“เอ่อ คุณหนู...”
หลิงเอ๋อร์เอ่ยเตือนถึงความไม่เหมาะสมราวดึงสติของผู้เป็นนายกลับมา องค์หญิงหนิงเซียงรีบดึงมือตนเองจากเสื้ออีกฝ่ายแล้วจะผละกายออก หากเขากลับนำพาให้นางเดินออกจากกลุ่มคนโดยไม่คิดปล่อยแขนจากเอวบาง ทำเอาสองสาวมองกันด้วยความงุนงง ออกอาการเลิ่กลั่กทั้งนายและบ่าว
แต่เมื่อห่างจากผู้คนที่เบียดเสียดชายหนุ่มก็ปล่อยและขยับไปยืนเว้นระยะด้วยตัวเอง หลิงเอ๋อร์เองก็ประคองนายตนราวหวงแหน ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงองค์หญิงเจียวมิ่งพร้อมร่างอรชรก็ตรงเข้ามาหาน้องสาวอย่างร้อนใจ โดยผู้เป็นสวามีตามมาเช่นกัน
“เซียงเอ๋อร์ พี่ตกใจแทบแย่ที่อยู่ๆ ก็ไม่เห็นเจ้า”
มือบางถูกจับพร้อมสายตาที่ฉายแววห่วงกังวลก็กวาดมองร่างผู้เป็นน้องจนทั่ว
“อ้าว หลิวซูหยาง”
“ใต้เท้ามู่...ถวายพระพรองค์หญิง”
หลิวซูหยางเอ่ยนามผู้ที่มาใหม่อย่างให้เกียรติทว่าอีกฝ่ายกลับตบบ่าเขาอย่างแรง
“ใต้ทงใต้เท้าอะไรกัน บอกแล้วว่าพบกันข้างนอกเราก็ยังเป็นสหายเช่นเดิม”
มู่ฉางเหยียนนั้นเข้ารับราชการในสำนักราชเลขาก่อนหลิวซูหยางแล้วได้รับพระราชทานอภิเษกหลังจากนั้น เวลานี้มีตำแหน่งเป็นถึงผู้ช่วยราชเลขาธิการส่วนพระองค์ทั้งยังเป็นถึงเป็นราชบุตรเขยด้วย
“ใต้เท้าหลิว”
องค์หญิงเจียวมิ่งรู้จักสหายของสวามีผู้นี้เป็นอย่างดีเพราะไปมาหาสู่จวนราชครูอยู่บ่อยครั้ง
“ข้าเห็นใต้เท้าช่วยพาเซียงเอ๋อร์ออกมาจากกลุ่มคน ขอบใจท่านมาก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มตอบรับอย่างนอบน้อม
องค์หญิงหนิงเซียงเหลือบมองคนร่างสูงใหญ่เล็กน้อยแล้วหลุบตาลงต่ำ ใจของนางยังเต้นรัวอยู่เลย การใกล้ชิดบุรุษเกินควรเป็นเช่นนี้เอง นางอยู่เพียงในตำหนักที่มีหญิงสาวรายล้อมมากมาย ไม่คุ้นชินกับบุรุษ แม้องครักษ์ติดตามก็นานครั้งจะพบเจอ มีเพียงตอนได้มีโอกาสตามเสด็จฮองเฮาไปอารามนอกแพงเมืองหรือไหว้สุสานบรรพชนและออกมาพบพี่สาว
“ว่าแต่คุณชายหลิวออกมาชมเทศกาลโคมไฟเพียงผู้เดียวหรือ”
เป็นมู่ฉางเหยียนถาม
“ผู้น้อยอย่างข้า ไปไหนมาไหนไร้ผู้ติดตามอยู่แล้ว”
“ข้ารู้ แต่ข้าหมายถึง...สาวงามที่ต่างอยากให้ท่านไปลอยโคมด้วยต่างหาก”
“หึ เมื่อใจว่างเปล่า ไยต้องมีผู้ใดมาด้วย”
นางคิดว่าตนไม่ได้ใส่ใจนัก ทว่าพอได้ยินคำเอ่ยนั้นองค์หญิงหนิงเซียงกลับในอกหวิวประหลาด
“เช่นนั้น สนใจไปล่องเรือรอดูพลุดอกไม้ไฟด้วยกันหรือไม่ ข้ากับองค์หญิงลอยโคมกันแล้ว กำลังล่องเรือชมบรรยากาศเมืองหลวง”
“เกรงพระทัยองค์หญิง”
