล้วพูดเสียงนิ่งว่า“ผมห้ามมีนัดหลังหกโมงเย็นเด็ดขาด”‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ประจำตัวผู้บริหารใหญ่นี้คือกฎเหล็กข้อเดียวที่ใครก็ห้ามล้ำเส้นเพราะนั่นคือเวลาที่เขาจะรีบกลับคอนโดหรูย่านสุขุมวิท...กลับไปหาเมียที่ทั้งน่ารัก แสบ และเป็นแม่บ้านที่เขาหลงรักยิ่งกว่ากำไรรายไตรมาสวันนี้ก็เช่นกัน...เสียง ‘ติ๊ด’ จากปร
เสียงแสงแดดกลางฤดูหนาวทาบทอผ่านสนามหญ้ากว้างของมหาวิทยาลัย R.C.U. กลิ่นดอกไม้ปนกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ท่ามกลางเสียงชัตเตอร์มือถือที่ดังระรัวจากบรรดาเพื่อน ญาติ พี่น้องที่แห่มาร่วมแสดงความยินดีในวันสำเร็จการศึกษาเมษาในชุดครุยปักตราประจำคณะเดินออกจากหอประชุม พร้อมรอยยิ้มสดใสทันทีที่เห็นคนสำคัญ“คุณแม่! คุณพ่อ!”เธอวิ่งเข้าไปกอดคุณแม่ปาริฉัตรแน่น ส่วนท่านทูตดิลกก็ส่งยิ้มอย่างภูมิใจพลางเอื้อมมาลูบผมลูกสาวเบา ๆ“ลูกสาวพ่อเรียนจบแล้วนะ”“สวยที่สุดในรุ่นเลยค่ะ ลูกแม่!”ด้านหลังยังมีอีกสองคนที่ยิ้มอย่างภูมิใจไม่แพ้กัน — คุณธนา และคุณแม่อัญญาของคีตะ ทั้งคู่ยืนถือของขวัญกล่องเล็ก ๆ พร้อมดอกไม้ช่อโตที่เตรียมมาให้เธอเช่นกัน“ยินดีด้วยนะจ๊ะ หนูเมษา”“ขอบคุณค่ะ คุณอา คุณน้า” เมษายิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะรับของขวัญจากทั้งคู่“แล้ว...พี่คีตะล่ะคะ?” หญิงสาวหันมองไปรอบตัวทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนแอบอมยิ้ม“หาพี่เหรอ?”เสียงทุ้มคุ้นหูทำเอาเมษาหันขวับไปทันทีคีตะมาในเสื้อเชิ้ตพอดีตัว กางเกงสแลค หล่อเนี้ยบจนทำเอาเมษาถึงกับตาพร่า แต่สิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นกลับไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ —มันคือสายตาที่
“คิดอะไรอยู่ หืม~?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมอง แล้วต้องกลั้นหายใจเล็กน้อยคีตะในชุดลำลองเสื้อกล้ามสีเข้มกับกางเกงผ้าสบาย ๆ ผมเปียกนิดหน่อยจากการอาบน้ำ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำเย็น อีกข้างถือผ้าขนหนูเขาเดินเข้ามาหาช้า ๆ แล้วนั่งลงข้างเธอ พลางยื่นผ้ามาคลุมศีรษะเธอไว้เบา ๆ ก่อนวางแก้วไว้ข้างตัว“ผมยังไม่แห้งดีเลย เดี๋ยวไม่สบาย” เสียงนุ่มนวลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และค่อย ๆ เช็ดผมให้เธอ“อื้อออ~ ไม่ต้องเช็ดแรงก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหัวหนูหายหมด” เมษาบ่นอุบ แต่เสียงกลับแผ่วลงเรื่อย ๆคีตะหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยุดเช็ด แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมนิ่งลึกสะท้อนแสงจันทร์ และเธอรู้สึกได้ว่า ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว“พะ...พี่คีตะ...”“หืม?” คีตะเลื่อนมือมาจับปลายคางเธอเบา ๆ“คือ...” เมษาตาโต หน้าแดงซ่านไม่ทันได้พูดอะไร ริมฝีปากของเขาก็โน้มลงมาแตะกับริมฝีปากของเธอเบา ๆ จูบแรกนั้นนุ่มนวล...อบอุ่น...แฝงความทะนุถนอมแต่ในวินาทีถัดมา รสจูบนั้นกลับค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆปลายลิ้นร้อนแตะที่กลีบปากเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ดุนดันให้เธอเปิดรับสัมผัสที่เร่าร้อนยิ่งกว
