LOGIN⏱ ครึ่งหลังเริ่มขึ้นท่ามกลางแดดบ่ายที่ร้อนฉ่า แต่บรรยากาศในสนามกลับเดือดยิ่งกว่า
เสียงนกหวีดเริ่มเกมดังขึ้นอีกครั้งหลังจากพักเบรก
R.C. Hawks เปลี่ยนแผนเข้าสู่เกมกดดันทันที — เน้นสปีด เน้นความแม่น และที่สำคัญ... เน้นคีตะยิงลูกสามแต้ม!
คีตะในเสื้อหมายเลข 7 ยังเคลื่อนที่ได้อย่างเฉียบคม ลูกบาสในมือเขาเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย การส่งลูกเร็ว เลี้ยงหลบหลีกได้ว่องไว หาจังหวะทำแต้มในทุกครั้งที่คู่แข่งหลุดโฟกัส
“สามแต้มอีกแล้ว! คีตะยิงได้อีกแล้ว!!”
เสียงประกาศดังกระหึ่มพร้อมเสียงฮือฮาทั้งสนาม คะแนนขึ้นนำเป็น 46 ต่อ 20 — เห็นได้ชัดว่า SUT เริ่มกดดันหนัก
ฝั่งผู้เล่นสำรองของ SUT เองก็เริ่มซุบซิบกันเบา ๆ ผู้เล่นคนหนึ่งในเสื้อหมายเลข 12 ลูบข้อมือแล้วพึมพำเบา ๆ กับเพื่อน
“มึงดูดิ ถ้าหมอนั่นไม่อยู่ในเกม...เราคงนำไปละ”
อีกคนพยักหน้า
“ใช่ เหมือนมันเล่นคนเดียวทั้งทีมอ่ะ กูว่า—”
“…ใช้วิธีนั้นเลยมั้ย?”
แม้จะเป็นเพียงเสียงเบา ๆ แต่ตัวสำรองก็มีความเห็นตรงกัน และทันทีที่ผู้เล่นหมายเลข 12 ลงสนาม สายตาของเขาก็ไม่เคยมองใครเลยนอกจากคีตะ
เกมเดินไปอีกไม่กี่นาที — จังหวะที่ R.C. Hawks กำลังโต้กลับด้วยสปีดบุกแหลก
คีตะพุ่งเลี้ยงลูกผ่านเส้นขอบสนามด้านขวา กำลังจะเบี่ยงหลอกกองหลัง แล้วจ่ายให้บลูที่วิ่งประกบตามเข้ากลาง
ทันใดนั้น…
หางตาคมเห็นเงาบางอย่างเคลื่อนจากซ้ายล่างเข้าใกล้เกินจังหวะปกติ
‘หืม? ไม่น่าใช่การสกัดปกติ’
สมองคีตะประมวลผลภายในเสี้ยววินาที — รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายตั้งใจเล่นนอกเกม
พริบตาเดียว! แทนที่เขาจะฝืนเข้าปะทะหรือหลบหลีกทันที
คีตะกลับปล่อยจังหวะให้อีกฝ่ายทำตามแผน เขาเอียงไหล่ซ้ายลงเล็กน้อย เบนลำตัวให้หลุดจากแรงปะทะโดยตรง แล้วหมุนช่วงลำตัวให้แผ่นหลังลงก่อน
โครม!!! เสียงกระแทกหนักหน่วงดังขึ้นกลางสนาม!
ตุบ! เสียงร่างสูงกระแทกพื้นดังขึ้นอย่างน่าตกใจ
แต่หากมองดี ๆ ...มือซ้ายของเขารองที่ด้านหลังศีรษะ มือขวาประคองเอวไว้เพื่อกันแรงกระแทก เป็นการล้มเพื่อเลี่ยงอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้น
ผู้เล่นทั้งสองทีมชะงักค้าง
เสียงกรรมการเป่านกหวีดดังยาว เสียงอื้ออึงจากแสตนด์ดังขึ้นทันที แต่เขาเพียงหลับตาสูดลมหายใจลึก หอบเบา ๆ …ราวกับคนที่ ตั้งใจนอนพักเองเฉย ๆ
ริมฝีปากหยักยกขึ้นนิด ๆ — แผนแกล้งเจ็บสำเร็จ
แต่....แน่นอน เมษาไม่รู้ว่า เขาเซฟการล้มได้อย่างแนบเนียน
เมษาเห็นเพียงแค่ร่างสูงที่ล้มกระแทกพื้น เหงื่อผสมฝุ่นเกาะบนผิวเข้ม กล้ามเนื้อกระตุกเล็กน้อยจากแรงกระแทก ใบหน้าเขาบึ้งแน่นเหมือนพยายามกลั้นความเจ็บ
ดวงตาของเมษาแทบลุกเป็นไฟ รอยยิ้มใส ๆ ที่เคยอยู่บนหน้าเธอ…หายไปแล้ว
ดวงตากลมโตเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ ร่างบางผุดลุกขึ้นจากแถวเชียร์โดยไม่สนเสียงรอบข้าง มือที่ถือกระป๋องน้ำอัดลมไว้แน่น…
กร๊อบ!!