หลิวซูหยางไม่กล้ารับไมตรีสหาย หากองค์หญิงเจียวมิ่งกลับส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างยินดี
“อย่างไรใต้เท้าหลิวก็เป็นสหายสนิทของท่านพี่ ถือเป็นคนกันเอง ทั้งท่านยังช่วยเซียงเอ๋อร์ไว้เมื่อครู่ ถือว่าข้าเชิญใต้เท้าล่องเรือชมเมืองชมพลุ ถือเป็นการตอบแทนน้ำใจ แม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็อยากให้ท่านรับไว้”
เมื่อองค์หญิงเชิญด้วยตัวเองมีหรือที่หลิวซูหยวนจะกล้าปฏิเสธ
แสงสีจากโคมไฟสว่างไสวทั่วเมืองกลบแสงจันทร์ หากก็นับเป็นสีสันชวนมองในบรรยากาศสนุกสนาน องค์หญิงหนิงเซียงยังเพลิดเพลินกับสองฝั่งริมแม่น้ำหากก็อดไม่ได้ที่จะแอบฟังในสิ่งที่มู่ฉางเหยียนคุยกับสหายของเขา ทว่าส่วนใหญ่กลับมีเพียงข้อราชการกับฎีกาที่สำนักราชเลขาต้องดูแลตรวจสอบ
ร่างอรชรมีหลิงเอ๋อร์คอยดูแลพัดวีไล่แมลงและนั่งเคียงข้างพี่สาว อีกด้านเป็นชายหนุ่มทั้งสอง นางจึงเหมือนกึ่งๆ ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าของใบหน้าขาวคมคายกระนั้นก็ไม่ได้สบตาคมเข้มมากนักด้วยเขาพูดคุยกับสหายตลอดเวลา นางเองก็พยายามให้ความสนใจยามค่ำคืนของงานเทศกาล หากตนกลับเกร็งและหายใจไม่ค่อยสะดวกนักราวไม่เป็นตัวของตัวเอง
กระทั่งเรือเคลื่อนมาถึงปากแม่น้ำซึ่งค่อนข้างโล่งไร้บ้านผู้คนบดบังทัศนียภาพ มองกลับไปด้านหลังเห็นเมืองหลวง ด้านหน้าไกลออกไปมีสะพานไม้ใหญ่ซึ่งดูเล็กลงเมื่อมีพระราชวังใหญ่โตเป็นฉากหลัง แสงโคมไฟจากพระราชวังจุดเล็กๆ น้อยๆ หลอมรวมเรืองรองงดงามอร่ามตาจนผู้เห็นถึงกับเผยอริมฝีปากค้าง
“ไม่คิดเลยว่าจะมีจุดที่มองเห็นพระราชวังได้ชัดเจนและสวยงามเช่นนี้”
องค์หญิงหนิงเซียงพึมพำ
“เราอยู่เพียงในเมืองหลวงจึงไม่รู้ แต่ท่านพี่เคยพาพี่มาที่นี่เมื่อเทศกาลโคมไฟปีก่อน พี่จึงอยากให้เจ้ามาเห็นด้วย”
องค์หญิงเจียวมิ่งบอกพลางจับมือน้องสาวเจ้าตัวก็หันมายิ้มอย่างดีใจ
“พี่หญิงนึกถึงข้า ข้าก็ดีใจนัก”
เอ่ยจบแสงก็วาบขึ้นและเสียงดังตามมาอีกหลายครั้ง องค์หญิงหนิงเซียงรีบหันกลับไปมอง สีสันหลากหลายของพลุแตกซ่านเป็นรูปดอกไม้สวยงามเหนือพระราชวังเป็นภาพที่ตราตรึงจนไม่อาจละสายตายิ่งทำให้ทั้งนางและหลิงเอ๋อร์ที่เพิ่งได้เห็นครั้งแรกขยับตัวพร้อมกันเพื่อนั่งหันมองตรงๆ แต่กับทำเอาเรือโคลงเคลง
ร่างอรชรเอนไปด้านหน้ามากจนเกินไป หากก็มีมือหนายื่นมาช่วยจับข้อมือนาง หันไปก็พบกับสายตาคมเข้มที่ทำเอาลมหายใจสะดุด ทว่าเสียงหลิงเอ๋อร์ทำให้ต้องเบนสายตาไปดู
“อ๊ะ”