หลังจากคีตะเรียนจบคุณพ่อธนาไม่รอช้า…กดดันให้ลูกชายคนเดียวเข้าไปช่วยงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวทันที“จะออกแบบเครื่องยนต์ หุ่นยนต์ หรืออะไร พ่อไม่ว่า แต่ช่วยทำโปรเจกต์กับแผนกเทคโนโลยีในเครือเราซักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อน ได้มั้ยลูก!”เสียงของคุณพ่อยังดังก้องในหัวเขาแต่คีตะในเสื้อฮู้ดสีเทา กับกางเกงวอร์มเรียบ ๆ กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ยกโน้ตบุ๊กขึ้นบนตัก เปิดแบบจำลองหุ่นยนต์ต้นแบบที่เขาออกแบบเอง —โครงสร้างเครื่องกลซับซ้อนแต่สมบูรณ์แบบจนเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง‘ถ้ามีเวลาอีกซักหน่อย...โปรเจกต์นี้ต้องสำเร็จแน่’เขาคิดในใจ ก่อนเสียงใส ๆ ที่คุ้นเคยจะดังขึ้นจากประตู“พี่คีตะขา~ หนูเอาน้ำมะพร้าวมาฝาก~”เสียงหวานนั่นทำให้เขาชะงัก เงยหน้าขึ้น — และทันทีที่เห็นคนตรงหน้า ความเครียดทั้งวันก็ละลายหายไปในพริบตาเมษาในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า เดินยิ้มหวานถือแก้วที่มีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ กับถุงใส่ขนมที่เธอซื้อมาฝากตั้งแต่สอบปลายภาคเสร็จ พ่อและแม่ของเธอก็ต้องกลับไปประจำสถานทูตอังกฤษเหมือนเคย และเพราะไม่อยากให้เธออยู่บ้านคนเดียว — เมษาจึงกลับมาอยู่บ้านโชติธาดาอีกครั้งแล
วันเวลาผ่านไปจนเมษาและคีตะเข้าสู่ปิดเทอมอีกครั้ง และครั้งนี้พ่อและแม่ของเมษาลางานกลับมาเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกสาวที่เมืองไทย ทำให้เมษาต้องกลับไปอยู่ที่บ้านของเธอชั่วคราวแต่เมื่อท่านทูตดิลกรู้ว่าคีตะกับเมษาคบกัน ท่านทูตก็เปลี่ยนบุคลิกกลายเป็นคุณพ่อโหมดหวงลูกสาวทันทีวันนี้...คีตะมีภารกิจ เขาตั้งใจมาขออนุญาตท่านทูตดิลกเพื่อพาเมษาไปเที่ยวด้วยกัน สำหรับ ‘เดทแรก’ ของทั้งคู่ในฐานะ ‘แฟน’บรรยากาศบ้าน ‘ไทระ’ ในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ใหญ่และกลิ่นชาเขียวจากสวนญี่ปุ่นที่อยู่ข้างตัวบ้าน แสงแดดอ่อนของช่วงบ่ายส่องลอดใบไผ่รำไร — สะท้อนลงบนกระดานหมากรุกไม้สักกลางโต๊ะหินทรงสี่เหลี่ยม“นั่งสิ”เสียงทุ้มทรงอำนาจแต่สุภาพของท่านทูตดิลกดังขึ้นชัดเจน ขณะเขานั่งไขว่ห้างใต้ร่มกันสาดผ้าเช็ดหน้าสีขาวพับอย่างเรียบกริบวางไว้บนตัก ข้างตัวคือชาร้อนและคุกกี้จากลอนดอนที่ลูกสาวสุดรักสุดหวงจัดเตรียมไว้ให้คีตะในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมเรียบกับกางเกงสแล็กยืนอยู่ตรงหน้า — ข้างกายเขาคือเมษาที่ทำท่าจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกสายตาปรามเบา ๆ จากคุณแม่ปาริฉัตร ที่ยืนพิงประตูกอดอกราวกับกำลังดูซีรีส์เกาหลีด้วยสีหน้าสนุก