เสียงบีบกระป๋องจนบุบดังขึ้นอย่างชัดเจน
เธอมองไปยังกลางสนาม เป้าหมายของเธอคือหมายเลข 12 ของฝั่ง SUT
‘ไอ้คนนั้น!! บังอาจทำพี่คีตะ!!’
‘ไม่ตายดีแน่’
ส่วนภายในสนาม ร่างสูงยังคงนอนอยู่บนพื้น
“ไอ้คี!!”
เสียงภูผาดังลั่นขณะพุ่งเข้าไปหาร่างสูงที่ยังนอนอยู่กลางสนาม พร้อมกับบลูที่วิ่งตามมาติด ๆ
ทั้งคู่ทรุดตัวลงข้าง ๆ ก่อนจะช่วยกันพยุงเพื่อนขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาทั้งสนามที่จ้องมองมาด้วยความตกใจ
คีตะลืมตาช้า ๆ ลมหายใจยังเรียบ แต่อาการบาดเจ็บกลับไม่มีเลยแม้แต่น้อย เขาพยักหน้าให้เพื่อนทั้งสองคน และพูดเสียงต่ำเบา ๆ
“ไอ้พวก SUT เล่นสกปรก...ระวังให้ดี”
เสียงของเขานิ่งเฉียบ แต่หนักแน่นจนภูผากับบลูขมวดคิ้วทันที
บลูหันขวับไปมองหมายเลข 12 ของ SUT ที่ยืนอยู่ไม่ไกล สายตาเจือแววเคืองอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ภูผาก็พยุงคีตะช้า ๆ ให้ลุกขึ้นโดยไม่พูดอะไร สายตาเต็มไปด้วยโทสะเงียบ ๆ
“แล้วมึงเจ็บตรงไหนมั้ย?” ภูผาถามเสียงเข้ม
คีตะส่ายหน้า
“ไม่...กูเซฟตัวเองทัน”
เขาพูดขณะกดฝ่ามือลงที่เข่าแล้วยันตัวลุกขึ้น
“แต่ต้องแกล้งเดินออกไปก่อน เดี๋ยวมันจะเล่นอะไรอีกซ้ำอีก”
ทั้งสามคนประสานตาเข้าใจทันที บลูยิ้มเหี้ยม ๆ มุมปากข้างหนึ่ง ขณะลุกขึ้นตาม ภูผาเอ่ยเสียงหนักแน่น ขณะพยุงคีตะเดินไปยังข้างสนาม
“โอเค...ต่อจากนี้ ปล่อยเป็นหน้าที่พวกกูเอง”
คีตะเพียงยิ้มมุมปากตอบ ไม่พูดอะไร
แต่แววตาของเขาก็เปล่งประกาย—ทั้งวางใจ และพร้อมจะกลับมาลุยในจังหวะที่เหมาะสม
เสียงแฟนเชียร์ฝั่ง R.C.U. ยังคงลุกฮือ แฟนคลับหลายคนลุกยืนด้วยความตกใจ แต่นั่งลึกเข้าไปแถวในสุดของแสตนด์...
มีสายตาหนึ่งที่เย็นเยียบยิ่งกว่าทุกคน นิ้วเรียวของเมษากดโทรศัพท์มือถือทันที ข้อความถูกส่งไปยังอคิน
ติ้ง!
ข้อความแสดงบนจอว่า
‘หาประวัติของนักบาสหมายเลข 12 ของ SUT ให้หน่อยค่ะ’
‘ภายใน 10 นาที หนูต้องได้ข้อมูลทั้งหมดของมัน’
เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้ง…
ครึ่งหลังของเกมเริ่มต้นโดยไร้เงาหมายเลข 7 ในสนาม
แต่คนที่ลงไปแทนก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน แถมเป็นความเดือดที่พร้อมแผดเผาทีม SUT ให้มอดไหม้
“เปลี่ยนตัว—ไวน์ หมายเลข 9 ลงสนาม!”