และทันเห็นว่านางกำนัลคนสนิทรีบเกาะกาบเรือไว้ทำให้พัดหลุดมือหล่นลงน้ำไป
“เอ่อ ขอประทานอภัยเพคะ”
เพราะที่นี่ไม่มีชาวบ้านคนอื่นหลิงเอ๋อร์จึงพูดคำที่ตนเคยชิน
“ช่างเถิด ไม่ใช่เจ้าหล่นลงไปก็ดีแล้ว”
นางบอกด้วยห่วงคนสนิทมากกว่า
“ไม่เป็นไรนะเซียงเอ๋อร์”
“เพคะ”
เมื่อพี่สาวที่ช่วยประคองด้านหลังเช่นกันถามอย่างเป็นห่วงนางก็หันไปตอบแล้วกลับมามองพลุเช่นเดิม แม้จะชื่นชมพลุดอกไม้มากมายที่ตระการตา หากองค์หญิงหนิงเซียงก็ยังแอบเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามในบ้างครั้ง
รู้สึกราวหัวใจผลิดอกเบ่งบานไปตามพลุดอกไม้ไฟท่ามกลางท้องฟ้าเพราะสายตาคมเข้มคู่นั้น
นานครู่หนึ่งพลุดอกไม้ไฟก็หมดไป แล้วเรือก็เริ่มเคลื่อนตามที่ฝีพายควบคุม ด้วยมีโคมไฟท่ามกลางความมืดในแม่น้ำนำทาง เหล่าแมลงและยุงจึงมาวนเวียนค่อนข้างเยอะกว่าปกติ องค์หญิงหนิงเซียงปัดยุงที่กัดแขนตนแล้วเกาเบาๆ แม้ว่าหลิงเอ๋อร์จะเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาโบกสะบัดแทนพัดให้ก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อย ทั้งองค์หญิงเจียวมิ่งจะสั่งให้คนสนิทของตนที่นั่งใกล้หลิงเอ๋อร์ช่วยพัดให้ด้วยก็ตาม
“ใช้ของกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พัดยื่นมาจากมือหนาพร้อมกับคำบอก
องค์หญิงหนิงเซียงลังเลและไม่ได้ยื่นมือไปรับ ทว่าหลิวซูหยวนกลับพัดให้นางแทน ทำเอาหัวใจดวงน้อยกลับมาเต้นระส่ำอีกครั้ง ด้วยความเกรงใจนางจึงจำต้องเอื้อมมือไปหยิบพัดพลางเอ่ย
“เอ่อ อย่าทำเช่นนี้เลยใต้เท้าหลิว”
ปลายนิ้วเรียวแตะมือหนาเล็กน้อยหากก็พาใจสาวกระตุกและชายหนุ่มก็ยอมปล่อยพัดให้โดยดี นางจึงชักมือกลับและจับพัดไว้แน่น
“ขอบคุณท่านมาก”
“กระหม่อมยินดีรับใช้องค์หญิง”
คำเอ่ยนั้นทุ้มนุ่มราวกระซิบชิดใบหู แม้เป็นคำธรรมดาหากกลับส่งผลต่อความอ่อนเดียงสา องค์หญิงหนิงเซียงระบายยิ้มรับเล็กน้อยแล้วหลบสายตาอีกฝ่าย สองมือกุมจับพัดระงับมือตนไว้ไม่ให้สั่นตามหัวใจที่เต้นระรัว
หลิวซูหยวนผู้นี้ทำให้นางรู้สึกทั้งเหมือนจะเป็นลม ทั้งหัวใจวูบวาบราวดอกไม้กำลังผลิบานได้ในเวลาเดียวกัน
=====
ฟีลเขินๆ หัวใจวิบวับมาแล้ว ^^