เสียงโค้ช R.C.U. ประกาศชื่อด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
ร่างของนักกีฬาผิวเข้มสูงโปร่ง วิ่งลงสนามด้วยความมั่นใจ
ไวน์ – Point Guard มือฉมังจากชมรม Streetball
ผู้เล่นสไตล์ลุยแหลก ที่แม้จะไม่ได้อยู่ในทีมตัวจริงเสมอไป แต่เมื่อไหร่ที่เขาลง...เกมเปลี่ยนเสมอ
“เอาล่ะ...จัดมันให้ร่วงเลย ไอ้ไวน์”
ภูผาตบบ่าเพื่อนเสียงเข้ม บลูพยักหน้ารับ ขณะหมุนลูกบาสในมือแรงขึ้นหนึ่งจังหวะ
“โอเค พวกมึง...เกมนี้กูเล่นเพื่อไอ้คี”
ไวน์พูดเสียงต่ำ สีหน้าไม่เหลือแววล้อเล่น
ดวงตาทุกคนในทีม R.C.U. แทบมีไฟลุก ทุกจังหวะ ทุกแรงส่ง ทุกสปีดในการวิ่ง…เร่งขึ้นกว่าครึ่งแรก!
SUT Blaze ที่เคยมีความเร็วเป็นจุดแข็ง กลับกลายเป็น เหยื่อของจังหวะสวนกลับที่โหดจัดจนรับไม่ทัน
“เฮ้ย! ตรงนั้นอีกแล้ว! ตามไวน์ไม่ทันเลยวะ!”
เสียงโวยของฝ่าย SUT ดังขึ้นเมื่อไวน์พาบอลพุ่งไปซ้าย หลอก ขวาตัดเข้าเลนกลาง ก่อนกระโดดขึ้นชู้ต เสียงลูกบาสกระทบห่วงดัง
สวบ!
“R.C. Hawks สองแต้ม!!”
ภูผาเองก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อหมายเลข 12 ของฝ่ายตรงข้าม เลี้ยงลูกเข้ามา เขาพุ่งเข้าไปปะทะอย่างแรง ตัดบอลจนเจ้าตัวเซถลาไปอีกทาง พร้อมเสียงเป่าปรี๊ดของกรรมการ
“ฟาวล์รุนแรง! แต่ถูกบอลชัดเจน! ไม่ให้ฟาวล์!!”
เสียงแสตนด์ฝั่ง R.C.U. แทบระเบิด บลูรับช่วงต่อ รับบอลทันทีจากไวน์ ยิงสามแต้มจากมุมสนาม...
สวบ!!
“สามแต้ม! R.C. Hawks นำห่าง!”
ความคุกรุ่นที่เคยเริ่มจากอารมณ์โกรธ…ตอนนี้กลายเป็นเพลิงแห่งความมุ่งมั่นที่กำลังเผาผลาญฝ่ายตรงข้ามจนเหลือแต่เถ้าถ่าน
คีตะที่นั่งอยู่ข้างสนาม มองเพื่อนร่วมทีมบุกแบบไม่หยุดหายใจ ใบหน้าของเขาเรียบเฉย...แต่มุมปากคลี่ยิ้มนิด ๆ
“พวกมัน...ก็ลุยได้ดีไม่แพ้ฉันเหมือนกันนี่หว่า”
และแล้ว...เสียงนกหวีดยาว...จบเกม
R.C. Hawks ชนะด้วยคะแนน 69 ต่อ 39!
ขาดลอยจนไม่มีใครกล้าเถียง สมกับแชมป์สามสมัยของการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย
ฝั่ง SUT Blaze เดินออกจากสนามอย่างพ่ายแพ้…
ด้านฝั่งสแตนด์เชียร์...