“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”ร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาหานางพร้อมกับหลี่เหอจือเยว่ยืนนิ่งเพราะรู้สึกถึงแรงบีบถี่ในท้องของตน มือบางกุมท้องและทรุดกายลง เฟยอวี่ก็รีบช่วยประคอง“ปวดท้องหรือ”นางพยักหน้าให้สามี ก่อนจะพูดเสียงสั่น“ข้าทนไม่ไหวแล้ว”เฟยอวี่ตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็อุ้มภรรยาของตนไปยังดินแดนมนุษย์ หลี่เหอช่วยเนรมิตกระท่อมขึ้นมา“ทำอย่างไรดี หากหลี่เอินอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี”เขาอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้เทพสงครามวางร่างอรชรที่งอตัวแล้วร้องดังขึ้นเรื่อยๆ พายุที่หยุดไปเมื่อครู่เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบฟ้าร้องดังสนั่น จือเยว่ยิ่งดิ้นทุรนทุราย ขณะที่เขาทำได้เพียงจับมือบางและโอบกอดอีกฝ่าย“เฟยอวี่...ช่วยด้วย กรี๊ดดดด!!”จือเยว่กรีดร้องออกมาลั่นทั่วทั้งป่า ก่อนแสงสว่างเรืองรองจะวาบขึ้นแล้วปรากฏร่างเด็กทารกใกล้ร่างบอบบางที่หมดสติเฟยอวี่มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก ขณะที่หลี่เหอถึงกับตกตะลึง หากก็รีบเข้ามาอุ้มร่างเล็กที่กำลังแผดเสียงร้องจ้าขึ้นเวลาเดียวกันนั้น ท้องฟ้ามืดมิดสว่างไสวในชั่วพริบตา พายุฝนฟ้าคะนองเลือนหายราวไม่เคยเกิดสภาพอากาศแปรปรวนโหดร้ายก่อนหน้านี้สองหนุ่มสบตา
สองร้อยปีต่อมา...“ให้ลูกไปเถิดนะท่านแม่”“เวลาเช่นนี้สุ่มเสี่ยงเกินกว่าที่ลูกจะไปเสี่ยงอันตราย ท่านย่ารู้ว่าแม่ให้ลูกไปต้องโกรธมากแน่”“ท่านพ่อ”จือเยว่หันไปหาบิดาให้ช่วยเหลือเมื่อมารดาส่ายหน้า ทว่าไท่จื่อจิ่นลี่กลับเหลือบสายตาไปยังภรรยา“ยังไงลูกก็จะไป”ใบหน้างดงามงอง้ำด้วยความขัดอกขัดใจ“เยว่เอ๋อร์ หากในเวลาปกติ พ่อก็คิดว่าเจ้าสมควรไป แต่เวลานี้...”ไท่จื่อสวรรค์ถอนหายยาว“พ่อไม่อนุญาต”จือเยว่มองบิดามารดาอย่างน้อยใจแล้วหันไปยังสามีซึ่งยืนเงียบทั้งยังมีสีหน้าลำบากใจ ริมฝีปากอิ่มสวยก็เม้มขุ่นเคือง“ลูกแข็งแรงดี ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ ก่อนหน้านี้ก็ยังลงไปช่วยเผ่าปีศาจพร้อมกับเฟยอวี่ ครั้งนี้ไยจึงไปไม่ได้”“เวลานั้นลูกไปโดยที่ไม่บอกผู้ใดว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนี้คนรู้ทั่วทั้งสวรรค์ ยิ่งท่านปู่ท่านย่าของลูก ยิ่งไม่ต้องการให้ลูกทำงานราชกิจใด อีกอย่างก็น่าจะจวนเจียนคลอดแล้ว”“ลูกยังไม่รู้สึกว่าจะถึงเวลา”ผู้ที่ตั้งครรภ์ทว่าท้องไม่ได้โตขึ้นแม้แต่น้อยแย้งมารดา“แม่ก็คลอดลูกหลังตั้งครรภ์ไม่นานนัก”ด้วยบุญญาธิการของชนชั้นสูงเผ่าสวรรค์นั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ฤกษ์งามยามดีเหมาะสมเกิดจากญ