ท่ามกลางความดีใจของทีมเชียร์ แต่ดวงตากลมโตของเมษากลับยังไม่ละไปจากร่างของคนที่ทำพี่คีตะของเธอล้ม
ไม่นาน...ก็มีข้อความแจ้งเตือนจากมือถือ เมษาหยิบขึ้นมาอ่านก่อนเหยียดยิ้มเย็นชา ดวงตาวาวโรจน์ ก่อนส่งคำสั่งไปยังอคินให้จัดการ
ณ ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์
แสงยามเย็นเริ่มโรยตัวลงทาบลานจอดรถด้านข้างสนาม
เสียงเชียร์ เสียงรองเท้า และความวุ่นวายจากแมตช์ใหญ่เริ่มจางหายไปทีละน้อยทิ้งไว้เพียงความเหนื่อยล้าบนร่างของนักกีฬา และอุณหภูมิร้อนที่ยังไม่ทันจางหาย
“โห...วันนี้เล่นโคตรมันเลยว่ะ”
เสียงภูผาดังขึ้น ขณะสะบัดผ้าขนหนูที่พาดคอเบา ๆ เขาเดินเคียงข้างคีตะที่ยังมีเหงื่อเกาะบนลำคอ แผ่นหลังเสื้อทีมยังเปียกชื้น
“อือ...เกือบจะได้มีเรื่องกลางสนามแล้ว ถ้ากรรมการไม่เป่าทัน”
คีตะตอบเสียงเรียบ แต่แววตายังนิ่งเหมือนเดิม
ทั้งสองเดินมาจนถึงมุมลานจอดรถ...และทันทีที่ถึงตรงนั้น
“พี่คีตะ!!”
เสียงหวานที่คุ้นเคยดังขึ้น พร้อมร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างมอไซค์ของเขา
เมษาในชุดเชียร์ที่ยังไม่ได้เปลี่ยน เส้นผมรวบไว้หลุดลุ่ยเล็กน้อยจากการเต้น เหงื่อเม็ดเล็กยังเกาะตามหน้าผาก
“เจ็บตรงไหนมั้ยคะ!?”
เธอเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง สายตาสำรวจไปทั่วทั้งตัวเขา ตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนพยายามมองหาแม้แต่รอยถลอกเล็กน้อย
คีตะชะงักกับความร้อนรนของเธอ ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ไม่เจ็บหรอก”
“แต่หนูเห็นพี่ล้มกลางสนามเลยนะ...”
เมษายังไม่ยอมละสายตา
“ตั้งใจล้มเอง”
“ห๊ะ?” คำตอบของเขาทำให้เธอชะงัก
“รู้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าพวกนั้นจะเล่นสกปรก”
“เลยเซฟตัวเองไว้ก่อน ล้มให้มันดูเจ็บ แต่จริง ๆ ไม่เป็นอะไร”
เขาพูดอย่างใจเย็น
“ฉันเอามือรองหัว ขาเก็บมุม…ล้มแบบเซฟ ไม่ถึงกับเจ็บจริง”
เมษากะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเม้มปากแน่น
“จริงนะคะ” เธอจ้องเขาตาแป๋ว
คีตะหัวเราะ มุมปากยกขึ้นนิด ๆ
“จริงสิ แต่พูดบนสนามไม่ได้หรอก เดี๋ยวอีกฝั่งรู้”
“โห่…!” เมษาทำหน้างอง้ำ
“เล่นแบบนี้ หนูใจหายหมด!”
“ฮ่ะ ๆ ใจเย็นน้องเมษา”
ภูผาที่เงียบอยู่นานขัดขึ้นพร้อมหัวเราะหึ ๆ เขาตบไหล่คีตะเบา ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้เมษา
“ไม่ต้องห่วง ไอ้คีมันฉลาด มันเซฟตัวเองเก่งกว่าที่คิดอีก”
เมษาเหลือบตามองคีตะ เหมือนจะพูดว่า ‘แต่หนูก็ห่วงอยู่ดีนั่นแหละ’ แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
“โอเค กูขอตัวก่อนละ เหนื่อยสัด”
ภูผาบิดตัวเหมือนจะคลายเมื่อย ก่อนเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
“เจอกันพรุ่งนี้นะไอ้คี บายย~ น้องเมษา~”
เขาแกล้งทำเสียงแซวตอนท้าย ทำให้เมษาหันไปค้อนนิด ๆ คีตะเองก็กลอกตาเล็กน้อย
เสียงเครื่องยนต์ติดขึ้น ก่อนที่ภูผาจะบิดคันเร่งแล้วแล่นหายไปกับแสงเย็นปลายวัน ปล่อยให้คนสองคนยืนอยู่กลางลานจอดรถที่เริ่มเงียบ
“กลับเลยมั้ย?” คีตะถาม พลางหยิบหมวกกันน็อคส่งให้เมษา
“พี่ขี่ไหวนะคะ?”