“จะไม่ให้ข้าได้พักเลยหรือ”“ท่านอยากพักก็พัก ข้าไม่ได้ห้าม”ใบหน้างดงามยังงอง้ำ ดวงตาคู่หวานซึ้งฉายแววขุ่นเคือง ทว่าเฟยอวี่ไม่รู้สึกเกรงกลัวทั้งยังเอ่ยหน้าตาย“ถึงท่านพัก ข้าก็ทำได้ โอ๊ย!”ชายหนุ่มสะดุ้งเพราะนิ้วเล็กจิกแล้วบิดอกหนาของตน“ตรงนี้มันเจ็บนะ”หญิงสาวสะบัดหน้าหนี เขาจึงจับมือที่ประทุษร้ายตนมาจูบ แล้วพาร่างอรชรลงไปนอนสบายๆ ส่วนตนตะแคงข้างกวาดมองเรือนกายเย้ายวน มีเสื้อรั้งอยู่ส่วนแขนและด้านหลัง หากก็แทบจะเปลือยเปล่า“เพิ่งบอกว่าคิดถึงข้า ตอนนี้มางอนเสียแล้ว”“ถึงข้าจะต้องการท่านมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมให้ท่านเอาแต่ใจกับข้า”“อืม ส่วนท่านเอาแต่ใจกับข้าได้”“เฟยอวี่”จือเยว่เสียงเข้มขึ้น ทั้งยังมองสามีตนด้วยแววตาดุ“โธ่ เมื่อครู่เป็นท่านเองที่ปลุกเร้าข้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ห้ามใจ เพราะเห็นว่าท่านเพิ่งบาดเจ็บและยังเศร้าเสียใจ”“ท่านโทษข้า”เฟยอวี่ยิ้มเจื่อน รู้แล้วว่าหากไม่ยอมก็คงไม่จบ จึงเปลี่ยนไปเป็นง้อภรรยาแทน“ไม่ได้โทษท่าน ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านต้องการข้าถึงเพียงนี้ ข้าผิดที่เย้าท่านให้ได้อาย อย่าโกรธเคืองข้าเลยนะจือเยว่”ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอนปริบๆ จือเยว่จึงพยักหน้า
เฟยอวี่ไม่ยอมเป็นผู้รับเพียงฝ่ายเดียว ขยับริมฝีปากได้รูปจูบร้อนแรงกลับไป ขณะยกร่างอรชรให้ขยับขึ้นมาคร่อมตักตน อีกฝ่ายยอมทำตามโดยง่าย มือบางเลื่อนสอดเข้าไปในกลุ่มผมนวดคลึงพลางพัวพันลิ้นเล็กกับลิ้นตนเร่าร้อนจนหายใจลำบาก ทว่าปากนุ่มยังขยับมาเม้มใบหูของเขาต่อทำเอาชายหนุ่มครางครึ้ม“อืม จือเยว่ เวลาร้อยปีทำให้ท่านใจร้อนขึ้นมากนัก”“เพราะข้าคิดถึงอ้อมกอดของท่าน ช่วงเวลาแห่งความสุขแสนสั้นเกินไป”ชายหนุ่มต้องกัดริมฝีปากตนเพราะเจ้าตัวตอบเบาชิดหูทั้งยังกัดติ่งหูเขาหยอกเย้า“ท่านยั่วเย้าเก่งเกินไปแล้ว ข้าคิดว่าท่านคงลืมเลือนสัมผัสจากข้าไปเสียแล้ว”“ข้าเพียงทำตามเสียงเรียกร้องแห่งปรารถนา”บอกแล้วนางก็ไล่เม้มลำคอแกร่ง มือกระชากเสื้อคลุมอีกฝ่ายออกด้วยเวทของตน ก่อนจะไต่สองมือบางไปตามบ่าหนากับแขนกำยำ ทั้งยังจิกปลายนิ้วครูดไปตามแผ่นหลังกว้างเร้าอารมณ์หนุ่มพร้อมแนบหน้าอกตนชิดอกแกร่งเปลือยเปล่า ขยับบดเบียดเชิญชวนมือหนาเลื่อนมาวางแนบเอวบางค่อยๆ ปลดชุดสวยอย่างไม่เร่งร้อนผิดกับอีกฝ่าย ตั้งใจปลดเปลื้องเรือนกายอ้อนแอ้นให้เผยอย่างช้าๆ เพียงด้านหน้า ดูเย้ายวนกระตุ้นเลือดหนุ่มฉกรรจ์ให้ทะยานอยากมากยิ่งขึ้นชายห
“หากไม่คิดบัญชีกับเจ้า ข้าก็ไม่อาจตายตาหลับ ฆ่ามัน!”นางสั่งเสียงเข้ม ฝูงจิ้งจอกก็กระโดดจู่โจม จือเยว่เหินลอยตัวสูงพร้อมหลี่เหอหลี่เอิน และฟาดพันพลังใส่จิ้งจอกที่ถูกวิชามารควบคุม แต่ละตัวตาแดงก่ำน่ากลัวจิ้งจอกกระเด็นไปไกลแต่ก็ผุดยืนขึ้นรวดเร็วราวไม่บาดเจ็บ คงกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้ว ทั้งยังกระโดดได้สูงผิดจิ้งจอกทั่วไปและมีไอดำรอบกายซูเจินเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย นางพุ่งเข้ามาพร้อมสะบัดแขนส่งพลังทำลายล้างสีดำทะมึนเข้ามาใส่ จือเยว่หันไปตั้งรับขณะหลี่เหอหลี่เอินพะวงกับฝูงจิ้งจอก แม้นางจะสกัดพลังทมิฬนั้นได้และผลักดันกลับไปจนอีกฝ่ายผงะ ทว่ากลับมีจิ้งจอกตัวหนึ่งพุ่งมาใส่ หญิงสาวถอยหนีอย่างกะทันไปจนถึงหน้าผา เป็นเวลาเดียวกับที่ซูเจินตั้งตัวได้ซัดพลังตามมา ร่างอรชรถูกกระแทกจากไอดำหงายหลังลงหน้าผาโดยมีจิ้งจอกตัวนั้นตามมาเพื่อขย้ำจือเยว่ลอยลิ่ว กำหนดจิตได้ยากเพราะบาดเจ็บ แล้วอยู่ๆ กลับมีลูกไฟพุ่งลงมายังตัวจิ้งจอกจนถูกเผาไปต่อหน้า รวมทั้งซูเจินกับจิ้งจอกตัวอื่นก็ถูกลูกไฟตามๆ กันขณะได้ยินเสียงซูเจินกรีดร้องหญิงสาวรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่โผวูบเข้ามารองรับร่างตนและพาลอยสูงขึ้น ผู้ที่บาดเจ็บเหลือบมอง แ
เวลาล่วงเลยมาร้อยปี จากขุนพลสวรรค์จือเยว่สามารถขึ้นเป็นแม่ทัพสวรรค์ได้แล้ว นางเป็นผู้ดูแลราชกิจทั่วทั้งหกพิภพแทนไท่จื่อจิ่นลี่เต็มตัว แม้ผู้นำทัพสวรรค์ยังเป็นไท่จื่อ รวมถึงหน้าที่รับผิดชอบของเทพสงครามจือเยว่ก็เป็นผู้จัดการโดยปราศจากการแต่งตั้งเทพสงครามคนใหม่ หญิงสาวคิดว่าองค์จักรพรรดิสวรรค์ยังไม่เห็นว่าผู้ใดมีความสามารถเพียงพอ และตัวนางเองยังต้องได้รับความไว้วางใจจากขุนนางสวรรค์กับหกพิภพถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ตำแน่งใดไม่สำคัญ นางอยากทำหน้าที่ของตนกับเฟยอวี่ให้ดีที่สุด ให้เหมือนกับเทพสงครามยังคงอยู่“ชายแดนเผ่าจิ้งจอกติดกับดินแดนมนุษย์มีอสูรร้ายอาละวาดกินผู้คนเป็นอาหาร ท่านแม่ทัพจะไปจัดการด้วยตนเองหรือให้ข้าไปแทนขอรับ”หลี่เหอถามขณะหารือในเรื่องฎีกาที่ส่งมา บางส่วนสามารถจัดการได้โดยไม่ต้องทูลฮ่องเต้สวรรค์ก่อน แม่ทัพจือเยว่จะเป็นผู้ตัดสินใจหรือไม่ก็ปรึกษาไท่จื่อ ด้วยเวลานี้องค์จักรพรรดิวางมือในหลายส่วนแล้วจือเยว่นิ่งงันไป ชายแดนเผ่าจิ้งจอกกับดินแดนมนุษย์ก็หมายถึงเขตรอยเชื่อมต่อที่เคยไปครั้งก่อน ครั้งที่ทำให้นางสูญเสียที่สุดในชีวิต นางไม่ควรไปหากไม่ต้องการเจ็บปวด ทว่าก็คิ