“ถ้าไม่ไหว เธอจะขี่รึไง?” คีตะหัวเราะ พลางสวมหมวกกันน็อค
“พี่อ่า~” เมษาย่นหน้า ทำแก้มป่องใส่
“มา ขึ้นรถ”
เมษารับหมวกกันน็อคจากมือเขามาใส่อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะยกชายกระโปรงเชียร์เล็กน้อยแล้วก้าวขึ้นซ้อนท้าย
มือเล็ก ๆ ยื่นมากอดเอวคีตะเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้…
“อึ่ก…”
เสียงครางต่ำเบา ๆ ดังลอดหมวกกันน็อคของเขา
“พี่เป็นอะไรคะ!?” เมษารีบผละออกทันที
“เมื่อกี้หนูแค่กอดเองนะ!”
คีตะนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
“ไม่ได้เป็นไรขนาดนั้น แค่...คงฟกช้ำเล็กน้อยตอนล้ม”
“ไหนพี่บอกว่าไม่เป็นอะไรไงคะ!!” เมษาขึ้นเสียงทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้าง
“พี่โกหกหนูเหรอ?”
“ก็ไม่ถึงกับเจ็บมากไง...” เขายังคงตอบเสียงเรียบ แต่หลบตาเล็กน้อย
“แต่มันก็ ‘เจ็บ’ อยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ!”
เสียงเธอฟังดูสั่นนิด ๆ แล้วก็ตามมาด้วยเสียงฟึดจมูกเบา ๆ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ...หนูไม่ชอบเลย...”
คีตะชะงักกับคำพูดนั้น เขาเหลือบมองเธอผ่านกระจกมองข้าง ก่อนจะพูดเสียงนุ่มกว่าทุกที
“…โอเค ฉันจะไม่โกหกแล้ว”
เมษายังทำหน้างอนตุ่ย แต่ก็ค่อย ๆ ยื่นมือกลับไปกอดเอวเขาอีกครั้ง...เบากว่าเดิม
“หนูจะกอดเบา ๆ นะคะ…”
เสียงเธออ่อนลงเหมือนเด็กโดนง้อ
“ถ้าคราวหน้าพี่ทำอีก หนูจะกอดแน่นกว่านี้ รัดเอวพี่ให้หายใจไม่ออกเลยคอยดู!”
คีตะหัวเราะออกมาทันที
“โอเคครับแม่”
“อย่ากวน!”
เขาไม่ตอบ แต่สตาร์ทรถทันที เสียงเครื่องยนต์ครางต่ำในช่วงค่ำ ลมเย็นต้นฤดูหนาวเริ่มพัดเอื่อย
เมษากอดเขาแน่นอีกนิดอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าซุกหลังเสื้อเขานิด ๆ หัวใจเต้นเบา ๆ เหมือนจะละลายไปกับกลิ่นสบู่อ่อน ๆ จากตัวเขา
เธอไม่รู้หรอกว่า...คีตะเองก็แอบยิ้มภายใต้หมวกกันน็อคเหมือนกัน
คืนนี้...เป็นคืนที่เขารู้สึกอบอุ่น เป็นเพราะมีคนซ้อนท้ายคือ ‘ยัยตัวเล็กจอมว๊าก’ หรือเปล่า เขาก็ยังไม่แน่ใจนัก...
คืนนี้ลมเย็น...แต่หัวใจใครบางคนกลับ เดือดปุด เหมือนหม้อต้มแรงดัน
💢 พี่คีตะ — อาจแกล้งนิ่ง กลบความเจ็บไว้ใต้รอยยิ้ม
💢 เมษา — อาจดูเหมือนแค่กอดเบา ๆ จากด้านหลัง
แต่คนที่ ‘กล้าแตะ’ พี่เขา...ขึ้นบัญชีดำในใจเธอไปเรียบร้อยแล้ว!
และแม้พี่คีตะจะเลือกไม่เอาคืน แต่มีคนหนึ่งที่ “พร้อมลุยแทน” จน ไม่เหลือซาก!
🧊 ตอนหน้า...ร้อนระอุกว่าเกมในสนาม
💥 เมื่อ อคิน — บอดี้การ์ดคนสนิท พร้อมปกป้อง “ยัยจิ๋ว” ให้ถึงที่สุด
และ เคลียร์ ‘หมายเลข 12’ ให้หายซ่าแบบไม่ต้องเซ็นใบลา!!
⛔ เพราะ ‘ใครทำพี่เจ็บ’ …
🔥 มันตาย!!!
🗓️ เจอกันตอนหน้า
รับรองว่า...ไม่ใช่แค่ เกมบาส ที่เดือด
แต่ เกมหัวใจ...ก็พร้อมลุกเป็นไฟไม่แพ้กันค่ะหนู~ 😏❤️🔥
สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์เมษายังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นแค่ช่วงนี้…ข้าวมันไก่ที่เคยกินแล้วฟินตอนดึก กลับกลายเป็นศัตรูของชีวิต ข้าวต้มปลาเจ้าประจำที่เคยคลั่งไคล้ ตอนนี้แค่ได้กลิ่นก็แทบอ้วกแต่สิ่งที่เธอรู้แน่ ๆ คือ…เธอกำลังจะมีลูก และ “คุณพ่อเด็ก” ก็คือสามีสุดหล่อผู้คลั่งรักที่เพิ่งรู้ข่าวนี้ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว18.47 น.เสียงประตูคอนโดดัง “แกร๊ก”“เมียครับ!!! ลูกพี่กินอะไรได้บ้าง!! พี่ซื้อของมาเป็นสิบถุง!!!”คีตะ โชติธาดาคนเดิม เพิ่มเติมคือระดับความเห่อเกินหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ในมือเขาถือทั้งซุปปลาแบบออร์แกนิก ขิงแก่สดจากเชียงราย น้ำมะพร้าวไม่แช่เย็น ผ้าคลุมไหล่สำหรับหญิงตั้งครรภ์และ…หนังสือชื่อ ‘เข้าใจเมียท้องใน 60 นาที’ ที่เปิดอ่านค้างไว้ตรงหน้าแรก“พี่คีตะคะ…” เมษาถอนใจเฮือก“แค่หนูบอกว่าอาเจียนตอนเช้า พี่ก็ไปเหมาโซเชียลเหรอคะ?”“ก็…ก็พี่กลัวเมียเหนื่อยไงคะ แล้วก็ลูกพี่…ก็แสบตั้งแต่ยังไม่ออกมา!”คีตะวางของลง ก่อนจะพุ่งมาทรุดตัวนั่งข้างเธอบนโซฟา เอามือทาบท้องเธอเบา ๆ ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่เห็นพุงแม้แต่นิด“อยากให้พี่ทำอะไรมั้ยครับ? อยากกินอะไรเป็นพิเศษ? น้ำแข็งจากขั้วโลก? ท
3 ปีต่อมา…แม้กรุงเทพฯ ยังจมอยู่ในวังวนเดิม ๆ ของการจราจรที่เหมือนภาพซ้ำทุกเช้าเย็น แต่ชีวิตของคีตะเปลี่ยนไปไกลราวฟ้ากับเหวจากเมื่อสามปีก่อนจากอดีตหนุ่มวิศวกรรมเครื่องกลที่ชีวิตผูกติดกับเครื่องจักร น้ำมันเครื่อง และซอฟต์แวร์ควบคุมอัตโนมัติวันนี้เขานั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หนังสีดำในห้องประชุมกระจกชั้นบนสุดของสำนักงานใหญ่ อาริกาโตะ กรุ๊ป—บริษัทเทคโนโลยีระดับอินเตอร์ที่กำลังเติบโตเร็วเหมือนติดจรวดในมือของเขามีทั้งดีลระดับพันล้าน หุ้นใหญ่ในมือ และแผนระดมทุนรอบใหม่ที่เหล่านักลงทุนต่างเฝ้ารอแต่ในสมองของเขา...มีเพียงคำถามเดียวที่วนซ้ำอยู่ทุกวัน‘เมียกูกินข้าวยังวะ’ไม่ว่าในแต่ละวันจะมีตารางงานแน่นขนาดไหน ต่อให้เลขาฯ ต้องคุกเข่ากราบขอให้เลื่อนนัดด่วนกับนักลงทุนต่างชาติคีตะก็จะส่ายหน้า...แล้วพูดเสียงนิ่งว่า“ผมห้ามมีนัดหลังหกโมงเย็นเด็ดขาด”‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ประจำตัวผู้บริหารใหญ่นี้คือกฎเหล็กข้อเดียวที่ใครก็ห้ามล้ำเส้นเพราะนั่นคือเวลาที่เขาจะรีบกลับคอนโดหรูย่านสุขุมวิท...กลับไปหาเมียที่ทั้งน่ารัก แสบ และเป็นแม่บ้านที่เขาหลงรักยิ่งกว่ากำไรรายไตรมาสวันนี้ก็เช่นกัน...เสียง ‘ติ๊ด’ จากปร
เสียงแสงแดดกลางฤดูหนาวทาบทอผ่านสนามหญ้ากว้างของมหาวิทยาลัย R.C.U. กลิ่นดอกไม้ปนกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ท่ามกลางเสียงชัตเตอร์มือถือที่ดังระรัวจากบรรดาเพื่อน ญาติ พี่น้องที่แห่มาร่วมแสดงความยินดีในวันสำเร็จการศึกษาเมษาในชุดครุยปักตราประจำคณะเดินออกจากหอประชุม พร้อมรอยยิ้มสดใสทันทีที่เห็นคนสำคัญ“คุณแม่! คุณพ่อ!”เธอวิ่งเข้าไปกอดคุณแม่ปาริฉัตรแน่น ส่วนท่านทูตดิลกก็ส่งยิ้มอย่างภูมิใจพลางเอื้อมมาลูบผมลูกสาวเบา ๆ“ลูกสาวพ่อเรียนจบแล้วนะ”“สวยที่สุดในรุ่นเลยค่ะ ลูกแม่!”ด้านหลังยังมีอีกสองคนที่ยิ้มอย่างภูมิใจไม่แพ้กัน — คุณธนา และคุณแม่อัญญาของคีตะ ทั้งคู่ยืนถือของขวัญกล่องเล็ก ๆ พร้อมดอกไม้ช่อโตที่เตรียมมาให้เธอเช่นกัน“ยินดีด้วยนะจ๊ะ หนูเมษา”“ขอบคุณค่ะ คุณอา คุณน้า” เมษายิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะรับของขวัญจากทั้งคู่“แล้ว...พี่คีตะล่ะคะ?” หญิงสาวหันมองไปรอบตัวทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนแอบอมยิ้ม“หาพี่เหรอ?”เสียงทุ้มคุ้นหูทำเอาเมษาหันขวับไปทันทีคีตะมาในเสื้อเชิ้ตพอดีตัว กางเกงสแลค หล่อเนี้ยบจนทำเอาเมษาถึงกับตาพร่า แต่สิ่งที่ทำให้เธอใจเต้นกลับไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ —มันคือสายตาที่
“คิดอะไรอยู่ หืม~?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมอง แล้วต้องกลั้นหายใจเล็กน้อยคีตะในชุดลำลองเสื้อกล้ามสีเข้มกับกางเกงผ้าสบาย ๆ ผมเปียกนิดหน่อยจากการอาบน้ำ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำเย็น อีกข้างถือผ้าขนหนูเขาเดินเข้ามาหาช้า ๆ แล้วนั่งลงข้างเธอ พลางยื่นผ้ามาคลุมศีรษะเธอไว้เบา ๆ ก่อนวางแก้วไว้ข้างตัว“ผมยังไม่แห้งดีเลย เดี๋ยวไม่สบาย” เสียงนุ่มนวลเต็มไปด้วยความอ่อนโยน และค่อย ๆ เช็ดผมให้เธอ“อื้อออ~ ไม่ต้องเช็ดแรงก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหัวหนูหายหมด” เมษาบ่นอุบ แต่เสียงกลับแผ่วลงเรื่อย ๆคีตะหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยุดเช็ด แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาคมนิ่งลึกสะท้อนแสงจันทร์ และเธอรู้สึกได้ว่า ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้เพียงปลายนิ้ว“พะ...พี่คีตะ...”“หืม?” คีตะเลื่อนมือมาจับปลายคางเธอเบา ๆ“คือ...” เมษาตาโต หน้าแดงซ่านไม่ทันได้พูดอะไร ริมฝีปากของเขาก็โน้มลงมาแตะกับริมฝีปากของเธอเบา ๆ จูบแรกนั้นนุ่มนวล...อบอุ่น...แฝงความทะนุถนอมแต่ในวินาทีถัดมา รสจูบนั้นกลับค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆปลายลิ้นร้อนแตะที่กลีบปากเธอ ก่อนจะค่อย ๆ ดุนดันให้เธอเปิดรับสัมผัสที่เร่าร้อนยิ่งกว
หลังจากคีตะเรียนจบคุณพ่อธนาไม่รอช้า…กดดันให้ลูกชายคนเดียวเข้าไปช่วยงานในบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวทันที“จะออกแบบเครื่องยนต์ หุ่นยนต์ หรืออะไร พ่อไม่ว่า แต่ช่วยทำโปรเจกต์กับแผนกเทคโนโลยีในเครือเราซักอาทิตย์สองอาทิตย์ก่อน ได้มั้ยลูก!”เสียงของคุณพ่อยังดังก้องในหัวเขาแต่คีตะในเสื้อฮู้ดสีเทา กับกางเกงวอร์มเรียบ ๆ กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ยกโน้ตบุ๊กขึ้นบนตัก เปิดแบบจำลองหุ่นยนต์ต้นแบบที่เขาออกแบบเอง —โครงสร้างเครื่องกลซับซ้อนแต่สมบูรณ์แบบจนเหมือนสิ่งมีชีวิตจริง‘ถ้ามีเวลาอีกซักหน่อย...โปรเจกต์นี้ต้องสำเร็จแน่’เขาคิดในใจ ก่อนเสียงใส ๆ ที่คุ้นเคยจะดังขึ้นจากประตู“พี่คีตะขา~ หนูเอาน้ำมะพร้าวมาฝาก~”เสียงหวานนั่นทำให้เขาชะงัก เงยหน้าขึ้น — และทันทีที่เห็นคนตรงหน้า ความเครียดทั้งวันก็ละลายหายไปในพริบตาเมษาในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า เดินยิ้มหวานถือแก้วที่มีน้ำมะพร้าวเย็น ๆ กับถุงใส่ขนมที่เธอซื้อมาฝากตั้งแต่สอบปลายภาคเสร็จ พ่อและแม่ของเธอก็ต้องกลับไปประจำสถานทูตอังกฤษเหมือนเคย และเพราะไม่อยากให้เธออยู่บ้านคนเดียว — เมษาจึงกลับมาอยู่บ้านโชติธาดาอีกครั้งแล
วันเวลาผ่านไปจนเมษาและคีตะเข้าสู่ปิดเทอมอีกครั้ง และครั้งนี้พ่อและแม่ของเมษาลางานกลับมาเพื่อใช้เวลาอยู่กับลูกสาวที่เมืองไทย ทำให้เมษาต้องกลับไปอยู่ที่บ้านของเธอชั่วคราวแต่เมื่อท่านทูตดิลกรู้ว่าคีตะกับเมษาคบกัน ท่านทูตก็เปลี่ยนบุคลิกกลายเป็นคุณพ่อโหมดหวงลูกสาวทันทีวันนี้...คีตะมีภารกิจ เขาตั้งใจมาขออนุญาตท่านทูตดิลกเพื่อพาเมษาไปเที่ยวด้วยกัน สำหรับ ‘เดทแรก’ ของทั้งคู่ในฐานะ ‘แฟน’บรรยากาศบ้าน ‘ไทระ’ ในย่านเงียบสงบของกรุงเทพฯ ร่มรื่นด้วยเงาต้นไม้ใหญ่และกลิ่นชาเขียวจากสวนญี่ปุ่นที่อยู่ข้างตัวบ้าน แสงแดดอ่อนของช่วงบ่ายส่องลอดใบไผ่รำไร — สะท้อนลงบนกระดานหมากรุกไม้สักกลางโต๊ะหินทรงสี่เหลี่ยม“นั่งสิ”เสียงทุ้มทรงอำนาจแต่สุภาพของท่านทูตดิลกดังขึ้นชัดเจน ขณะเขานั่งไขว่ห้างใต้ร่มกันสาดผ้าเช็ดหน้าสีขาวพับอย่างเรียบกริบวางไว้บนตัก ข้างตัวคือชาร้อนและคุกกี้จากลอนดอนที่ลูกสาวสุดรักสุดหวงจัดเตรียมไว้ให้คีตะในชุดเสื้อเชิ้ตสีครีมเรียบกับกางเกงสแล็กยืนอยู่ตรงหน้า — ข้างกายเขาคือเมษาที่ทำท่าจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกสายตาปรามเบา ๆ จากคุณแม่ปาริฉัตร ที่ยืนพิงประตูกอดอกราวกับกำลังดูซีรีส์เกาหลีด้วยสีหน้าสนุก



![friend zone รักร้ายนายเพื่อนสนิท [ 3P ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)



